หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 426 อาวุธเวทครึ่งใบ!

บทที่ 426 อาวุธเวทครึ่งใบ!

หลังจากที่หวังเป่าเล่อบรรลุปราณระดับรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เรียบร้อย เหตุการณ์น่าตื่นเต้นมากมายหลายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นติดๆ กัน เช่น การที่หลินเทียนหาวส่งเสียงตามสายมาบอกว่า ได้เตรียมวัตถุดิบที่เขาสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงวิญญาณวุธที่จะใช้หลอมอาวุธเวทด้วย!

วัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้หลอมอาวุธเวทนั้นราคาแพงหูฉี่ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่จะเป็นแก่นของอาวุธเวทนั้นๆ เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุมที่หาซื้อยาก แม้จะมีคนต้องการซื้อ ก็ไม่อาจทราบได้ว่าต้องไปหาที่ไหน

โทรโข่งที่หวังเป่าเล่อต้องการหลอม จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบนี้เพื่อทำให้การกระจายเสียงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้หลินเทียนหาวต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาวัตถุดิบทั้งหมดมาจนครบ จนถึงขั้นที่ว่าเขาต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่ตนเองมี แถมยังต้องดึงกงเต๋าและจินตั้วหมิงเข้ามาช่วยด้วย กระนั้นทั้งสามคนที่ผนึกกำลังก็ยังต้องใช้เวลานานโขกว่าจะตามเก็บมาได้ครบ บ่งบอกถึงความหายากจับใจของวัตถุดิบเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ การหาวิญญาณวุธก็ยากเย็นแสนเข็ญด้วยเช่นกัน อันดับแรกคือ วิญญาณอสูรที่จะนำมาหลอมเป็นวิญญาณวุธได้ ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในตอนที่สกัดออกมาจากร่างอสูร เพียงเท่านั้นก็ว่ายากแล้ว แต่ความยากนั้นจะทวีมากขึ้นอีกตามความแข็งแกร่งของอสูรตัวนั้นๆ

หวังเป่าเล่อต้องอธิบายพลังที่เขาต้องการใส่ในอาวุธเวทของตนให้หลินเทียนหาวฟัง เพื่อที่หลินเทียนหาวจะได้เข้าใจว่าต้องหาวิญญาณวุธใดมาให้หวังเป่าเล่อ วิญญาณวุธนั้นต้องส่งเสริมคุณสมบัติหลักของอาวุธเวทชิ้นนี้เป็นอย่างดี ซึ่งก็คือการสร้างเสียงคำรามชนิดแก้วหูดับ หลังจากตามหาอยู่เป็นเวลานาน เลื่อนเส้นตายไปหลายต่อหลายครั้ง หลินเทียนหาวก็พบวิญญาณของอสูรพยัคฆ์ ที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่น

แม้วิญญาณอสูรตนนี้จะไม่เหมาะกับอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อเต็มร้อย แต่ก็เป็นสิ่งใกล้เคียงสุดที่หลินเทียนหาวพอจะหามาได้

แต่เพียงเท่านี้หวังเป่าเล่อก็พอใจมากแล้ว ดังนั้นเมื่อหลินเทียนหาวส่งวัตถุดิบมาให้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มถือสันโดษทันที เขาตั้งใจเตรียมวัตถุดิบเพื่อหลอมอาวุธเวทเบื้องต้น ก่อนจะหลอมรวมมันเข้ากับวิญญาณวุธเพื่อสร้างอาวุธเวทที่สมบูรณ์แบบ จากนั้นอาวุธเวทนี้จะดึงดูดเศษดวงจิตของเทพเจ้าที่อยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพเข้ามา และด้วยพลังจากสวรรค์และพื้นพิภพนี้ อาวุธเวทที่เขาหลอมจะกลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดที่สมบูรณ์!

หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะทำสำเร็จ แต่ก็ตัดสินใจลองดูให้รู้ไปสักตั้ง เขาได้วิเคราะห์และจำลองภาพในหัวมาหลายต่อหลายรอบแล้ว ชายหนุ่มคิดมาเป็นอย่างดีว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไร สำหรับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น หลังจากที่กลับมาจากศูนย์วิจัย หวังเป่าเล่อก็ได้เข้าฌานอยู่หลายครั้ง เพื่อจะได้เข้าใจทักษะนี้มากขึ้น

ตอนนี้ทุกสิ่งถูกตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ในห้องลับของตน กำลังหายใจเข้าลึกพร้อมความคาดหวังที่เอ่อท้นในดวงตา เขารู้ว่าการหลอมอาวุธเวทนั้นควรกระทำโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ เข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะจะทำให้ความสงบของจิตใจถูกทำลายลงได้ ความผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดอาจทำให้กระบวนการหลอมพังพินาศในพริบตา

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เดินหน้าปฏิบัติภารกิจในทันที เขาหลับตาลงเพื่อนั่งสมาธิทำให้จิตใจให้สงบเหมือนน้ำนิ่งเสียก่อน สองชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ประกายโชติช่วงลุกโชนในแววตา จิตของหวังเป่าเล่อกำลังสงบที่สุด

ชายหนุ่มหยิบวัตถุดิบที่หลินเทียนหาวหามาให้ด้วยใจที่นิ่งสงบ และเริ่มกระบวนการหลอมในที่สุด วัตถุดิบทุกชิ้นได้รับการปฏิบัติอย่างเอาใจใส่ละเอียดละออ พลังปราณและความคิดของหวังเป่าเล่อสอดประสานเข้ากับวัตถุดิบเหล่านั้น ทำให้ชายหนุ่มคุ้นเคยกับมันอย่างดีเหมือนเป็นหลังมือของตนเอง ความมั่นใจของเขาพุ่งสูงขึ้น และตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เริ่มหลอมแก่นวิญญาณ!

ขั้นตอนการหลอมแก่นวิญญาณนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในมโนภาพของหวังเป่าเล่อ เขาจึงช่ำชองในการสร้างแก่นวิญญาณเป็นอย่างดี และทำได้ในอัตราที่เร็วมาก มือของชายหนุ่มนิ่ง เขารู้ดีว่าตนเองควรทำสิ่งใดต่อ ท่วงท่าของหวังเป่าเล่อมั่นคงไร้ซึ่งความโกลาหล ผู้ใดที่ได้มองเขาหลอมแก่นวิญญาณนี้คงรู้สึกได้ถึงความน่าประทับใจ ราวกับกำลังมองศิลปินเสกสร้างผลงานชิ้นเอกด้วยพรสวรรค์ที่ธรรมชาติมอบให้

แก่นวิญญาณที่สร้างจากศิลาวิญญาณสมบูรณ์แบบค่อยๆ ปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม เมื่อสร้างแก่นวิญญาณเสร็จเรียบร้อย ลำดับต่อไปคือการสลักอักขราจารึกลงบนแก่นวิญญาณ ขั้นตอนนี้ยากเอาการ แต่หวังเป่าเล่อที่รู้สูตรคำนวณอักขราจารึกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็สามารถทำได้ด้วยความเร็วอันน่าตกใจ เขาได้คิดวิเคราะห์ขั้นตอนนี้มาเป็นเวลานาน จึงพร้อมเผชิญหน้ากับความยากไม่ว่าจะมากเพียงใดก็ตาม

ไม่นานนัก อักขระก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละตัวบนแก่นวิญญาณ จำนวนอักขระเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียงร้อยเกี่ยวพันกันพอประมาณ มีบางอักขระที่ซึมเข้าไปภายในแก่นวิญญาณด้วย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจกับผลงาน แม้แก่นวิญญาณนี้จะอัดแน่นไปด้วยอักขราจารึกมากมายก็ตามที

นั่นเพราะอาวุธเวทและวัตถุเวทนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นจำนวนอักขราจารึกจึงแตกต่างกันเช่นกัน ดังนั้นแม้แก่นวิญญาณในมือของหวังเป่าเล่อจะเต็มไปด้วยอักขระที่เบียดกันอยู่หนาแน่น แต่ชายหนุ่มก็ยังเดินหน้าสลักอักขระทับลงไปอีกมากมายหลายชั้น!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อใช้สี่ชั่วโมงไปกับการหลอมแก่นวิญญาณ และสี่วันไปกับการสลักอักขราจารึก เมื่อกระบวนการสลักอักขระเสร็จสิ้นเรียบร้อย สีหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด แม้พลังปราณของเขาจะสูงพอตัว แต่ร่างกายก็เดินทางมาถึงขีดจำกัดแล้ว ในสี่วันที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อเพ่งสมาธิ ร่างกาย และจิตใจทั้งหมดไปกับการสร้างแก่นวิญญาณ โดยไม่หยุดและไม่ผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

การหลอมอาวุธเวทนั้นไม่ควรปล่อยให้ขั้นตอนการหลอมติดขัดโดยเด็ดขาด และจะต้องทำให้เสร็จในคราวเดียวเท่านั้น อาวุธเวทจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อการหลอมดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง และการสลักอักขราจารึกสำเร็จเสร็จสิ้นภายในคราวเดียว และนี่คือภารกิจอันแสนยากยิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทจะต้องเผชิญ

หลังจากสลักอักขระเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ต้องหลับตาลงเพื่อพักผ่อนเอาแรงในคืนนั้น ในเช้าของวันที่ห้า ชายหนุ่มตื่นขึ้น และเริ่มดำเนินการสร้างความแข็งแกร่งให้กับวัตถุดิบที่ใส่ลงไปในอาวุธเวท กระบวนการนี้กินเวลาสามวัน เมื่อวัตถุดิบล้ำค่ามากมายหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นวิญญาณ รูปร่างอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทุกนาที

ในคืนวันที่เก้าของการถือสันโดษ โทรโข่งสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ โทรโข่งนั้นมีสีแดงเข้มเหมือนโลหิต แลดูเหมือนเพิ่งถูกหยิบออกจากหินหลอมละลาย เพียงแค่แตะก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่อัดแน่นอยู่ภายใน และหน้าตาของมันก็ดูน่าประทับใจเป็นอย่างมาก

พลังความรุนแรงของอาวุธเวทนี้ทิ้งห่างวัตถุเวทระดับหกทั่วไปอยู่มากโข แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเป็นเพราะคุณภาพของการหลอมและวัตถุดิบที่ทำให้อาวุธเวทชิ้นนี้มีคุณภาพสูงมาก ทว่าตอนนี้โทรโข่งสีแดงเข้มนี้ยังไม่ใช่อาวุธเวทระดับเจ็ด แต่เป็นเพียงวัตถุเวทระดับหกชั้นเยี่ยมเท่านั้น

ต่อไปก็ วิญญาณวุธ… ประกายวาบขึ้นมาในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยิบกล่องหยกที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมา กล่องหยกนั้นมีสีน้ำเงินและเย็นเฉียบเมื่อสัมผัส ดูเหมือนว่ากล่องหยกนี้จะถูกสร้างมาเพื่อเก็บบางสิ่งโดยเฉพาะ

ของที่ว่านั้นก็คือ วิญญาณของอสูรพยัคฆ์ที่มีปราณระดับรากฐานตั้งมั่นนั่นเอง เมื่อหวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณของตนเข้าไปในกล่องหยก ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องแทบหูดับก็กังวานอยู่ในสมองเขา เสียงคำรามนั้นมีความบ้าคลั่งและความดื้อรั้นเจืออยู่ พร้อมด้วยความต้องการที่จะเป็นอิสระจากพันธนาการของกล่องหยกนี้

ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้คงจะกลัวจนหัวหดเมื่อได้ยินเสียงคำรามดุร้ายบ้าเลือดนี้ หากไม่ระวังตัวให้ดี วิญญาณของพวกเขาอาจสั่นคลอนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ พลังของเขานั้นมากพอที่จะสะกดวิญญาณร้ายนี้เอาไว้ได้ ชายหนุ่มเปิดกล่องหยกสีน้ำเงินออกอย่างใจเย็น มือซ้ายจับกล่องเอาไว้มั่น เสียงคำรามของวิญญาณอสูรพยัคฆ์ทวีความดังขึ้นไปอีก พร้อมหมอกมืดที่พวยพุ่งออกมาจากกล่อง ก่อนกลายสภาพเป็นวิญญาณพยัคฆ์นิล เมฆหมอกชั่วร้ายที่อุบัติขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเสือร้ายพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหมายโจมตี

แต่ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัว หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็พ่นลมเยาะเย้ย อัสนีสวรรค์ในกายหมุนวน ก่อให้เกิดสายฟ้าฟาดที่วาบอยู่ในแววตาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ทันใดนั้นวิญญาณพยัคฆ์ร้ายก็ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สีหน้าของมันแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน มันต้องการจะถอยหนีแต่ก็สายไปเสียแล้ว หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นคว้าวิญญาณเสือ และจับมันยัดเข้าไปในโทรโข่ง

ทันทีที่วิญญาณเสือร้ายถูกจับใส่โทรโข่ง หวังเป่าเล่อก็ปลุกผนึกฝ่ามือเพื่อกระตุ้นอักขราจารึกในโทรโข่งให้ทำงานทันที เขาเดินหน้าปลุกอำนาจของอักขระต่อตามกระบวนการการหลอมรวมวิญญาณ พร้อมทั้งใส่วัตถุดิบที่ยังไม่ได้หลอมเข้ากับโทรโข่งเข้าไปเพิ่ม การหลอมอาวุธเวทเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ !

หวังเป่าเล่อกำลังหลอมทั้งโทรโข่งและวิญญาณเสือร้ายไปพร้อมๆ กัน เสียงคำรามของวิญญาณพยัคฆ์นั้นยังคงกึกก้อง แต่ชายหนุ่มสงบนิ่ง เขาเดินหน้าสร้างอาวุธเวทชิ้นแรกของตนเองต่อ จนในที่สุด เสียงคำรามของวิญญาณเสือก็ค่อยๆ เงียบลง สามวันผ่านไป ในที่สุดวิญญาณวุธก็รวมเข้ากับวัตถุเวทจนเป็นหนึ่งเดียว!

โทรโข่งที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในตอนนี้มีหน้าตาเปลี่ยนไปอีกครั้ง สีของโทรโข่งยังเป็นสีแดง แต่มีไอแสงประหลาดแผ่ออกมาจากโทรโข่งนั้น หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าแสงประหลาดนั้น คือร่างมายาวิญญาณของพยัคฆ์ในโทรโข่งนั่นเอง!

พลังอำนาจของโทรโข่งเพิ่มสูงขึ้นจากตอนแรกมาก แม้จะยังไม่ใช่อาวุธเวทโดยสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าเป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดในขั้นหนึ่งแล้ว

ต่อไปคือการนำดวงจิตของเทพเจ้ามารวมเข้ากับโทรโข่งนี้! หวังเป่าเล่อสะกดความตื่นเต้นและความคาดหวังเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป แม้จะพยายามหายใจเข้าลึกเพื่อทำจิตใจให้สงบ ชายหนุ่มวาดมือเพื่อหยิบอาวุธเวททั้งสองชิ้นของตนออกมา และจัดการปลุกมันเพื่อเข้าฌานในทันที!

สองสัปดาห์หมุนเวียนผ่านไป ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงนั่งทางในเพื่อตามหาดวงจิตของเทพเจ้า นครใหม่ยังคงเดินหน้าไปตามปกติเช่นเดิม ส่วนละอองปีศาจทั้งหมดที่เฉินมู่ปล่อยออกมาก็พบเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะเจ้าลาที่ดูเหมือนจะกินละอองนั้นเข้าไปมากเป็นพิเศษ เฉินมู่ตั้งใจปล่อยให้เจ้าลากินละอองปีศาจเข้าไป จนมันสวาปามละอองเหล่านั้นไปถึงร้อยละสามสิบจากที่เฉินมู่ปล่อยออกมาทั้งหมด!

แม้แต่ตัวเฉินมู่เองยังตกใจเมื่อรู้เข้า แต่เมื่อชายหนุ่มนึกถึงสภาพอันแสนเลวร้ายของเจ้าลาในอนาคต เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาและความเหี้ยมเกรียมมากกว่าเดิม แววความคาดหวังฉายชัดในดวงตา

อีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset