หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 806 โลกคือละครและเราทุกคนต่างก็เป็นนักแสดง!

เซี่ยไห่หยางลอบยิ้มให้หวังเป่าเล่อก่อนจะกระแอมกระไอและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เจ้าก็ควรได้รับราคาที่ดีที่สุด ข้าลดให้…ร้อยละยี่สิบเลยเป็นอย่างไร”

หวังเป่าเล่อตาลุกวาวเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะเดินจากไป แต่เปลี่ยนท่าทีเป็นระเบิดหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง เขาหยุดเมื่ออยู่ห่างราวสามเมตร ก่อนพูดด้วยเสียงอันดังและนัยน์ตาที่เรืองเรื่อไปด้วยความยินดีที่ได้เจอเพื่อนเก่าในดินแดนห่างไกล

“เซี่ยไห่หยาง สหายเต๋าเซี่ย ฮะฮ่า ช่างนานเหลือเกินตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้าย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมาพบเจ้าที่นี่ ข้ากลัวที่จะพูดกับเจ้าในตอนแรก แต่เมื่อมองเจ้าอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่นาน ข้าก็มั่นใจจนได้…ว่าเจ้าคือเซี่ยไห่หยาง สหายเก่าของข้า”

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แววตาเลื่อนลอยขณะที่หวนนึกถึงความหลังในอดีต ความสุขฉายฉาบอยู่บนสีหน้า ความเปรมปรีดิ์ของเขาแสดงแจ่มชัดออกมามากเสียจนดูเหมือนเป็นการเสแสร้ง…

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ ข้ารู้สึกว่าโชคชะตานั้นช่างเป็นสิ่งที่ทั้งแปลกประหลาดและเป็นปริศนา ทว่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตงดงามและมหัศจรรย์” หวังเป่าเล่อพูดขณะที่ทรุดตัวลงนั่ง

หลังจากที่ถอนหายใจด้วยความสุขไปหลายรอบ ชายหนุ่มก็กะพริบตาก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ในเมื่อที่นี่เป็นร้านของเจ้า และข้าจะได้ส่วนลดร้อยละยี่สิบเพราะเป็นเพื่อนกับเจ้า ข้าคงต้องแสดงการสนับสนุนและซื้อของเพิ่มสักหน่อย”

เซี่ยไห่หยางถึงกับตะลึงกับความเป็นมิตรอย่างปุบปับของหวังเป่าเล่อ มีความไม่แน่ใจฉายอยู่บนแววตาของชายหนุ่ม เจ้าของร้านจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างระแวดระวัง ก่อนจะถามขึ้นมา “สหายเต๋า เจ้าชื่ออะไรนะ”

“หือ” หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วอึดใจ ชายหนุ่มยังคงฉีกยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ข้าเป่าเล่อยังไงเล่า สหายเต๋าไห่หยาง เจ้าลืมชื่อข้าไปเสียแล้วหรือ”

สีหน้าของเซี่ยไห่หยางแปลกแปร่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความไม่แน่ใจในแววตาก็ยิ่งฉายชัดขึ้น เหมือนว่าจะไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตนเอง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอักขระลับจางๆ ที่เขาทิ้งไว้บนวัตถุเวทบางชิ้นของหวังเป่าเล่อเมื่อครั้งพบกันที่สหพันธรัฐจากในกระเป๋าคลังเก็บของหลงหนานจื่อ

อักขระลับดังกล่าวมีความลึกลับ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจมองเห็นได้นอกจากต้องเพ่งมองอย่างตั้งใจเท่านั้น วิชานี้ถูกส่งต่อมาจากผู้ก่อตั้งในตระกูลของเขา สมาชิกตระกูลเซี่ยต่างทิ้งร่องรอยเหล่านี้เอาไว้บนตัวลูกค้าที่พวกเขาวางแผนจะทำการค้าด้วยอย่างจริงจัง อักขระลับนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ในตระกูลสังเกตเห็นลูกค้าเหล่านี้ได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ อักขระลับก็จะช่วยให้พวกเขาไปปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงได้ทันท่วงที การใช้อักขระลับนี้ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายใดๆ อยู่เบื้องหลัง อันที่จริงแล้ว อักขระลับเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการอวยชัยให้พรเลยก็ว่าได้

แต่พลังงานที่แผ่ออกมาจากอักขระลับตรงหน้าช่างแผ่วจางเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะหลงหนานจื่อยืนอยู่ใกล้มาก เซี่ยไห่หยางก็คงสัมผัสถึงมันไม่ได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความกังขา แม้ว่าจะสัมผัสถึงอักขระได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้อักขระเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันตัวตนที่แท้จริงของหลงหนานจื่อได้

รัศมีและท่าทีที่หลงหนานจื่อแสดงออกมาก็แตกต่างจากเหล่าลูกค้าที่เซี่ยไห่หยางทิ้งอักขระเอาไว้ไม่น้อย

จึงเป็นเหตุให้เมื่อครู่เซี่ยไห่หยางได้ลองทำการทดสอบดู ชายหนุ่มไม่ได้ผลสรุปที่แน่นอนจากการทดสอบครั้งแรก ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อลองทดสอบครั้งที่สอง ปฏิกิริยาของหลงหนานจื่อทำให้เซี่ยไห่หยางแน่ใจขึ้นมาก

เพราะอย่างไรเสีย…แม้เขาจะเดินทางผ่านอารยธรรมมามากมาย แต่สหพันธรัฐก็เป็นที่เดียวที่มีธรรมเนียมว่าเมื่อเจ้าบ้านยกถ้วยชาขึ้น แขกจะต้องอำลากลับไปทันที

ทว่า…อากัปกริยาต่อมาของหลงหนานจื่อกลับทำให้เซียไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีก การยอมรับของหลงหนานจื่อนั้น…ง่ายดายเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำเพื่อจะให้ได้ส่วนลด

ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็ล้มเลิกความพยายามที่จะคาดเดา เขาจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะถามตรงๆ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าแซ่อะไร”

“หา?” หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นตกตะลึงและสับสน ชายหนุ่มทำเป็นไม่เข้าใจว่าเหตุใดสหายเก่าแก่จึงได้ลืมแซ่เขาได้ แต่กลับแอบปลื้มอยู่ในใจ

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าเซี่ยไห่หยางอ่านการปลอมตัวของเขาออกได้อย่างไร อย่างไรก็ตามแต่ ชายหนุ่มก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรือยอมรับว่ารู้จักเซี่ยไห่หยางตั้งแต่ต้น แต่อีกฝ่ายกลับยกถ้วยชาขึ้นและล่อลวงให้เขาหันหลังเดินจากมาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นการเปิดโปงตนเอง หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่ทันสังเกต แต่หวังเป่าเล่อรู้ว่าเซี่ยไห่หยางคนนี้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นแน่นอน

เป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงรีบสลับแผนการจะรับเป็นรุก ชายหนุ่มรีบแสร้งทำทีเป็นสนิทกับเซี่ยไห่หยางเพื่อจะได้ส่วนลด เขารู้ว่าแผนนี้สำเร็จเมื่อเซี่ยไห่หยางถามคำถามนั้นออกมา หลังจากการตกตะลึงและไม่เข้าใจ หวังเป่าเล่อก็ชักสีหน้าหม่นหมองก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยแรงโทสะ

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะพบเจ้าในวันนี้ การหายตัวไปของเจ้าช่างสุดจะคาดเดา ตัวข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าจะมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ แต่เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องหยามน้ำหน้าข้าด้วยการบอกว่าลืมแซ่ของข้าไปแล้ว ใช่หรือไม่”

“เจ้าจะเรียกข้าว่าเป็นสหายเก่าแก่หรือไม่ก็ตามแต่ใจเจ้า ข้าไม่ใช่คนที่ทำสิ่งใดเพราะเห็นแก่ส่วนลดร้อยละยี่สิบอยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะกลับหลังหันทำทีจะเดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ออกไปเร็วนัก ชายหนุ่มต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ส่วนลดร้อยละยี่สิบก็มากโขอยู่

ชายหนุ่มพูดจากำกวมอยู่ระดับหนึ่ง เขาบอกว่าการจากไปของเซี่ยไห่หยางนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ประโยคนี้ตีความได้หลายแบบ หากเซี่ยไห่หยางจากมาด้วยวิธีปกติ ก็อาจแปลได้ว่า หวังเป่าเล่อแปลกใจกับการตัดสินใจนั้น แต่หากอีกฝ่ายจากมาด้วยวิธีลึกลับหรือแปลกประหลาด ความรู้สึกเกินจะคาดเดานั้นก็ยิ่งเหมาะสมเข้าไปอีก

วิธีการพูดของหวังเป่าเล่อทำเอาเซี่ยไห่หยางดิ้นไม่หลุด ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะรั้งหวังเป่าเล่อเอาไว้

“ศิษย์พี่หลิว ได้โปรด อย่าเพิ่งไปเลย หลิวเป่าเล่อ เจ้านี่ยังอารมณ์ร้อนไม่เปลี่ยนเลย ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เรื่องการจากมาของข้า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วเมื่อแรกที่เราพบกัน ที่ใดก็ตามที่มีธุรกิจให้สะสาง ข้าก็จะไปที่นั่น”

สีหน้าตึงเครียดของหวังเป่าเล่อคลายลงเล็กน้อย ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้เซี่ยไห่หยาง เขาแทบไม่อยากเชื่อ เซี่ยไห่หยางยังคงทดสอบเขาอยู่นั่นเอง ถึงขนาดเปลี่ยนแซ่ให้เป็นหลิวเป่าเล่อ แต่ชื่อนี้ก็ฟังดูรวยอยู่ไม่น้อย มีเพียงคนที่เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับชื่อนี้ แต่มันก็ไม่เหมาะกับนิสัยของหวังเป่าเล่อเอาเสียเลย

แต่อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปฏิเสธหรือขานรับชื่อนั้น กลับกัน หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นก่อนหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้เซี่ยไห่หยาง

“สหายเต๋าไห่หยาง โปรดพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าช่วยข้าหาซื้อวัตถุดิบตามรายการนี้ได้หรือไม่”

เซี่ยไห่หยางกะพริบตาเมื่อได้ยิน เขารับแผ่นหยกมาจากหวังเป่าเล่อและกวาดสายตามองดู ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ไม่มีปัญหาเลย แต่สหายข้า พวกเราต้องแยกธุรกิจและมิตรภาพออกจากกัน แม้ว่าข้าจะลดราคาให้ แต่ราคาสุทธิของวัตถุดิบเหล่านี้ก็ยังสูงเสียดฟ้าอยู่ดี เจ้าจะจ่ายไหวหรือ”

หวังเป่าเล่อยังคงแสดงสีหน้าท่าทางสบายใจออกมา แต่กลับลอบถอนหายใจอยู่ภายใน ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจ่ายไม่ไหว จู่ๆ ความรู้สึกยากจนข้นแค้นอย่างรุนแรงก็โถมทับเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวเล็กลงเล็กน้อย แต่ทักษะในการรักษาท่าทีของหวังเป่าเล่อก็ไม่แพ้ใคร แม้จะไม่มีเงินพอจ่ายค่าวัตถุดิบตามรายการ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังได้รับส่วนลดร้อยละยี่สิบสำหรับของที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังกำจัดความสงสัยในใจเซี่ยไห่หยางเกี่ยวกับเรื่องตัวตนของเขาออกไปได้อีกด้วย เขาจึงทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที

“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อ ข้า หลิวเป่าเล่อผู้นี้จะเขียนตั๋วเงินให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะซื้อเชื่อ เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกระตุก ก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ความชั่งใจที่เขามีทำให้ชายหนุ่มไม่ยอมตัดสินใจ ทักษะการแสดงของหวังเป่าเล่อเป็นประโยชน์อีกครั้ง หากชายหนุ่มปฏิเสธการเป็นหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่ต้น เซี่ยไห่หยางก็คงจะจับได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ยิ่งหวังเป่าเล่อพูดเรื่องมิตรภาพของทั้งสองมากเท่าใด เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชั่งใจมากขึ้นเท่านั้น

นายน้อยของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาของเขาจึงส่องประกายขึ้นมา เขามองไปรอบด้านก่อนจะกระซิบ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้ามีข้อเสนอทางธุรกิจมาให้เจ้า เจ้าจะสนใจหรือไม่ อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็เพียงน้อยนิด แต่หากเจ้าทำสำเร็จ รางวัลที่รออยู่นั้นก็มหาศาล มากเกินพอที่จะซื้อวัตถุดิบทั้งหมดนี่และยังเหลือให้เจ้าได้จับจ่ายอีกเหลือเฟือ!”

“ข้อเสนอธุรกิจอย่างนั้นหรือ” สัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้นในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลใจ

“ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงไป สหายข้า ข้ากำลังพูดถึงภารกิจที่ผู้ฝึกตนทรงพลังและลี้ลับผู้หนึ่งประกาศขึ้น เขาทั้งทรงพลัง แถมยังมีความแค้นใหญ่หลวงกับตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เพราะเหตุผลบางประการ เขาจึงไม่อาจโจมตีศัตรูคู่อาฆาตโดยตรงได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นได้ เพราะฉะนั้น บางครั้งบางคราว เขาก็จะประกาศภารกิจตามแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อรวบรวมผู้ฝึกตนและให้พวกเขาสวมหน้ากากพิเศษ จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปตามดาวเคราะห์น้อยใหญ่ เพื่อไล่สังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

“ตอนนี้มีภารกิจอยู่มากกว่าสามสิบภารกิจ ผู้ฝึกตนเร้นลับจะเป็นผู้เคลื่อนย้ายเจ้าเข้าออกจากดาวเคราะห์ต่างๆ และเป็นผู้จัดการเก็บกวาดเรื่องราวทั้งหมดด้วย ผู้ฝึกตนที่มารวมตัวกันมีหน้าที่เพียงต้องสังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น หากตายก็ไม่ได้อะไรเลย แต่หากรอดมาได้ ก็จะได้รับผลึกสีชาดเป็นค่าตอบแทน จำนวนผลึกสีชาดที่ได้รับขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่สังหารได้!

“ผลึกสีชาดเป็นสกุลเงินหลักในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น ผลึกสีชาดสามร้อยชิ้นก็เพียงพอที่จะแลกกับทุกสิ่งที่เจ้าเขียนเอาไว้บนรายการ!”

 …………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset