หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 783 เป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ!

เสียงกรีดร้องนั้นแหลมสูงชวนสันหลังวาบอย่างถึงที่สุด แม้แต่ในสนามรบเอง ทุกคนที่กำลังต่อสู่กันอยู่ยังต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหันมามอง สมรภูมิที่เคยอึกทึกครึกโครมบัดนี้กลับเงียบสงัด…

ทุกคนมองไปยังประมุขหลิงเถาที่กำลังกรีดร้องอย่างเสียมิได้ แขนของเขาระเบิดหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว หน้าอกยุบ หอกแหลกสลาย ก้อนน้ำแข็งสีดำที่อยู่แทบเท้าก็เริ่มร้าว องค์ประกอบทุกอย่างทำให้ภาพนี้…ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก!

สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องภาพของประมุขหลิงเถาที่ลอยไปในอากาศ และตกกระแทกพื้นดังตุบอย่างรุนแรงจนทำให้อิฐศิลาครามแตกร้าว เลือดสดๆ ยังคงไหลทะลักไม่หยุด ประมุขหลิงเถาที่แทบเอาชีวิตตนเองไม่รอด กำลังดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นด้วยแววตางุนงง เขามองหวังเป่าเล่อ จิตใจอัดแน่นด้วยความคิดมากมาย

เกิดบ้าอะไรขึ้น! ประมุขหลิงเถางุนงงจนคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขายังจิตใจเบิกบานมีชีวิตชีวา เชื่อมั่นว่าเมื่อปราณของตนพัฒนาถึงขั้นแสร้งอมตะแล้ว จะต้องสามารถนำกองทหารก้าวขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน และตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุด

ทว่าเมื่อไม่กี่นาทีต่อมา…เขาเพียงพุ่งหอกใส่หวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้ หวังเป่าเล่อกลับสร้างพายุที่น่าสยองขวัญจับใจเข้ามากลืนกินตัวเขาจนสิ้นสภาพ โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ

ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่… นี่คือความคิดสุดท้ายของประมุขหลิงเถา ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่และหมดสติไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่หรือตาย

การโจมตีของประมุขหลิงเถาเมื่อครู่รุนแรงด้วยความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อ เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาซุบซิบนินทาตน จึงอัดพลังเข้าไปเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรงสะท้อนกลับจากโล่นั้นมากถึงร้อยละ 170 ซึ่งรุนแรงกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะทานทนได้ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะปัดป้องเสียด้วยซ้ำไป

ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าประมุขหลิงเถายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงซึ่งกำลังดูการสู้รบอยู่…รวมถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างพากันสีหน้าเปลี่ยนในทันที สายตาทุกคู่จากทุกทิศทางมันหาจับจ้องหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว ก่อนจะสังเกตเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขา!

ตอนแรกไม่มีใครใส่ใจสังเกตโล่ของหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากหลายภาคส่วนก็เริ่มมีสีหน้าประหลาด และเมื่อมองดูดีๆ อีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าโล่นี้เป็นโล่ระดับเจ็ด ไม่ใช่ระดับสามตามที่หน้าตาของมันปรากฏ ส่วนการสร้างปรากฏการณ์น่าตกใจเมื่อครู่นั้นเกิดจากวิธีการใดก็ไม่ทราบได้

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาพากันมีสีหน้าประหลาด สิ่งที่ทำให้ทุกคนเป็นเช่นนั้น ก็คือความจริงที่ว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสูงที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กลับถูกจงใจแปลงสภาพให้มีหน้าตาเหมือนโล่ระดับสาม

“เจ้าเล่ห์เป็นบ้า!”

“หมอนี่มัน…อย่าไปยุ่งกับมันจะเป็นการดีที่สุด!”

“หมอนี่ทำให้คนบาดเจ็บปางตายจนพิการแต่กลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย!”

ขณะที่ความคิดเหล่านี้กำลังผุดขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนชั้นสูงของสำนัก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกรางๆ ว่ามีสายตาจากเบื้องบนจ้องลงมายังตัวเขา จิตใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกตึงเครียดโดยไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ชายหนุ่มทั้งรู้สึกสิ้นไร้ไม่ตอกและเป็นกังวล เขามองประมุขหลิงเถาที่ชะตากรรมเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ก่อนจะหันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหน้าตาน่าเกลียดเบื้องหน้าตน จากนั้นก็กระแอมกระไอออกมา และกวาดตามองไปรอบตัว ทุกคนในที่แห่งนั้นมองจ้องเขาเป็นตาเดียว ทั้งยังปากอ้ากว้างด้วยความตกตะลึง หวังเป่าเล่อดึงสีหน้าใสซื่อ เขาเดินไปหาฝูงชนสองสามก้าว

“พวกเจ้าก็เห็นกันหมดไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ความผิดข้านะเรื่องนี้ ข้ายืนคิดนู่นนี่อยู่เงียบๆ คนเดียว จู่ๆ หมอนี่ก็เข้ามาแตะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้า แล้วก็บาดเจ็บไปเสียอย่างนั้น… ข้าว่าเขาแสดงละครแล้วละ!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อ รวมถึงการที่เขาก้าวเข้าไปหาฝูงชน เปรียบเสมือนการโยนหินก้อนเขื่องลงในน้ำนิ่งจนทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นระลอก ทำให้ฝูงชนโดยรอบหันไปมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเหมือนเห็นผี และรีบถอยหลังเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง…

“อย่าเข้ามา!”

“หยุดเดี๋ยวนี้ หลงหนานจื่อ อย่าเพิ่งวู่วามไป!”

ขณะที่กำลังล่าถอย บรรดาผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับเจ็ดและแปดที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียว และมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนรอบกายหวังเป่าเล่ออย่างช้าๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวถึงขีดสุด

ผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นอยู่ในสังกัดเดียวกับหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาถอยหนีเพราะกลัวนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ผู้ฝึกตนจากกองทหารฝั่งตรงข้ามเองก็โยนความคิดที่จะแก้แค้นแทนประมุขหลิงเถาทิ้งไปเรียบร้อย และรีบถอยหนีอย่างรวดเร็วในทันที…

ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นฝันร้ายที่กำลังวิ่งไล่ตามพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น พวกเขามองว่าสิ่งที่กำลังลอยวนอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อนั้นหาใช่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ แต่เป็นอาวุธสังหารเลือดเย็นที่จะคร่าชีวิตทุกคนที่สัมผัสมันเข้า!

ไม่ใช่แค่เหล่ากองทหารเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ กระทั่งผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่เจ็ด ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่มีปราณขั้นแสร้งอมตะและควบคุมกองกำลังเช่นกัน ยังมองเขาเหมือนเห็นผีและล่าถอยด้วยความเร็วที่มากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก พอหายจากอาการตกใจเรียบร้อย ความรู้สึกว่าตนเองรอดความตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็ผ่านเข้ามาในใจ

สวรรค์เป็นพยาน นั่นมันโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงหรือ ไม่มีทางเป็นอันขาด!

หากเขาไม่ได้ขยับตัวช้ากว่าเล็กน้อยจนถูกประมุขหลิงเถาแซงหน้าไปก่อน คนที่ต้องบาดเจ็บปางตายนอนหายใจรวยริน หรืออาจไปโลกหน้าแล้ว คงไม่ใช่หลิงเถา แต่เป็นเขานั่นเอง

ทว่าในตอนนั้นเอง… แม้เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่หลบหนี แต่ด้วยความที่มีพลังปราณสูงสุดในหมู่คนทั้งหมด หวังเป่าเล่อจึงสังเกตเห็นเขา และยกมือขึ้นทักทาย

“สหายเต๋าตรงนั้นน่ะ ท่านก็เห็นเหมือนกันใช่หรือไม่ ท่านต้องช่วยข้าพิสูจน์นะว่าหมอนั่นมันแกล้งทำ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายที่ตนเองส่งปลิวออกไปเมื่อครู่น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว

ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่กำลังถอยหลังอยู่ในอากาศ รู้สึกถึงอารมณ์มากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ และกำลังจะระเบิดความรู้สึกทั้งหลายออกมา แต่ดูเหมือนเขาจะกลัวการถูกหวังเป่าเล่อตามตื๊อมากกว่า จึงตัดสินใจหันหลังกลับและรีบเร่งทะยานออกจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งไป เขาเหาะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ในทันที บรรดาผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับที่เจ็ดและสิบเอ็ดต่างก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่นานนัก พวกเขาก็ออกจากไปจนหมดเกลี้ยง…

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อทำตัวไม่ถูกอย่างถึงขีดสุด เขามองผู้ฝึกตนหญิงรอบกาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นใจดี ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ทุกคนก็พากันถอยหนีอีกครั้งด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว

“เป็นอะไรกันไปหมด ข้าไม่ใช่อสูรกายกินคนนะ…” หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองและถอนใจยาว

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายของของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ควบคุมการรบทั้งสิ้น นางตัวแข็งอยู่กับที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง การจากไปของผู้ฝึกตนคู่อริจำนวนมากทำให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทุกคนหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงแหวนปราณด้วยสีหน้าตกใจ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ก็เห็นร่างของประมุขหลิงเถานอนนิ่งไม่ไหวติงได้อย่างชัดเจน

“เกิดอะไรขึ้น”

“หลิงเถาไม่ได้เพิ่งเข้าไปหรือ นี่มันอะไรกัน…”

“ผู้บัญชาการเมฆาวารี เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ!”

เมื่อถูกเหล่าผู้ฝึกตนรอบกายกดดันเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ดึงสีหน้าเหยเกแล้วเอ่ยว่า “ใครอยากสู้ต่อก็ตามใจพวกเจ้า แต่ข้าพอแล้ว ใครมันจะไปต่อกรกับปีศาจร้ายที่กองทหารวิหคน้ำแข็งซ่อนเอาไว้ได้กัน…”

หลังจากที่ตะโกนตอบคำถามเรียบร้อย ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็จากไปพร้อมบริวารของตนอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก

การจากไปของเขา กับความจริงที่ว่าไม่มีใครทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา ทำให้กลุ่มพันธมิตรอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมังกรแดงก็กำลังห้ำหั่นกับเทพธิดาหลิงโยวอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งจึงได้โอกาสโต้กลับ!

ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่สั่งให้คนเข้าจับกุมประมุขหลิงเถาในทันที นับว่าเขาโชคดีที่ไม่ได้เสียชีวิต… นางเหาะไปดูอาการของอีกฝ่ายด้วยตนเอง พลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะมาหยุดที่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และโค้งคำนับเป็นมุมฉากด้วยความเคารพ

“ในสมรภูมินี้ สหายเต๋าหลงหนานจื่อได้ทำคุณงามความดีเอาไว้มากที่สุด! โปรดช่วยโจมตีศัตรูของเราต่อ และช่วยให้กองทหารของเราได้รับชัยชนะด้วยเถิด!” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ นางโค้งต่ำให้หวังเป่าเล่ออีกครั้งหลังจากที่พูดจบ

หวังเป่าเล่อมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า พลางพยายามคิดหาวิธีปฏิเสธอย่างสุภาพ ตอนนี้ความต้องการของเขาแน่วแน่ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการเดินหน้าวิจัยเรื่องโล่ต่อไป แต่ภายในอึดใจเดียวผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

“หลังจบการรบเราจะมอบรางวัลให้ผู้ที่มีบทบาทให้เราได้กำชัยมากที่สุด ข้าสัญญาว่าท่านจะพึงพอใจกับผลตอบแทนอย่างแน่นอน!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบ เขาคิดย้อนไปว่าชีวิตของตนในกองทหารวิหคน้ำแข็งก็มีความสุขดี แม้เทพธิดาหลิงโยวจะไม่ได้ยินดียินร้ายกับเขา แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ สนามรบภายนอกวงแหวนปราณ และพยักหน้าตอบรับ

“ข้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่ต้องรับใช้กองทัพ!” หวังเป่าเล่อเอ่ย พร้อมขยับตัวทะยานออกนอกวงแหวนปราณไป!

ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ร่างของชายหนุ่มก็อันตรธานไป และมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้านอกวงแหวนปราณ ทันทีที่เขามาถึง ผู้ฝึกตนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ราวแปดคนก็พุ่งเข้าโจมตี ก่อนจะปลิวว่อนพร้อมเสียงกรีดร้องทรมาน ทั้งเลือดพร้อมเศษเนื้อสาดกระเซ็น หวังเป่าเล่อถอนใจ เขาตระหนักดีว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะต้องถูกคนที่มียศสูงกว่าในสำนักนี้ยึดไปอย่างแน่นอน

แต่จากการคำนวณของข้า ข้าเพียงตั้งใจว่าจะทดลองใช้วิธีซ้อนอักขระจนสุดทางเท่านั้น จากนั้นก็จะเลิกใช้วิธีนี้และหันไปเปลี่ยนโครงสร้างของโล่แทน ดังนั้นต่อให้มีคนเอามันไปจากข้า…มันก็จะเป็นเพียงโล่รูปแบบเก่าเท่านั้น นอกจากนี้ข้าเองก็เป็นสมาชิกของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงจะใช้กำลังยึดไปจากข้าไม่ได้ หากรูปการณ์เป็นไปในแนวนี้แล้วละก็…ข้าก็ควรใช้โอกาสนี้สำแดงอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงขีดสุด เพื่อที่จะทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก!

……………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset