หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 781 ปักษา จงผงาด!

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าจั่วอี้เซียนคิดสิ่งใดอยู่โดยละเอียด แต่ก็พอเดาได้เป็นส่วนๆ เมื่อนำการวิเคราะห์นั้นมารวมกับนิสัยจั่วอี้เซียนที่เขารู้ดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มก็พอคาดการณ์ได้ในใจ

เขาหรี่ตาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนประกาศ “ข้าไม่ขาย!”

เสียงของเขาดังออกมาจากถ้ำที่พัก ลอยไปเข้าหูสามคนและหนึ่งลาที่อยู่ข้างนอก หูของเจ้าลากระตุก แววตาของเจ้าอู๋น้อยสว่างวาบ มีเพียงจั่วอี้เซียนแล้วผู้ฝึกตนหญิงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยน

จั่วอี้เซียนดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนน้องสาวเทพธิดาหลิงโยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางมุ่นคิ้วจ้องประตูถ้ำ น้ำเสียงเย็นเยียบ

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าชอบสัตว์เลี้ยงของเจ้ามาก โปรดขายให้ข้าเถิด ข้าขอแลกด้วยผลดวงใจน้ำแข็งหนึ่งผล!”

เมื่อหวังเป่าเล่อซึ่งสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมาตลอดได้ยินคำว่าผลดวงใจน้ำแข็ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย เมื่อหลายวันก่อนตอนที่เขาซื้อวัตถุดิบ เขาไปเห็นเจ้าผลนี่เข้า ซึ่งมีเฉพาะในอาณาเขตของกองทหารวิหคน้ำแข็งเท่านั้น

ต้นของผลไม้ชนิดนี้มาจากอารยธรรมต่างดาว หลังจากที่กองทหารวิหคน้ำแข็งไปปล้นทำลายอารยธรรมต้นกำเนิดของต้นไม้นี้เรียบร้อย พวกเขาก็นำต้นกลับมาปลูกที่บริเวณต้องห้ามของอาณาเขต ต้นไม้นี้จะออกผลทุกร้อยปี ครั้งละราวร้อยผล ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยและไม่เยอะเกินไป จึงทำให้ราคาของแต่ละผลนั้นแพงเอาเรื่องเลยทีเดียว เมื่อใส่ผลไม้ชนิดนี้เข้าไปในโอสถก็จะช่วยเพิ่มฤทธิ์ของยาได้

หากกินโดยตรง ก็จะมีฤทธิ์ทำให้พลังปราณของผู้ที่กินเสถียรขึ้น ด้วยความที่ผลดวงใจน้ำแข็งนั้นหายากมาก หวังเป่าเล่อจึงสนใจมันเช่นกัน

“ข้าเลี้ยงเจ้าตัวนี้มานาน เราทนแยกจากกันมิได้หรอก ดังนั้น…ลืมไปเสียเถิดนะ” หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงถอนใจยาวของหวังเป่าเล่อก็ลอยออกมาจากถ้ำที่พัก เมื่อประโยคนั้นเข้าหูเจ้าลา มันก็ส่งเสียงร้องฮี้ดีใจออกมาทันที เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเดินเข้าไปจัดขนมันให้เรียบด้วยดวงตากระตือรือร้นอย่างประหลาด

ส่วนจั่วอี้เซียนนั้นเดือดดาลเป็นอันมาก หากไม่กลัวจนไม่กล้าพูด เขาคงบอกผู้ฝึกตนหญิงข้างกายเป็นแน่ ว่าหลงหนานจื่อเพิ่งซื้อเขามาไม่นาน และยินยอมพร้อมใจจะจากเขาไปอย่างแน่นอน

“ผลดวงใจน้ำแข็งสองผล!” น้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวเลิกคิ้วขึ้น ต่อให้นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อโกหก ก็ยังขี้เกียจเกินกว่าจะเถียงด้วย จึงเลือกเพิ่มมูลค่าการแลกเปลี่ยนแทน

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขายังคงพูดต่อไปโดยไม่พยายามซ่อนเสียงลมหายใจเข้าที่เจือความตื่นเต้นแม้แต่น้อย

“แต่ว่า…ข้าใช้เงินกับเจ้านี่ไปมาก ข้าซื้ออาหารชั้นดีให้มันกินทุกวัน จนทำให้หน้าตาของมันหล่อเหลาเอาการ ซึ่งความหน้าตาดีของสัตว์เลี้ยงข้านี้ไม่เกี่ยวกับราคาอย่างแน่นอน แต่เป็นสายสัมพันธ์ฉันเจ้าของสัตว์เลี้ยงของเราต่างหากที่…”

“สี่ผล!” ผู้ฝึกตนหญิงเริ่มรำคาญเล็กน้อย

“สายสัมพันธ์ของเรานั้น…”

“สิบผล หลงหนานจื่อ แค่นี้ก็แพงมากเกินพอแล้ว หากเจ้ายังไม่ยอมขาย ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปจากข้าแม้แต่ผลเดียวเลย!” นางพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมด้วยกลิ่นอายการข่มขู่

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัว เขาพยักหน้าตกลงไปล้านรอบแล้วในใจ แต่เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เขาก็ทำทีเหมือนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบตกลงด้วยน้ำเสียงลังเลใจ

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อตอบตกลง จั่วอี้เซียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน ขณะที่เขากำลังแอบเนื้อเต้นอยู่คนเดียวนั้น ผู้ฝึกตนหญิงก็รีบสรุปการแลกเปลี่ยนกับหวังเป่าเล่อ จ่ายค่าสัตว์เลี้ยง และพาชายหนุ่มจากไป

เจ้าอู๋น้อยที่ยืนมองการแลกเปลี่ยนอยู่ด้วยตาของตนเองนั้น เดินไปยังที่ที่จั่วอี้เซียนยืนอยู่เมื่อครู่ ก่อนถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจถึงขีดสุด

“ไอ้สมองหน้าปัญญาควาย ได้อยู่กับท่านบิดาก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงพวกเราจะแค่ทำหน้าที่เฝ้าประตู แต่อย่างน้อยท่านบิดาก็ปฏิบัติกับมันเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันข้า แต่ตอนนี้มันกลับลอยหน้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงคนอื่นเสียแล้ว โง่เป็นบ้า ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ นายท่านคนที่สอง” ขณะที่พูดเขาก็ยังไม่วายจัดขนเจ้าลาไปด้วย

ดูเหมือนความสามารถในการจัดขนของเขาจะดีเยี่ยม เจ้าลารู้สึกสบายจนถึงกับส่ายหางเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงร้องฮี้แสดงความเห็นด้วย

หวังเป่าเล่อไม่สนใจปาหี่ที่หน้าถ้ำตนเองแม้แต่น้อย เขาเก็บผลดวงใจน้ำแข็งเอาไว้หนึ่งผล และขายเก้าผลที่เหลือไปทั้งหมดเพื่อแลกเป็นวัตถุดิบจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสามทันที

ด้วยกระบวนการหลอมที่เคยใช้ หวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับสิบสาม พลังสะท้อนกลับของโล่เพิ่มเป็นร้อยละ 130 ซึ่งทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นด้วย

แต่ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นอีกครั้ง และบรรลุความสำเร็จครั้งใหญ่เพราะสามารถเสริมพลังโล่จากระดับสิบสามไปเป็นระดับสิบเจ็ดได้!

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดสร้างมาจากการผูกโล่ระดับเจ็ด 20,000 ชิ้นเข้าด้วยกัน พลังสะท้อนกลับคือร้อยละ 170 แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะยังต้องระวังหากเผชิญหน้ากับโล่นี้เพราะเป็นไปได้ที่จะได้รับผลสะท้อนกลับซึ่งเป็นอันตรายมหาศาล

นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ภายใน หากดูจากภายนอก โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนอยู่รอบกายเขาหน้าตาดูเหมือนระดับสาม แต่ในความจริงแล้วมันคือโล่ระดับเจ็ด ดังนั้นใครที่ไม่ระวังตัวอาจพลาดจนถึงแก่ความตายได้

ทว่าหลังจากที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาได้ถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจในผลงาน ยิ่งหลอมมากเท่าไหร่ จิตใจของเขายิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น หลังจากวิเคราะห์อยู่สักพัก เขาก็คิดได้ว่าปัญหาอยู่ที่การซ้อนอักขระ แม้วิธีการนี้จะเพิ่มระดับของโล่ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่

ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ระดับสิบแปด หากคิดจะเดินหน้าเพิ่มระดับของมันต่อไป…ข้าต้องเปลี่ยนวิธีการ! หวังเป่าเล่อถอนหายใจและนวดหน้าผากตนเอง หลังจากพักสักครู่ เขาก็คิดต่อ จนเวลาผ่านไปสามวันเต็ม

สามวันต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มได้แรงบันดาลใจจากการคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เขาก็ได้รับคำสั่งให้ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานสาธารณะ คำสั่งนั้นระบุชัดเจนว่ากองทหารอันดับที่สิบเอ็ด ท้ากองทหารวิหคน้ำแข็งประลอง!

คำสั่งดังกล่าวทำให้การคิดวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อถูกขัดจังหวะ เขาขมวดคิ้วและตัดสินใจไม่ไปตามคำสั่ง ทว่า…คำสั่งที่สอง สาม และสี่ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว

“กองทหารอันดับที่ห้า หก และเจ็ด จะให้การช่วยเหลือกองทหารที่สิบเอ็ด พวกเขาจะมาถึงในอีกหกชั่วโมง!”

“การประลองระหว่างสองกองทหารจะเกิดขึ้นภายในหกชั่วโมงนับจากนี้!”

ประกาศนี้มาพร้อมการเรียกระดมพลทหารทั้งกองทัพ และยังมีภารกิจส่งมาถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขาถูกส่งไปที่ชายแดนเพื่อช่วยสหายซ่อมแซมวัตถุเวทของกองทหารตามคำสั่ง

ในตอนเดียวกันนั้น เสียงประกาศของเทพธิดาหลิงโยวก็ดังไปทั่วกองทหาร นางบอกให้ผู้ฝึกตนภายใต้สังกัดกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนเตรียมรับมือการประลองกับกองทหารอันดับที่สิบเอ็ด และกองทหารอันดับแปดและเก้าจะมาช่วยพวกเขาในการประลองในฐานะพันธมิตร

ประกาศเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้อ่าน แม้เขาจะไม่อยากเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ก็ยังต้องเดินออกจากถ้ำที่พักไปประจำที่ตามภารกิจซึ่งได้รับมอบหมาย

ระหว่างทาง เขาเห็นทุกคนในกองทหารมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศเพื่อประจำที่นั้น บรรยากาศทั้งหมดก็กดทับลงมาบนตัวเขา

หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึงที่ที่ตนเองต้องประจำการอย่างรวดเร็วตามคำสั่งท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดกดดัน ที่แห่งนี้คือชายแดนอาณาเขตกองทหารวิหคน้ำแข็งซึ่งรายล้อมไปด้วยรูปปั้นยักษ์นับสิบ ผู้ฝึกตนหลายคนกำลังล้อมรอบรูปปั้นเหล่านั้นและตรวจดูสภาพ เมื่อเสร็จเรียบร้อย พลังอำนาจของรูปปั้นยักษ์ก็ถูกปลุกขึ้นมา รูปปั้นทั้งหมดหมุนวนเป็นวงกลม ปล่อยคลื่นกดดันออกมาเป็นริ้วๆ

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ยุ่งสาละวนแล้ว หวังเป่าเล่อกลับยืนทื่ออยู่ตรงนั้น หน้าตาเหมือนโดนสะกดจิต ในใจคิดถึงแต่แรงบันดาลใจจากโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ตนเองคิดขึ้นได้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนเวียนมาบรรจบครบหกชั่วโมง หลังจากที่เตรียมตัวมาครบหกชั่วโมง กองทหารวิหคน้ำแข็งทั้งหมดก็ดูเหมือนอสูรร้ายที่ลืมตาตื่นขึ้นจากการจำศีล

บนพื้นดิน กองทัพหุ่นเชิดนับไม่ถ้วนยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ในบรรดาหุ่นเชิดทั้งหมดนี้ มีอยู่ตัวหนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เมื่อดูที่ศีรษะของมัน จะเป็นว่ามีผู้ฝึกตนหญิงในชุดเกราะนั่งไขว้ห้างอยู่ รูปลักษณ์ของนางดูเหมือนเทพธิดาแห่งสงครามอย่างไรอย่างนั้น

สตรีผู้นี้คือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ซึ่งเป็นคนวงในของเทพธิดาหลิงโยว และหวังเป่าเล่อก็เคยพบนางมาก่อน

ส่วนบนท้องฟ้านั้น เรือบินรบมากมายปกคลุมทั่วน่านฟ้าจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ เรือบินรบเหล่านั้นกระจายไปทั่วบริเวณ สตรีขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อีกผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างอวบอัดยั่วยวนใจ กำลังยืนอยู่บนเรือบินรบลำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองที่ขอบฟ้าไกลออกไป

นอกจากนั้นยังมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุกสิ่ง บนแท่นบูชามีสตรีอีกนางหนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้นั้นไม่ใช่เทพธิดาหลิงโยว หากแต่เป็น…สตรีหน้ารูปไข่ที่หวังเป่าเล่อเคยเจอก่อนหน้านี้ นางรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเอกสำหรับการต่อสู้นี้!

ส่วนเทพธิดาหลิงโยวนั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ในตำหนักเบื้องหลัง!

บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังส่งผลต่อจิตใจของผู้ฝึกตนทุกคนในที่แห่งนี้ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ…เขายืนอยู่ตรงนั้นก็จริง แต่ในใจกลับมีแต่สูตรการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ และในตอนนั้นเอง…การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น!

เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง สายลมก็พัดโหมกระหน่ำ หมู่เมฆบนฟากฟ้าเหนือกองทหารวิหคน้ำแข็งเคลื่อนถอยหลังกลับ เสียงกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมรอยแยกที่ปรากฏขึ้นในอากาศ ราวกับว่ามือยักษ์กำลังฉีกทำลายสวรรค์ให้ขาดเป็นชิ้นๆ !

ในตอนนั้นเอง เรือบินรบจากกองทหารอันดับที่ห้า หก เจ็ด และสิบเอ็ด ก็ปรากฏออกมาจากรอยแยก!

ทันทีที่ศัตรูมาถึง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนหน้ารูปไข่ในชุดยาวสีส้มเหนือรูปปั้น นางพูดเสียงเย็นก้องสะท้อนไปทั่วสมรภูมิรบ

“ปักษา จงผงาด!”

……………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset