หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 728 หายนะแห่งเต๋าสวรรค์!

การใช้ช่วงเวลาในวัยเยาว์อย่างอิสระเสรี ปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ คือความสุขที่ทำให้คนผู้นั้นยังคงความเยาว์วัยได้!

คำกล่าวนี้คือต้นกำเนิดของชื่อทะเลสาบป่าขจีแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทะเลสาบมรกตแห่งนี้ได้เฝ้าดูการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มยุคกำเนิดวิญญาณ และยังเฝ้าดูการเจริญเติบโตของหวังเป่าเล่อ จากตอนที่เขายังเป็นหนุ่มน้อย มาจนถึงชายหนุ่มผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐในทุกวันนี้

ทะเลสาบป่าขจีเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตราบจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ที่ฤดูใบไม้ร่วงคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบบนผืนดินแห่งนี้ ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มวัยรุ่นเติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายเต็มตัว และยังคงเฝ้ามองดูเขาตราบจนถึงตอนนี้ ขณะที่เขายืนหันหลังให้ทะเลสาบชอุ่ม สองตาเพ่งมองเงาของศิษย์พี่เฉินชิงเบื้องหน้า

ผมของชายหนุ่มปลิวไสวในสายลมอ่อนของฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเวลาวัยหนุ่มพัดพาปลิดปลิวไปกับสายลมอ่อนไหว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงรอยแผลที่วันเวลาทิ้งไว้ แทนที่ความสุขและอิสระเสรีในวัยเด็ก

กระทั่งเงาสะท้อนของชายหนุ่มบนผิวน้ำก็ยังดูมืดมนยากจะหยั่งถึง ใบบัวลอยเคลื่อนผ่านมาตามกระแสน้ำที่พัดพา ทำให้น้ำนิ่งกระเพื่อมเป็นริ้วๆ เงาของหวังเป่าเล่อที่เคยสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำพลันปั่นป่วนในทันใด ราวกับเป็นกระจกที่สะท้อนความคิดจิตใจของชายหนุ่มในตอนนี้ ภายในของเขาแท้จริงแล้วไม่ได้สงบนิ่งเหมือนฉากหน้าแม้แต่นิด

หวังเป่าเล่อรับน้ำเต้ามาจากศิษย์พี่ของตน ก่อนดื่มเข้าไปอึกใหญ่โดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังดื่มสิ่งใดเข้าไป

สุรานั้นแรงเหลือ เพียงอึกเดียวก็อาจทำให้ผู้อื่นเริ่มกรึ่มได้ หวังเป่าเล่อดื่มสุราในน้ำเต้าเข้าไปถึงครึ่ง ก่อนจะส่งกลับคืนให้ศิษย์พี่ตรงหน้า สายตามองศิษย์พี่เฉินชิง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก

“ศิษย์พี่ ข้าอยากถามท่านมานานแล้ว สิ่งทีข้าเห็นในนิมิตมืด สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนโยนเป็นยวงลงบนผืนดิน บรรยากาศรอบกายของทั้งสองเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่พัดพา ส่งไอเย็นยะเยือกแผ่เข้าร่างที่เมามายของหวังเป่าเล่อให้ทวีความเย็นจับใจขึ้นไปอีก คำถามของเขาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกบางอย่างภายในที่ยากเกินอธิบาย

ใบบัวในทะเลสาบสั่นไหวตามสายลมบางเบาของฤดูใบไม้ร่วง หวังเป่าเล่อมองตามผิวน้ำที่ทอดยาวออกไปไกล จิตใจว้าวุ่นปั่นป่วนจนยากจะข่มตาหลับ มีบางสิ่งหนักอึ้งอยู่ในใจ!

ทุกอย่างเริ่มขึ้นตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรัน แม้หวังเป่าเล่อจะกลับมาที่นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความทุกข์หนักหน่วงนี้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจ แม้จะมีบิดามารดาอยู่ข้างกาย หรือในยามที่เขาใช้ชีวิตอย่างสงบเยือกเย็น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ไม่เคยหายไปไหน เขาสลัดมันทิ้งไม่ได้ ทำได้แค่เลิกนึกถึงเพียงประเดี๋ยวประด๋าว และฝังความไม่สบายใจนี้ลึกลงในวังวนของจิตใจ ตัดใจของตนเองให้ไม่นำเรื่องนี้มาคิดต่อ หากเฉินชิงไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน หวังเป่าเล่ออาจปล่อยเรื่องนี้ให้ฝังอยู่ในห้วงจิตใจที่ลึกที่สุดของตนต่อไป…และไม่พูดถึงมันอีกชั่วชีวิต

ตอนที่เขากำลังประมือกับโยวหรันนั้น การเปลี่ยนใจของจื่อเยว่ที่หันไปโจมตีโลกนั้นปุบปับเกินการคาดการณ์ของเขา สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก และทำให้เขาปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของตนเองออกมาจนทำให้ร่างกายอ่อนล้าแทบสิ้นแรง เหตุการณ์นี้ทำให้จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโลงศพบนดาวพลูโตแนบสนิทขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง…เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเรื่องบังเอิญที่ดูพอเหมาะพอเจาะเกินกว่าจะเป็นไปได้!

หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียวระหว่างการต่อสู้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจทำให้สหพันธรัฐล่มสลาย ส่งผลให้ครอบครัวและสหายของเขาเสียชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นความพอเหมาะพอเจาะที่เรียกได้ว่าโชคดี แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่…มีบางคนพยายามใช้อำนาจของตนในการเปลี่ยนผลของเหตุการณ์นั้น!

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ทำได้อย่างไร เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เฉินชิงเปิดปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง แต่ก็จะไม่ใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานว่าแท้จริงแล้วเฉินชิงเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเช่นกัน

เขาถามออกไปเพียงคำถามเดียว และเชื่อว่าเฉินชิงรู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

แล้วก็จริงเสียด้วย หญิงสาวที่ฟ้าลิขิตให้มาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา ถูกเปลี่ยนชะตาไปด้วยการแทรกแซงของใครผู้ใดผู้หนึ่ง จนทำให้ทั้งดวงวิญญาณและการมีอยู่ของนางถูกทำลายหายไปจากโลกนี้ ใครกันจะพูดได้ว่าเฉินชิงไม่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้เขาต้องทนทรมานในชีวิต แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นกังวลต่อสิ่งใด แต่ในความเป็นจริง เฉินชิงยังคงรู้สึกโศกเศร้ากับการสูญเสียในครั้งนั้นอยู่

ชายหนุ่มไม่ได้อยากรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้เช่นกัน

เฉินชิงรับน้ำเต้ามาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เขาดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ในน้ำเต้าหมดในอึกเดียว ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขามองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้องที่รักของข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่เจ้าคิดแน่นอน แต่ข้ายอมรับว่า…ความตั้งใจที่ข้าจะทำให้จื่อเยว่กลายเป็นพลังบำรุงร่างกายให้เจ้าเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ขอเวลาข้าสักนิด ข้าจะต้องหามาให้ได้…ว่าใครกันแน่ที่กำลังพยายามทำให้เราสองคนแตกกัน!”

หวังเป่าเล่อมองเฉินชิงก่อนหัวเราะออกมา ความหนักอึ้งในดวงใจยังคงอยู่ แต่เขามั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น…หรือไม่ก็มีพลังอำนาจที่เหนือกว่าทุกสิ่งเข้ามาควบคุมจริงๆ ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

“ศิษย์พี่ ท่านมีสุราเหลือหรือไม่” หวังเป่าเล่อถามด้วยรอยยิ้ม ความสบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน

เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่กลับมาเป็นคนร่าเริงดังเดิมอีกครั้งแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน เขาหยิบน้ำเต้าออกมาอีกสองอัน ทั้งสองนั่งกินลมชมวิวดื่มสุราริมทะเลสาบทอประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์

ฉากนี้…ควรจะเป็นฉากที่สวยงาม ผิวทะเลสาบสว่างกระจ่างด้วยแสงอ่อนของดวงจันทร์กระเพื่อมเป็นวงด้วยสายลมอ่อน ชายหนุ่มทั้งสองใส่ชุดคลุมยาว ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาเหมือนเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์

ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยือก แต่ทั้งสองกลับรู้สึกอบอุ่นด้วยฤทธิ์ของสุรา เฉินชิงบอกหวังเป่าเล่อว่าตนเองมาเยือนสหพันธรัฐด้วยเหตุผลใด เขาต้องการพาหวังเป่าเล่อกลับไปด้วยกัน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากะพริบตาปริบ ปากเริ่มทำเสียงจ๊อบแจ๊บ เขาหยิบขนมถุงออกมาและกินเสียงดัง เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่ส่งถุงขนมมาให้พร้อมหยิบไข่ต้มซีอิ้วออกจากกระเป๋าคลังเก็บด้วยสายตางุนงงเหมือนโดนสะกด

เขาคว้าไข่จากหวังเป่าเล่อมากัดตามความเคยชิน และกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง แต่หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าของตนเองขึ้นชนกับของเฉินชิงเสียก่อน

 “ศิษย์พี่ ชนแก้ว!”

แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังหยิบปีกไก่ดิบที่หมักเรียบร้อยแล้วออกมาสิบกว่าปีก ปากยังดื่มไม่หยุด ขณะใช้เวทสร้างกองไฟเพื่อปิ้งไก่ เฉินชิงมองอย่างอึ้งๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อควักเนื้อเสียบไม้และเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ จำนวนมโหฬารมาปิ้งกิน ท้ายที่สุดเขาก็ควักหม้อออกมาต้มห่านตัวใหญ่ พร้อมโยนพริกหยวกเขียวครึ่งจานลงไปในหม้อเพื่อปรุงรส บรรยากาศที่เคยสวยงามเหมือนมนต์สะกดหายวับไปกับตา ภาพที่เคยดูเหมือนฉากที่แสดงมิตรภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีสองคน บัดนี้กลายเป็นภาพธรรมดาสามัญทั่วไป

“มา กินกันเถิด ท่านไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทตอนอยู่กับข้านะ ศิษย์พี่”

เฉินชิงจ้องหวังเป่าเล่อ อับจนด้วยคำพูดใดๆ ขณะที่มองชายหนุ่มทั้งกินและดื่มไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มนวดหน้าผากตัวเอง ก่อนจะพูดสิ่งที่ค้างไว้ต่ออีกครั้ง

 “เป่าเล่อ ข้าจะพาเจ้าไปที่…”

แต่ก่อนที่เฉินชิงจะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าซดจนหมดเกลี้ยง ดวงตาพร่ามัวด้วยม่านหมอกแห่งห้วงนิทรา เขาหันมามอง ส่งยิ้มทึ่มๆ ออกมา ก่อนจะเบือนหน้าไปข้างๆ แล้วผล็อยหลับไป

เฉินชิงรู้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่อยากจากบ้านเกิดของตนเองไป และตั้งใจทำสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อให้เขาพูดต่อไม่ได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขายกมือขวาขึ้นโบกสะบัด ฉับพลันอำนาจที่มองไม่เห็นก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อ ดันเอาสุราทั้งหมดที่ดื่มเข้าไปออกจากร่าง ชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้หลับใหลสะดุ้งตื่นลืมตาอย่างงุนงง แต่ก่อนที่ศิษย์พี่จะได้พูดอะไร ศิษย์น้องก็ชิงตบหน้าผากตนเองเสียก่อน

“แย่แล้ว ข้าต้องไปแล้วละศิษย์พี่ แม่ข้าบอกให้กลับบ้านก่อนตีหนึ่งทุกวัน ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่เฉินชิงก็ชี้นิ้วมาที่เขาเสียก่อน ขาทั้งสองของชายหนุ่มถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ร่างครึ่งบนของเขาโยกไปมาด้วยความพยายามที่จะเดินหนี แต่ขากลับติดอยู่กับพื้นเหมือนหนูติดกับ

“แต่ศิษย์พี่ ข้าไม่อยากไป…” สีหน้าของชายหนุ่มยุ่นยู่ไปหมดขณะมองจ้องเฉินชิง

ตัวศิษย์พี่เองก็จ้องเขากลับเช่นกัน เริ่มรู้สึกได้ถึงขมับที่เต้นตุบๆ ด้วยความปวดหัว

“เป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดอาจล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้รอดชีวิตที่หลบลงไปอยู่ใต้ดิน พวกเขาสร้างสำนักใต้ดินแห่งใหม่ขึ้น เจ้าเป็นบุตรแห่งความมืด ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า ข้ามีหน้าที่พาเจ้ากลับไปที่สำนักแทนท่านอาจารย์ของพวกเรา เพื่อที่จะเจ้าได้ฝึกวิชาต่อ!”

“ศิษย์พี่ บิดามารดาข้าแก่ชรานัก ข้าไม่อยากอยู่ห่างพวกท่าน ข้ากลัวเหลือเกินว่ากว่าข้าจะกลับมา พวกท่านก็จะไม่อยู่บนโลกนี้เสียแล้ว ข้าคง…”

“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง บิดามารดาเจ้าก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของข้า ข้าจะให้โอสถอายุวัฒนะแก่พวกท่านทั้งสอง ที่จะทำให้พวกท่านมีอายุยืนยาวไปอีกสองร้อยปี เท่านี้ปัญหาของเจ้าก็ไม่มีแล้ว เจ้าไม่มีทางจากไปนานถึงสองร้อยปีแน่ เมื่อเจ้ากลับมา ข้าก็จะช่วยเจ้าหายานี้มาเพิ่มเติมอีก!”

“อ้าวหรือ ขอบคุณศิษย์พี่ แต่ศิษย์พี่…บรรดาคนรักของข้ายังอยู่ที่สหพันธรัฐกันหมด จะเกิดอะไรขึ้นกันเล่าหากข้าจากไป พอข้ากลับมาพวกนางไม่แต่งงานกับชายอื่นกันไปหมดแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อรีบพูดอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะทำให้ศิษย์พี่ของเขาเปลี่ยนใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ด้วยสถานะของเจ้าในสหพันธรัฐตอนนี้ ใครจะไปกล้าแย่งคนรักของเจ้ากันเล่า” เฉินชิงพูดอย่างไม่ยี่หระ ชายหนุ่มโยกมือขวายกหวังเป่าเล่อให้ลอยขึ้นในอากาศพร้อมกันกับเขา ทั้งสองลอยล่องขึ้นเรื่อยๆ พร้อมที่จะจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ไปสู่ห้วงอวกาศไกลแสนไกล

หวังเป่าเล่อตกใจแทนสิ้นสติ

“ข้าไม่อยากไป ข้ายังไม่ได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐเลย มาทำข้อตกลงกันก่อนเถิด ทำไมท่านไม่รอให้ข้าได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสหพันธรัฐก่อนเล่า เมื่อได้ตำแหน่งมากอดไว้แล้วข้าจะไปกับท่านทันทีเลย ตกลงหรือไม่”

“เป่าเล่อ!” เฉินชิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องล่างด้วยสายตาจริงจังหนักหน่วง

“ข้าไม่ได้จะพาเจ้าจากไปโดยไร้เหตุผล หายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังจะมาเยือนแล้ว ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้น มันจะปล่อยพลังออกมาตรวจตราทั่วจักรวาล เพื่อหาร่องรอยของสำนักแห่งความมืดที่ยังเหลืออยู่และทำลายให้สิ้นซากในทันที เจ้ายังอ่อนแอนัก ไม่มีทางที่จะสู้กับมันได้แม้แต่นิด มันจะหาเจ้าเจอในทันทีแล้วเจ้าก็จะตายโดยไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ!

“ข้าถึงบอกเจ้าหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าข้าจะต้องพาเจ้าจากไป ทางเดียวที่เจ้าจะรอดชีวิตจากหายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น คือตามข้าไปที่สำนักแห่งความมืดใต้ดิน และรับพรจากเศษซากเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่เหลืออยู่!

“เจ้าอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เต๋าสวรรค์นี้เป็นวัตถุเวทที่ทรงอำนาจมาก มีเพียงเต๋าสวรรค์เท่านั้นที่จะต่อกรกับเต๋าสวรรค์ด้วยกันได้ เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดเสียหายไปเกือบหมด แต่ก็ยังพอเหลือซากเหลืออยู่บ้าง เต๋าสวรรค์ที่เหลืออยู่ของสำนักเราจะช่วยปกป้องเจ้า!

“ส่วนโลงศพที่เจ้าพบในดาวพลูโตแห่งกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะนั่น คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ของพวกเราส่งมาให้เจ้าด้วยพลังอำนาจเหนือจินตนาการ ท่านต้องพยายามหลบเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น โดยใช้พลังเวทส่งโลงศพนี้ผ่านห้วงเวลาจากอดีตมาให้เจ้าที่อยู่ในปัจจุบัน จุดประสงค์ของท่านคือต้องการให้เจ้าใช้โลงศพนี้ในการจำศีล เพื่อที่เจ้าจะไม่ถูกเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นสังหาร!

“เจ้าเลือกเอาว่าจะเข้าไปนอนจำศีลในโลงศพทุกสิบปีและตื่นมาอีกร้อยปีให้หลัง หรือว่าจะตามข้าไปเพื่อจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซากเสีย!

 “เจ้าจะเลือกทางใด บอกข้ามา”

……………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset