หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 733 สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์!

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หนึ่งในสามสำนักใหญ่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้จะไม่มีอำนาจมากในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมีคนในสำนักไม่ถึงหนึ่งพันคน แต่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็มีทักษะพิเศษด้านการหลอมวัตถุเวท ผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักมีขั้นการฝึกตนสูง เขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณไปเมื่อหลายปีก่อนและคอยส่งของบรรณาการให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่เคยขาด

ทำให้ภารกิจที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้รับระหว่างการออกปล้นขนาดใหญ่เป็นภารกิจง่ายๆ ที่ไม่ได้อันตรายแต่ก็ได้ผลตอบแทนดี

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คอยออกปล้นอยู่บ่อยๆ เพื่อกักตุนทรัพยากรให้มีเพียงพอสำหรับการหลอมวัตถุเวท สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย และได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

โชคร้ายที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ดวงตกเมื่อได้เจอกับศัตรูสุดแข็งแกร่งตอนออกปล้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ส่งผลให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้และไม่สามารถรวบรวมทรัพยากรมาเพิ่มได้ ตามปกติแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นจะไม่เข้าไปช่วยเหลือในการออกปล้นของสำนักย่อย เว้นเสียแต่ทางสำนักย่อยจะต้องมอบทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่ส่งมอบตามปกติ ทางสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จึงจะเข้าไปช่วย ทำให้ครั้งนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพึ่งพาตนเอง

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เวลาส่งมอบของบรรณาการประจำปีที่ใกล้เข้ามาทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ทุกคนในสำนักเป็นกังวล พวกเขาต้องอยู่อย่างประหยัดในขณะที่ความกระหายอยากได้ทรัพยากรมาหลอมวัตถุเวทและเสริมขั้นการฝึกตนปะทุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขีดสุด

เหล่าศิษย์สำนักในมักจะออกไปนอกสำนักและใช้วิธีต่างๆ ในการดับความกระหายอยากได้ทรัพยากร บางคนรับหลอมวัตถุเวทให้คนอื่นๆ บ้างก็ออกไปเข้าร่วมกับสำนักอื่น ส่วนหนึ่งก็เริ่มตีกันเอง พวกที่เหลืออย่างหลงหนานจื่อเลือกออกไปค้นหาทรัพยากรตามดินแดนต่างๆ

แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นสำนักที่ยืนหยัดมากว่าสองพันปี ดูได้จากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อย่างอาคารประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นจากดินดำและตั้งอยู่ในแนวภูเขาที่ห้าบนดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์

ใจกลางของดาวเคราะห์เป็นแอ่งแผ่นดินที่เป็นที่พำนักของราชวงศ์ ที่พำนักนี้ปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าเป็นการถาวร ที่พำนักของราชวงศ์มีแนวเขาขนาดใหญ่แปดแห่งรายล้อมรอบบริเวณไว้เหมือนดังมังกรแข็งแกร่งแปดตัว แต่ละแนวเขาแยกจากการด้วยดินแดนขนาดใหญ่ บางคนกล่าวไว้ว่าพื้นที่ระหว่างแต่ละแนวเขาสามารถสร้างโลกขึ้นได้หนึ่งใบ และนั่นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย!

แนวภูเขาสามแนวในสุดเป็นของสามสำนักใหญ่ มีการตั้งอาณานิคมขึ้น ที่ทำอย่างนั้นก็เพื่อประโยชน์สุขของดาวเคราะห์ สามสำนักใหญ่จะได้ช่วยคุ้มกันดาวเคราะห์ได้ดีขึ้น แต่เป้าหมายจริงๆ คือการคุมขังและกดดันเหล่าราชวงศ์

แนวภูเขาที่สี่ถึงแปดเป็นของสำนักย่อย ยิ่งใกล้แนวเขาด้านในเท่าไหร่ ปราณวิญญาณก็จะหนาแน่นขึ้น เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตั้งอยู่บนแนวเขาที่ห้า อาคารส่วนใหญ่สร้างมาจากดินดำ ซึ่งเป็นดินที่มีความสามารถในการดูดซับพลังปราณและสร้างศิลาวิญญาณ ทั้งสองสิ่งคือผลลัพธ์จากการพยายามอย่างหนักของเหล่าผู้บุกเบิกของสำนัก

ด้านนอกประตูสำนักมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูงหลายพันเมตร สร้างจากศิลาวิญญาณที่บีบอัดจนถึงขีดสุดตั้งอยู่ หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นรูปปั้นที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยได้เห็นมาในระบบสุริยะ

นี่แค่สำนักย่อยหรือ ชายหนุ่มกะพริบตา ความทรงจำของหลงหนานจื่อทำให้เขาได้รู้ว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นอกจากจะเป็นสำนักเล็กๆ แล้ว ยังประสบปัญหาบางอย่างอยู่ ทว่ารูปปั้นที่หวังเป่าเล่อเห็นกลับชี้ให้เห็นสิ่งที่ต่างออกไป ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันมีมูลค่าเท่าใด แต่ก็มั่นใจว่าเงินที่ได้จากการขายรูปปั้นคงจะสามารถช่วยสำนักให้พ้นจากวิกฤตทางการเงินไปได้

ในหัวหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยคำถามมากมายขณะที่เขาทะยานข้ามฟากฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็มองดูรูปปั้นขนาดมหึมาอีกครั้ง จากนั้นก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองทางสำนัก อาคารสีดำ รวมทั้งตำหนักขนาดเล็กใหญ่นับพันปรากฏเด่นชัดในสายตา

สำนักนี้มีขนาดเท่าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สามเกาะรวมกัน แต่ประชากรที่มีอยู่กลับน้อยเสียจนน่าเวทนา เขาเห็นผู้คนประมาณร้อยกว่าคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ไกลๆ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นใครอื่นอีก ดูแล้วเหมือนว่าทั้งสำนักจะมีเพียงคนจำนวนร้อยกว่าที่กำลังเดินวุ่นไปมาเท่านั้น

หวังเป่าเล่อมองฝูงชนที่กำลังวุ่นกับธุระของตนเองอยู่ สีหน้าของเขาดูแปลกพิกลไป ชายหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้รู้มาจากความทรงจำของหลงหนานจื่อในทันที

เป็นเพราะ…แทบจะทุกคนในสำนักกำลังทำลายที่พำนักของตนอย่างรวดเร็ว พวกเขาดูช่ำชอง สามารถรื้อตึกอาคารออกมาเป็นส่วนต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับสิ่งใดแม้แต่น้อย…

มีเสียงโห่ร้องดังก้องในอากาศ เหมือนกำลังพูดปลุกใจอยู่

“เร็วเข้าทุกคน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว เราต้องรื้อบ้านสามร้อยหลังที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างสุดล้ำค้าที่เหลือให้หมด!”

“มาร่วมมือกันปฏิบัติภารกิจที่ทางสำนักมอบหมายให้สำเร็จกันเถอะ!”

“พรุ่งนี้เช้า ผู้อาวุโสสูงสุดจะมาเปิดประมูล คนที่ประมูลได้จะมีเวลาสองชั่วโมงในการรื้ออาคารใดก็ได้ที่ต้องการ!”

“ตอนนี้พวกเราต้องรื้อตึกที่มีค่าที่สุดก่อน จะปล่อยให้พวกคนที่มาประมูลได้ไปไม่ได้!”

 เสียงโห่ร้องยังคงดังก้องไม่หยุด หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตะลึงงัน ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักนี้ยากจนถึงขนาดที่ว่าผู้อาวุโสสูงสุดต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนัก ไม่ได้เป็นการประมูลสิ่งของที่กำหนดไว้แต่เป็นการประมูลเวลา มีการจำกัดจำนวนและระดับการฝึกตนของผู้เข้าร่วมการประมูล อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใช้กระเป๋าคลังเก็บมาเก็บของ ผู้เข้าร่วมการประมูลสามารถหยิบอะไรไปก็ได้ในระยะเวลาที่กำหนด อาจมียกเว้นของบางอย่าง

พรุ่งนี้คือวันแรกของการประมูล เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดสั่งให้เหล่าศิษย์ถล่มตึกที่มีค่าที่สุดลงก่อนการประมูลจะเริ่ม…

เกิดอะไรขึ้นกัน… หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก เขาลังเลว่าควรจะสับเปลี่ยนตัวตนในปัจจุบันไปเป็นคนอื่นดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีคนสังเกตเห็นชายหนุ่มและตะโกนเรียน

“หลงหนานจื่อ กลับมาแล้วหรือ มาช่วยกันเร็ว ผู้อาวุโสสูงสุดมีรางวัลให้ ทุกคนที่มาช่วยจะได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดหนึ่งก้อนต่ออาคารหนึ่งหลังหากทำได้ในเวลาที่กำหนด!”

หวังเป่าเล่อยิ้มแหย คงไม่เหมาะถ้าจะกลับออกไปตอนนี้ จึงทะยานเข้าไปหากลุ่มที่ทำลายอาคารอยู่ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและยังได้ซึมซับความทรงจำของหลงหนานจื่อมา ทำให้ใช้เวลาสังเกตเพียงไม่นานก็สามารถทำตามได้อย่างรวดเร็ว แม้จะผลงานที่ออกมาจะไม่ได้ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้แย่กว่าคนอื่นมากนัก

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจตลอดกระบวนการแยกส่วนอาคาร อาคารพวกนี้เหมือนจะแยกจากกัน แต่จริงๆ แล้วเชื่อมต่อกันในหลายๆ ส่วน เหมือนเป็นวัตถุเวทที่ประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ มากมาย แต่ละชิ้นไม่ได้เชื่อมกันด้วยอักขราจารึก แต่เป็นด้ายพลังนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อนึกสนใจ เขาเริ่มพูดคุยกับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปพร้อมๆ กับตรวจสอบอาคารที่สร้างจากวัตถุเวท

เหมือนอาวุธเวทของพวกบ้าสามคนนั้นเลย ไม่มีตัวอักขราจารึก ไม่ต้องใช้ศิลาวิญญาณมาเป็นแก่นหลัก ใช้พลังจากต้นกำเนิดดาราได้โดยตรง…อารยธรรมนี้เก่งกาจด้านการหลอมวัตถุเวทมาก วิธีการของพวกเขาต่างจากของสหพันธรัฐ แต่หลักการดูจะไม่ต่างกัน หวังเป่าเล่อสรุป จากนั้นก็นึกถึงกระบี่บินสามสีและแถบผ้าที่ได้มา

กระบี่บินถูกทำลายไปแล้ว แถบผ้าที่มีอยู่ก็เสียหายหนัก ชายหนุ่มเคยคิดจะซ่อมแซม แต่ก็ติดปัญหาหนึ่ง เขาเคยถอดแก่นออกมาและลงอักขราจารึกเพิ่มเข้าไป ตัวอักขราจารึกที่ใส่เพิ่มไปนั้นกลายเป็นเหมือนด้ายคุมหุ่นเชิดที่ช่วยให้ชายหนุ่มควบคุมวัตถุทั้งสองได้ แต่เมื่อไม่มีข้อมูลว่าวัตถุเวทเหล่านี้จริงๆ แล้วทำงานอย่างไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะซ่อมได้

ทว่าตอนนี้ พอได้มาแยกส่วนประกอบอาคารรอบๆ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ว่าประตูแห่งความรู้เปิดกว้างอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากสับเปลี่ยนตัวตน แต่ความคิดนั้นก็ได้หายวับไปแล้วเรียบร้อย

หวังเป่าเล่อลงมือทำงานหนักขึ้น ในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับตอนกลางดึก พวกเขาแยกส่วนประกอบอาคารมูลค่าสูงไปหลายร้อยหลังและได้รับศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อนเป็นของรางวัล ด้วยความรู้ที่ได้จากการอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและประสบการณ์การทำงานร่วมกับเจ้าพนักงานในสหพันธรัฐมาหลายปี ชายหนุ่มเข้าไปพูดคุยกับคนส่วนหนึ่งและวาดแผนผังความสัมพันธ์ขึ้นได้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอสมุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์

เขาแลกศิลาวิญญาณที่ได้มากับบันทึกการหลอมวัตถุเวทและแผนที่ดวงดาว ที่จริงคงต้องใช้ศิลาจำนวนมาก แต่ทางสำนักกำลังยากจนข้นแค้นอย่างหนัก ทุกอย่างจึงลดราคาไปมาก หลังจากจ่ายศิลาไป หวังเป่าเล่อก็เก็บของต่างๆ และมุ่งหน้าไปหาอาคารที่ว่างอยู่ จากนั้นก็เริ่มศึกษาอย่างหนัก

หลายวันผ่านไป ในช่วงเวลานั้น การประมูลได้เริ่มต้นขึ้น การประมูลนั้นไม่ต่างจากพายุ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สูญเสียทรัพย์สินที่ครอบครองไปจำนวนมากหลังจากผ่านการประมูลไปหลายวัน หวังเป่าเล่อต้องเปลี่ยนที่พักอยู่หลายหน ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะรอดจากวิกฤติการณ์มาได้ แม้ศิษย์ที่จากไปจะกลับมาไม่ครบทุกคน แต่ก็มีนับร้อยที่กลับมา

ผู้อาวุโสสูงสุดออกมาประกาศว่าจะทำให้สำนักกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ศึกษาเอกสารและแผนที่ดวงดาวเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาฉายแสงเป็นประกายมากกว่าครั้งก่อน ลมหายใจเริ่มถี่รัวขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด

ข้าคิดถูก…ข้าไม่ได้อยู่ห่างจากระบบสุริยะมาก ถ้าวางแผนดีๆ ข้าจะสามารถส่งร่างอวตารกลับไปรับตำแหน่งผู้นำได้!

……………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset