หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 816 ร่างอวตารแขนหัก!

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟมองเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ เขายิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา

“ดูเขาแล้วสนุกจริงๆ ข้าควรจะตบรางวัลเจ้าเด็กแสบคนนี้สักหน่อย” ขณะที่พูดเขาก็หยิบผลไม้เพลิงออกมากัดกินอีกลูกอย่างออกรส ขณะนี้ชายชราเลิกดูคนอื่นไปโดยปริยายเพื่อตั้งใจดูหวังเป่าเล่อตั้งแต่ต้นจนจบ

ในภาพบนจอถ่ายทอดสดนั้น หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งบินหนีไปแล้ว จู่ๆ ก็หยุดแล้วหายตัวไปในชั่วพริบตา ก่อนจะกลับไปยังป่าอีกครั้ง

เมื่อเห็นดังนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็สนใจขึ้นไปอีก ขณะจ้องมองอยู่นั้น ชายชราก็เห็นบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงอยู่ในป่า…เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้วก็ทรงตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่โทสะที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสบวกกับการสูญเสียวัตถุเวทไปทั้งหมดทำให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นระยะหนึ่งก่อนที่ความเจ็บแค้นจะมาปรากฏขึ้นในแววตา ในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ยกมือขวาขึ้นทุบดินข้างกายก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เสียงแผ่วๆ ของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นด้านหลัง

“จากที่เจ้าได้แสดงความเคารพต่อท่านบิดาตามอย่างบุตรที่ดีควรจะเป็น โดยการให้สิ่งของกับข้ามากมาย ข้าจะพูดก่อนที่เจ้าจะมีโอกาสได้ด่าข้าอีก”

สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันศีรษะกลับมาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างวิตกกังวลและหวาดกลัว เพราะอีกฝ่ายกลับมาด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ หวังเป่าเล่อขณะนี้แปลงร่างเป็นนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้

“ศิษย์พี่ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…” บุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ พยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในร่างนก ก็กลอกตไปมาก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายหรอก ข้ากลับมาเตือนเจ้าว่า ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้น…น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ตาเฒ่าคนนั้นชอบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าในระยะสามสิบกิโลเมตร หรืออาจจะสามร้อยกิโลเมตร ทันทีที่เขามาถึง ดังนั้นระวังตัวด้วยเล่า”

เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องบุรุษในหน้ากากกระทิงด้วยสายตาล้ำลึกเปี่ยมความหมาย ก่อนจะบินจากไปไกล

เมื่อเห็นอีกฝ่ายบินจากไป บุรุษร่างกำยำก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งวิเคราะห์ว่าเขาไปจริงๆ แล้วหรือไม่ ในใจชายหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำเตือนสุดท้ายของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ยิ่งคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่ากัน จนในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็กัดฟันร่ายคาถาปริศนาออกมา อาการบาดเจ็บบนร่างกายหายไปในชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจ

ทันทีที่หาย บุรุษร่างกำยำก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่รอช้า ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะต้องออกแรงเต็มที่เท่าที่สามารถออกได้ในเวลานั้น เขาออกวิ่งไปจนพ้นบริเวณนั้นแล้วจึงเคลื่อนย้ายตำแหน่งหนีไปทันที อันที่จริง เขายังกังวลใจอยู่ และแม้จะปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่ห่างไป เขาก็ยังวิ่งแล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายสลับกันอยู่ไปมาเช่นนี้หลายครั้ง และเมื่อออกมาไกลได้ราวสามร้อยกิโลเมตร บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ได้ยินเสียงครั่นครืนทุ้มต่ำอยู่เบื้องหลัง  รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินกำลังสั่นคลอน วินาทีนั้นลมหายใจของเขาก็กระชั้นขาดช่วง ก่อนที่จะเริ่มหนีอีกครั้ง

พื้นที่เบื้องหลังชายหนุ่มที่เคยเป็นป่าทึบบัดนี้กลายมาเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทุกสิ่งในรัศมีร่วมๆ ห้าสิบกิโลเมตรจากป่าถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทำลายจนสิ้น ราวกับว่าเป็นการระบายความขึ้งโกรธของอีกฝ่ายกระนั้น

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นทุกสิ่งด้วยตาตนเอง ชายหนุ่มก็สามารถเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ขณะนั้น เขาอยู่ห่างออกมาจากบริเวณนั้นมาก และค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง จึงแทรกตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในก่อนจะเริ่มสำรวจสิ่งของที่ชิงมาได้ แค่ปริมาณสิ่งของจากบุรุษในหน้ากากกระทิงก็ทำให้หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนกล่องหยกที่ถูกผนึกเอาไว้นั้น เพราะระดับปราณของบุรุษในหน้ากากกระทิงไม่ถึงขั้น จึงไม่สามารถเปิดได้ แต่หวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวท แม้ว่าเรือบินรบเวทของเขาจะเสียหายอย่างหนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีต้นไผ่ศิลาอยู่อยู่ แถมขณะกำลังหนีเขาก็ได้ป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบไปจำนวนไม่น้อย ขณะนี้ แม้ว่าเรือบินรบจะยังไม่กลับมาสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีจุดที่เสียหายหนักหลงเหลืออยู่แล้ว

ดังนั้นด้วยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นของเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อจึงเปิดกล่องได้สำเร็จ ชายหนุ่มมองไปด้านในและเห็น…กริชสีดำสี่เล่ม!

กริชทั้งสี่ดูธรรมดานัก แม้ว่าจะมีแสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาจากใบมีดราวกับว่ามีพิษร้ายอาบเคลือบเอาไว้ แต่คนทั่วไปก็คงไม่คิดใส่ใจอะไรนักหากได้เห็น

แม้แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อหยิบกริชขึ้นมาถือ มันก็ให้สัมผัสราวกับเป็นของเด็กเล่น ชายหนุ่มเกือบจะใช้นิ้วทดสอบความคมของมันแล้ว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสโดนใบมีด สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเสียก่อน หลังจากควบคุมกริยาของตนเองได้ หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ตั้งสติก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังขึ้นมาในบัดดล

กริชเล่มนี้ประหลาดนัก!

สีดำก็ล่อตาล่อใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กล่องหยกที่อยู่ด้านนอกก็ต้องใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิด แถมพิษบนใบมีดนั้น…ทุกสิ่งบ่งชี้ว่ากริชทั้งสี่นั้นทั้งพิเศษและอันตรายยิ่ง เหตุใดข้าจึงเมินเฉยมันไปได้…

นี่มันยิ่งกว่าการเมินเฉยด้วยซ้ำ…ตัวตนของกริชที่สัมผัสได้นั้นแผ่วบางลงไปมาก ทำให้กระทบกับการตัดสินใจของข้าไปด้วย จิตใต้สำนึกของข้าจึงเมินเฉยมันเสีย หรือต่อให้ข้าสังเกตเห็นมัน สัญชาติญาณของข้าก็คงบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งอันตรายแต่อย่างใด! หลังจากที่หวังเป่าเล่อวิเคราะห์เสร็จ ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่เร็ว ขณะที่ชายหนุ่มพยายามกดข่มอารมณ์ในใจที่จะเมินเฉยกริช เขาก็ยกกริชขึ้นก่อนจะฟันใส่กำแพงข้างกายเบาๆ

เพียงสัมผัสเบาๆ ครั้งเดียว กำแพงหินก็ฉีกออกจากกันราวกับเป็นเต้าหู้อ่อน หากเพียงเท่านั้นก็คงไม่กระไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกก็คือ รอยแยกบนกำแพงนั้นเริ่มเน่าและมีรูเล็กๆ ปรากฏขึ้นเพราะฤทธิ์ของการกัดกร่อน!

หวังเป่าเล่อขนลุกขนชันไปหมด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ค้นคว้าเรื่องยาพิษมาอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็รู้มาบ้างเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าพิษที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตได้นั้นไม่เท่าไรนัก แต่พิษที่สามารถทำลายกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตได้นั้นต้องเป็นพิษที่ทรงพลังยิ่ง

ดังนั้นสิ่งนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าพิษได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นของเหลวที่มีพลังจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปร่างและแก่นแท้ของวัตถุได้ เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถทะลวงการป้องกันได้ทุกประเภท

หวังเป่าเล่อตัวสั่น และหลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็สัมผัสได้รางๆ ว่ากริชทั้งสี่เล่มนี้…ไม่เพียงเป็นอาวุธลอบสังหารที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่พลังของมันยังสามารถต่อกรกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อีกด้วย มิเช่นนั้น พวกมันคงไม่ถูกผนึกอยู่ในกล่องที่ต้องใช้พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิดเท่านั้นเป็นแน่

หวังเป่าเล่อค่อยๆ วางกริชกลับลงไปในกล่องหยก หลังจากปิดกล่องแล้ว เขาก็เก็บกล่องเข้าไปในกำไลคลังเวทอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็นั่งตาเป็นประกายอยู่กับที่

เหลือเวลาไม่มากแล้วก่อนภารกิจจะจบลง…ข้าจะมาจมจ่อมอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน จิตสังหารเริ่มเข้มข้นขึ้นในใจของเขา

ข้าจะยอมให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเพียงคนเดียวทำแผนข้าพังไม่ได้ ตระกูลไม่รู้สิ้นยังสมควรตายอยู่…ข้าเพียงแต่ต้องคิดหาวิธีเข้าสังหารและวิธีหนีเมื่อถูกพบตัว ความจริงแล้ว…ข้ายังต้องคิดหาวิธีโต้กลับด้วย!

แม้ว่าจะแทบไม่มีโอกาสให้ข้าได้โต้กลับก็ตาม…หวังเป่าเล่อสัมผัสหน้ากากของตน แล้วจู่ๆ ก็มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมา หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นไปสามคน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดของวิชาดวงเนตรปีศาจ พลังปราณของเขาขึ้นถึงจุดที่ตื่นตัวสูงสุด และตัวเขาเองก็ใกล้บรรลุขั้นเต็มแก่

จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าหากสังหารคนได้มากพอ เขาจะสามารถบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ที่นี่ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น เปิดกำไลคลังเวท และเริ่มจัดแจงวัตถุเวทที่อยู่ภายใน

ของที่เขามีอยู่เยอะที่สุดในกำไลคลังเวทคือเรือบินรบระเบิดตัวเอง เรือบินรบเหล่านั้นส่งผลใหญ่หลวงในการต่อสู้กลางอวกาศ แต่หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตน พวกมันก็ไม่เหมาะเพราะเทอะทะเกินไป

ดังนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำคือแยกชิ้นส่วนราวร้อยละสามสิบของเรือบินรบทั้งหมด  หยิบส่วนประกอบหลักออกมา จากนั้นก็หลอมวัตถุเวทที่คล้ายประคำระเบิดขึ้นมา และเพราะเรือบินรบทั้งหมดนั้นหวังเป่าเล่อเป็นคนหลอมเอง อีกทั้งเขายังมีหุ่นเชิดอยู่มากพอ การหลอมประคำจึงใช้เวลาไม่นานนัก หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปพักหนึ่งเพื่อหลอมประคำระเบิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

น่าเสียดายที่ข้าหลอมวงแหวนปราณไม่เป็น! หวังเป่าเล่อคิดขณะเก็บประคำระเบิดทั้งหมดและคำนวณเวลาที่เหลือก่อนภารกิจจะจบ ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมา เขารู้สึกว่าคนเราจะรู้ตัวว่าตนเองไม่มีความรู้ก็ในเวลาที่ต้องใช้ความรู้นั้น หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองว่าต้องเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็อยากเรียนรู้วิธีหลอมวงแหวนปราณที่แข็งแกร่ง

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มวางแผน แผนของเขานั้นง่ายดายมาก นั่นคือล่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกไป จากนั้นก็หาช่องทางลักลอบเข้าไปในค่ายทหารอีกครั้งเพื่อเริ่มการสังหาร

เพราะอย่างไรเสียสมาชิกในตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวออกมาหมด ยังมีสำรองอยู่ภายในค่ายอีกจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้หวังเป่าเล่อเห็นมากับตาตนเอง ชายหนุ่มจึงมีเป้าหมายค่อนข้างชัดเจน สิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียวก็คือ…การหาวิธีทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหลงเชื่อและตามเขาไป

อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ! แววดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นจับแขนซ้าย ก่อนจะกระชากอย่างแรงจนหลุดคามือ!

แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง ชายหนุ่มกัดฟันอดทนความเจ็บปวดรุนแรง เขาใช้แขนซ้ายเป็นแก่น ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างร่างอวตารอีกร่างขึ้นมา!

ร่างอวตารใหม่นั้นแตกต่างจากร่างที่ใช้สัมผัสเทพสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็สมจริงมากๆ หวังเป่าเล่อเองก็ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะชายหนุ่มวางแผนใช้ร่างนี้เป็นร่างอวตารของตัวเอง

………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset