หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 736 จะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวเช่นนั้นหรือ

ข้าอิจฉาสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เสียเหลือเกิน ที่มีโอกาสได้พานพบคนที่ทั้งเฉลียวฉลาดและมหัศจรรย์เช่นตัวข้า! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มจากกลุ่มเดิมที่เขาเคยทำงานด้วยมาด้วยความรู้สึกเหนือกว่าที่ผลิบานอยู่ในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังด้านในของเรือบินรบตามที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสั่ง

การซ่อมแซมเรือบินรบแบ่งออกเป็นสองส่วน คือด้านนอกและด้านใน ด้านนอกของเรือบินรบต้องใช้ชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล แต่ระดับความชำนาญไม่จำเป็นต้องสูงเท่าใดนัก การซ่อมแซมส่วนด้านในนั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ความรัดกุมก็สูงกว่ามาก หวังเป่าเล่อต้องเดินผ่านวงแหวนปราณห้าชั้นก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป

หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายตรงไปยังเรือบินรบทันที หวังเป่าเล่อมองเห็นผู้ฝึกตนคนที่จะมาเป็นผู้นำทางให้เขา

ชายคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น เขาก้าวออกมาข้างหน้าและยกมือขึ้นคารวะทันทีที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ

“ยินดีต้อนรับ ศิษย์พี่หลงหนานจื่อ ด้านในของเรือบินรบนั้นเสียหายหลายส่วน การเดินไปมาโดยไม่รู้ว่าส่วนไหนชำรุดเสียหายอาจเป็นอันตรายได้ ข้าจึงได้รับมอบหมายให้มารอที่นี่และพาท่านไปยังกลุ่มที่เจ็ด!”

หลงหนานจื่อเป็นศิษย์ที่มีสถานะค่อนข้างสูงในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บรรลุขั้นการฝึกปราณมาหลายปี แต่ก็ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ และแม้จะไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท เขาก็ยังได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาศิษย์อื่นๆ อยู่ประมาณหนึ่ง

หวังเป่าเล่อตอบความมีมารยาทของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากที่บางของหลงหนานจื่อ ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ทำเอาผู้ฝึกตนวัยกลางตรงหน้ารู้สึกอึดอัดขึ้นมา ก่อนจะเดินนำหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวังไปยังจุดหมาย พลางตอบคำถามอยู่ไปมา

คำตอบที่หวังเป่าเล่อได้รับจากผู้ฝึกตนผู้นี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มที่เจ็ดมากขึ้น มีกลุ่มทั้งสิ้นสี่สิบเอ็ดกลุ่มที่ทำงานอยู่บนเรือบินรบลำนี้ และงานซ่อมแซมก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่เพราะกำลังคนที่ไม่เพียงพอ แต่ละกลุ่มจึงต้องทำงานซ่อมแซมที่อาจอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบไปบ้าง

กลุ่มเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มเก้ากลุ่ม ซึ่งมีหน้าที่สอดส่องกลุ่มที่อยู่ภายใต้การดูแล และรับมือกับการซ่อมแซมที่ซับซ้อนและสำคัญกว่า กลุ่มที่ชายหนุ่มจะเข้าร่วมคือกลุ่มเจ็ด มีหน้าที่ดูแลระบบป้องกันของเรือบินรบ

หน้าที่ของพวกเขาจำเป็นต้องใช้ความชำนาญระดับสูงในการหลอมวัตถุเวท กลุ่มนี้มีสมาชิกทั้งสิ้นสิบเก้าคน แต่แทนที่จะทำงานร่วมกันเหมือนกลุ่มที่ซ่อมแซมภายนอกของเรือบินรบ ศิษย์ทุกคนในกลุ่มเจ็ดกลับมีโต๊ะทำงานของตนเอง และต่างแยกกันทำงาน

นอกเหนือจากงานรายวันที่ได้รับแล้ว ในเวลาว่างศิษย์เหล่านี้ยังสามารถตรวจสอบรายชื่อของส่วนที่ต้องการการซ่อมแซม และทำการซ่อมแซมหรือหลอมวัตถุเวทตามที่กำหนด

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอิสรภาพ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะมอบแต้มให้ตามงานที่ทำสำเร็จ แต้มเหล่านี้สามารถนำไปแลกเป็นวัตถุดิบเพื่อการฝึกปราณได้ สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจชั้นดีในเวลาที่ทรัพยากรแห้งแล้งขาดแคลนเช่นนี้

ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตัวเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็จดจำรายละเอียดภายในเรือบินรบเอาไว้ ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลมีวัตถุเวทที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างของเรือบินรบ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ผสานตัวรวมอยู่กับผนังของเรือบินรบด้วย

น่าสนใจดีนี่ ตาของหวังเป่าเล่อหรี่เล็ก ตำราที่ชายหนุ่มได้อ่านมาไม่ได้พูดถึงคาถาผสานที่สามารถผสานสิ่งมีชีวิตเข้ากับวัตถุเวทอยู่เลย ประสบการณ์ของเขาบอกได้ทันทีว่าการผสานรวมช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้เรือบินรบอย่างใหญ่หลวง ความสนใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่อระบบวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพิ่มทวีขึ้นทันที

ชายวัยกลางคนเดินนำหวังเป่าเล่อลึกเข้าไปในเรือบินรบ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงส่วนที่กลุ่มเจ็ดประจำอยู่

ส่วนนั้นดูคล้ายรังผึ้ง มีห้องย่อยๆ นับสิบห้องซ้อนทับกันอยู่ ลานจัตุรัสที่ล้อมรอบห้องทั้งหลายอยู่นั้นดารดาษไปด้วยเศษชิ้นส่วนพังๆ และวัตถุดิบ ผู้ฝึกตนวัยเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลานจัตุรัส กำลังตะโกนออกคำสั่งไปยังผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาต่างพากันจดรายละเอียดของวัตถุดิบที่ตนมีและส่งไปยังห้องอื่นๆ ต่อไป

“ส่งเข็มทิศเกราะระดับสามไปให้ศิษย์พี่เฉินหลัว”

“บอกศิษย์น้องลี่ฟางว่าไข่มุกที่เขาเพิ่งซ่อมมานั้นไม่ได้มาตรฐาน หากเขายังซ่อมไม่ได้อีก ก็ขอให้ออกไปจากกลุ่มเจ็ดเสีย!”

“เหล็กแทงสุญเล่มนี้ยังใช้ได้ ส่งต่อไปให้หลิวมิ่งเฟย เขามีหน้าที่สลักศิลาแทงสุญออกมา ข้าต้องการศิลาที่สลักออกมาอย่างน้อยร้อยละเจ็ดสิบ!”

ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เขาดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวท แค่จ้องมองไปยังวัตถุดิบหรือวัตถุเวทเพียงปราดเดียว ชายหนุ่มก็สามารถบอกได้ทันทีว่าสิ่งของนั้นมีปัญหาอย่างไร เขาดูเป็นคนพูดจาหยาบกระด้าง น้ำเสียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรำคาญ

ผู้ฝึกตนหนุ่มขว้างวัตถุเวทชิ้นหนึ่งไปยังผู้ฝึกตนอีกคน พร้อมทั้งตะโกนออกคำสั่งไปว่าให้ทำอะไรกับวัตถุเวทนั้น ตอนนั้นเองที่เขามองเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองมายังหวังเป่าเล่อ

“ข้าน้อยคาระศิษย์พี่หลี่เฉิน!” ทันทีที่สายตาของเด็กหนุ่มมองมายังคนทั้งสอง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าทันที เขายกมือประสานก้มหัวคารวะต่ำ มารยาทที่เขาแสดงต่อหลี่เฉินแตกต่างจากตอนที่ทักทายหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน

หวังเป่าเล่อนึกออกในที่สุดว่าบุรุษตรงหน้าคือใคร ความทรงจำของหลงหนานจื่อบอกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสลำดับที่ห้าโดยตรง เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กมหัศจรรย์ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลยทีเดียว วงสังคมของทั้งสองไม่ได้ข้องเกี่ยวกันนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้เจอหลี่เฉิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะจำแลงกายเป็นคนผู้นี้

ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะจู่โจมได้ แต่เครื่องจักรกลในสมองของหวังเป่าเล่อก็กำลังทำงานอย่างหนัก ชายหนุ่มตัดสินใจจะวางเรื่องนี้ลงก่อน

ขณะที่หวังเป่าเล่อยุติความคิดที่จะสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้า ตัวเด็กหนุ่มเองที่ไม่รู้เลยว่าเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาได้หวุดหวิดก็ยกมือขึ้นโบก เขาไม่ได้ชายตามองผู้ฝึกตนวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่สุดจะทานทน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างมีโทสะว่า “เจ้ามาสายนะ หลงหนานจื่อ! เวลาทุกวินาทีมีค่าเมื่อเราทำงานซ่อมแซมเรือบอนรบอยู่เช่นนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเล่า!”

“ข้าจะมอบแร่วิญญาณมายานี้ให้เจ้า ไปหาโต๊ะทำงานที่ยังว่าง เจ้ามีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง จงกลั่นเอาของเหลววิญญาณมายาออกมาจากแร่ อย่าให้เสียของเหลวไปเกินร้อยละยี่สิบเล่า!”

ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเขวี้ยงก้อนหินใส่หวังเป่าเล่อ หินนั้นก้อนเท่ากำปั้นแถมยังส่องแสงสีม่วงทอประกายออกมา หลังจากนั้นหลี่เฉินก็เมินหวังเป่าเล่อ ก่อนจะไปจัดการกับวัตถุดิบอื่นๆ หลงหนานจื่อแทบไม่มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายเลย ไม่มีความจำเป็นที่หลี่เฉินจะต้องมาเสียเวลาพูดคุยด้วยมากมาย หากหลงหนานจื่อไม่สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ ก็คงต้องเก็บของและจากไปเท่านั้น

“หืม…” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อรับแร่วิญญาณมายามา มันเป็นแร่ที่มีอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น ชายหนุ่มเคยอ่านเรื่องของแร่นี้จากในบันทึกมาก่อน แร่นี้สามารถหลอมให้กลายเป็นของเหลววิญญาณที่รู้จักกันในนามของเหลววิญญาณมายาผ่านวิธีการพิเศษได้ ของเหลวนั้นมักจะนำไปใช้เพิ่มอัตราความสำเร็จในการหลอมสิ่งต่างๆ

แต่การสูญเสียของเหลวไปขณะที่หลอมแร่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อัตราการสูญเสียที่ยอมรับได้คือร้อยละห้าสิบลงไป ร้อยละยี่สิบนั้น…ค่อนข้างเป็นตัวเลขที่ท้าทายเลยทีเดียว

เขาจะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวกระนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาไม่ใช่คนที่ยอมคน ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในร่างอวตาร ส่วนร่างจริงนั้นนอนหลับใหลอย่างปลอดภัยอยู่ในโลงศพ หากเกิดความผิดพลาด ชายหนุ่มก็สามารถจำแลงกายได้ทันที หวังเป่าเล่อไม่ได้วางแผนที่จะสร้างความวุ่นวายหากไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้เขาก่อน แต่หากมีใครมาลบหลู่เขา ชายหนุ่มก็จะไม่ยอมรามือง่ายๆ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ตาม

หวังเป่าเล่อพลิกฝ่ามือที่ถือแร่วิญญาณมายาเอาไว้ เปลวไฟสีฟ้าลุกท่วมขึ้นภายในฝ่ามือและเข้าห้อมล้อมแร่เอาไว้ วิธีการหลอมละลายแร่นั้นปรากฏขึ้นเองในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ลงมือทำ แต่พรสวรรค์และรากฐานอันหนักแน่นในวิชาการหลอมวัตถุเวทก็ทำให้เขาสามารถหลอมได้แทบจะในทันที เปลวไฟในฝ่ามือของหวังเป่าเล่อเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว

ภาพการหลอมนั้นเตะตาทุกคน นัยน์ตาของหลี่เฉินแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะหันมามองด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นตกใจ

“แร่วิญญาณมายาสามารถหลอมละลายได้โดยการใช้เปลวไฟหลอมวิญญาณ ในแต่ละระยะ เปลวไฟจะผ่านกระบวนการทั้งสิ้น 696 ครั้งและเปลี่ยนสีทั้งสิ้น 233 ครั้ง หากสามารถควบคุมให้อัตราการหลอมละลายเท่ากับลมหายใจของผู้หลอม เราก็สามารถใส่ปราณวิญญาณและแร่ธาตุอื่นๆ เข้าผสานรวมในระหว่างขั้นตอนการหลอม เพื่อช่วยให้การกลั่นเสร็จสมบูรณ์ได้ ในระหว่างนั้น ต้องคอยมองดูอักขระที่อาจดูคล้ายรอยแตกร้าวบนตัวแร่แล้วค่อยๆ ปรับความร้อนตามไปด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว ก็สามารถลดอัตราการสูญเสียให้เกือบเทียบเท่าศูนย์ได้!” หวังเป่าเล่ออธิบายอย่างเยือกเย็นขณะที่มือก็หลอมแร่ไปด้วย

“แน่นอนว่า ฝืมืออันต่ำต้อยของข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือ…ลดอัตราการสูญเสียให้เหลือต่ำกว่าร้อยละสิบ!” หวังเป่าเล่อพูดต่อไปอย่างเนิบๆ ทุกคนรอบกาย รวมไปถึงผู้ฝึกตนวัยกลางคน จ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึงขณะที่ชายหนุ่มสะบัดมือขวาแล้วดับไฟ มีลูกของเหลวกลมๆ ที่ส่องแสงเรืองรองสีม่วงลอยอยู่บนฝ่ามือ!

สิ่งนั้นเป็นของเหลวสีม่วงใสที่ส่องแสงเรืองรองราวกับเป็นสมบัติ ทุกคนต่างถูกดึงดูดเข้าไปหามัน สิ่งนี้ก็คือ…ของเหลววิญญาณมายา!

“สวรรค์ นี่มัน…ของเหลววิญญาณมายาขั้นสูง!” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนข้างๆ หวังเป่าเล่อถึงกับสะอึก ความตื่นตะลึงปกคลุมลานจัตุรัสสาธารณะทันที

…………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset