หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 833 ตระกูลเซี่ย!

“เรือบินรบเวทหรือ” แววตาหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังขา เขาก้าวเข้าไปมองใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตรงหน้าคือหุ่นเชิด แต่กลับมีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในร่าง

ระดับพลังปราณเหมือนจะไม่ได้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างเรือบินรบเวททั่วไป มันดูอ่อนแอกว่าพอสมควร

“เหมือนว่าสหายเต๋าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวานรรากฐานนะ” ชายชราผู้ดูจะเบื่อหน่ายมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหยิบถุงเล็กๆ ที่ทำจากหนังสัตว์ออกมาไว้ตรงปากและสูดหายใจเข้าปอด หลังจากนั้นเขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม

“ช่วยบอกข้าที สหายเต๋า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสุภาพขณะหันมากุมหมัดทักทาย เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ตอนที่เข้ามาในร้าน ชายชราดูไม่มีอะไรโดดเด่น สีหน้าก็ไม่กระตือรือร้นอะไร แต่หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าไม่เพราะคนผู้นี้มีวัตถุเวทกล้าแกร่งกันไว้ ก็ต้องมีระดับการฝึกตนที่สูงกว่าตนเองมากเป็นแน่

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ชายชราย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่ แค่การมีร้านอยู่ในตลาดนี่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา

“วานรรากฐานไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เป็นของที่สร้างขึ้นมาโดยตระกูลเซี่ย วานรพวกนี้เป็นผู้คุ้มกันตระกูลเซี่ยรวมถึงใช้เป็นเครื่องบอกตำแหน่ง พวกมันอาจดูเหมือนอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการผลิต วานรแต่ละตัวจะมีผนึกหลายระดับอยู่ในร่าง!

“ระดับการฝึกตนของวานรรากฐานจะเพิ่มไปถึงจุดสูงสุดของขั้นด้วยการปลดผนึกแต่ละอัน ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดถึงต้องเพิ่มระดับการฝึกตนเช่นนี้ และจะปลดผนึกได้อย่างไร มีแต่ตระกูลเซี่ยเท่านั้นที่รู้”

“ตัวตรงหน้าเจ้าเป็นของที่พังแล้ว ข้าจึงได้มาไว้ในครอบครอง ผนึกทั้งสี่ถูกปลดไปแล้ว แต่การจะซ่อมได้ ข้าต้องการวัตถุดิบ แล้วก็ต้องหาวิธีจัดการให้มันทำงานได้ มันถึงเป็นเหมือนขยะ ถ้าไม่ได้พัง ตระกูลเซี่ยคงเรียกเก็บกลับไปแล้ว” ชายชรากลับไปเซื่องซึมเหมือนเดิม เขายกถุงหนังสัตว์ขึ้นมาสูดอีกครั้ง

ชายชราเห็นหวังเป่าเล่อมองมาตอนที่เงยหน้าขึ้น จึงฉีกยิ้มกว้างให้ขณะถือถุงหนังสัตว์ในมือ

“อันนี้ก็ไม่รู้อีกหรือว่าคืออะไร เจ้ามาจากดาวเคราะห์บ้านนอกหรืออย่างไรกัน นี่คือถุงทอง สูดเข้าไปหนึ่งครั้งจะทำให้เจ้าครื้นเครงกว่าทวยเทพ เจ้าจะเห็นสิ่งแปลกตาในหัว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคนบาปไหนเป็นคนสร้างขึ้น แต่ก็เป็นของดีทีเดียว ข้าคิดว่าน่าจะมาจากดินแดนนอก…”

ชายชราสูดถุงทองต่อขณะคุยกับหวังเป่าเล่อ คำพูดช่วงท้ายเริ่มฟังดูไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจที่เอีกฝ่ายพูด เขาจ้องไปยังหุ่นเชิดวานรเพชรตรงหน้า ภาพเจ้าเพชรน้อยปรากฏขึ้นในหัว ทุกอย่างชี้ไปที่จุดเดียว วานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นวานรรากฐาน

เซี่ยไห่หยางเคยไปโผล่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…ทุกอย่างเข้าเค้าหมด ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างปุบปับ “ตระกูลเซี่ยทรงอำนาจขนาดนั้นเลยหรือ”

“ตระกูลเซี่ย…ทั้งตลาดนี้เป็นของตระกูลเซี่ย มีตลาดเช่นนี้อีกเป็นล้านในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตระกูลไม่รู้สิ้นติดหนี้ตระกูลเซี่ยจำนวนมาก นี่ช่วยตอบคำถามเจ้าได้ไหม” ชายชราวางถุงทองลงเมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันไปจ้องชายหนุ่มด้วยแววตาว่างเปล่า

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคิดมาตลอดว่าเซี่ยไห่หยางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนใหญ่โตถึงเพียงนี้

“เซี่ยไห่หยางเสแสร้งเก่งเสียจริง” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาอยากจะถามอะไรชายชราต่อ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ตอบ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็หันไปมองหุ่นเชิดวานรรากฐานอย่างพินิจพิเคราะห์และถามชายชราเรื่องราคา เขาไม่ได้พยายามต่อรองและได้หุ่นเชิดมาในราคาสิบผลึก

ชายชราอารมณ์ดีขึ้นทันใดเพราะได้ขายวานรรากฐานไปในราคางามทีเดียว เขาสูดถุงทองและเดินเข้าไปเสนอกระเป๋าคลังเก็บที่เอาไว้เก็บหุ่นเชิด

หวังเป่าเล่อปลาบปลื้มกับความรู้สึกที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะความรวย ก่อนจะกระแอมกระไอ รับกระเป๋าคลังเก็บที่ใส่หุ่นเชิดมา และถามขึ้นเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้ว่าตระกูลเซี่ยทำธุรกิจอย่างไร เป็นธุรกิจแบบไหน ท่านรู้อะไรบ้าง”

ชายชรานับผลึกสีชาดและเก็บไป ใบหน้าของเขาเรื่อสีแดงขณะหัวเราะและบอกหวังเป่าเล่อทุกอย่างที่รู้

“ตลาดพวกนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจรูปแบบหนึ่งของตระกูลเซี่ย พวกเขามีธุรกิจสามแบบ อย่างแรกคือวางตลาดอารยธรรมและพัฒนาดาวเคราะห์เป็นแหล่งท่องเที่ยว ดาวเคราะห์เหล่านี้กลายเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้ไปเสพความบันเทิง พวกเขาขาย…วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายด้วย วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางข้ามอารยธรรมล้วนสร้างโดยตระกูลเซี่ย ธุรกิจแบบที่สาม…น่าสนใจเลยทีเดียว เป็นเสาค้ำจุนตระกูลเซี่ย!”

“พวกเขา…ลงทุนกับคนที่น่าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังในอนาคต!” ชายชรามีสีหน้าซ่อนเงื่อนงำบางอย่างไว้เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป

จากนั้นเขาก็กระซิบต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างอาณาจักรได้ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ย…ข้าได้ยินมาอีกว่าตระกูลเซี่ยประเมินความสามารถของลูกหลานตนเองจากการดูว่าการลงทุนของพวกเขาทรงพลังขึ้นมาแค่ไหน”

ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงขึ้นรางๆ เขาถามคำถามต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็กุมหมัดให้ชายชราและออกจากร้านไป คลื่นความรู้สึกถาโถมใส่ชายหนุ่มระหว่างทางกลับ

เขามั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางเป็นคนในตระกูลเซี่ยและค่อนข้างมั่นใจว่าวานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นวานรรากฐานที่ทำหน้าที่เป็นตัวบอกพิกัด

ท่าทีของเซี่ยไห่หยางที่มีต่อเขา…ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่เซี่ยไห่หยางป้อนทรัพยากรให้เพื่อลงทุน

เซี่ยไห่หยางรสนิยมดีทีเดียว หวังเป่าเล่อลูบคางและหรี่ตาลง ข้อมูลที่แลกมาด้วยผลึกสีชาดสิบผลึกนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางถึงจดจำตัวเขาได้ในทันที นั่นก็เพราะอีกฝ่ายลงทุนกับตน ซึ่งต้องมีวิธีลับบางอย่างในการตามหาตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

เขาเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงพยายามทำเช่นนั้นให้ได้ เพราะไม่มีใครอยากให้การลงทุนของตัวเองล้มเหลว ชายหนุ่มเองก็คงทำไม่ต่างถ้าตนเป็นเซี่ยไห่หยาง ที่สำคัญคือ…หวังเป่าเล่อจะได้อะไรจากเรื่องนี้!

ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจากการติดต่อกับอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงหลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แม้แต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่กฎที่ใช้ปกครองจักรวาลยังคงเหมือนกันไม่ว่าจะมาจากที่ใด จะกรณีใด…เขาก็แค่ต้องทำให้มั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางจะคอยป้อนทรัพยากรให้ ถ้าเซี่ยไห่หยางลงทุนกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ…แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เซี่ยไห่หยางก็ต้องเป็นกังวลไปด้วยเช่นกัน!

ข้าต้องบีบให้เขาทำตาม หวังเป่าเล่อยิ้ม รู้สึกเสียดายเล็กน้อย คงจะดีกว่านี้ถ้าเซี่ยไห่หยางเป็นผู้หญิง

หวังเป่าเล่อออกจากตลาดไปด้วยความคิดแง่บวก พอออกไปด้านนอกตลาด ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้นกลางอากาศในทันทีก่อนจะแปลงโฉมเป็นเรือบินรบเวท

เรือบินรบเวทมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไปจากเดิม มันดูน่าเกรงขาม และมีพลังอำนาจสุดแข็งแกร่งเอ่อล้นออกมาจากเรือบินรบตั๊กแตน

หวังเป่าเล่อสำรวจเรือบินรบเวทที่เปลี่ยนโฉมไป ก่อนจะขึ้นเรือบินรบไปอย่างสุขใจ เสียงกัมปนาทดังขึ้นเมื่อเขาบังคับตั๊กแตนออกสู่ห้วงอวกาศ!

คงเป็นเพราะเรือบินรบเวทเงียบผิดปกติ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มมองรอบๆ จากนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง

ข้าลืมเจ้าลากับเจ้าอู๋น้อยไปเสียสนิท!

คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มรีบปล่อยเจ้าอู๋น้อยและจ้าลาออกมา ที่ผ่านมาทั้งสองนั่งอยู่ในเรือบินรบทำลายตัวเองในกระเป๋าคลังเก็บ

เจ้าอู๋น้อยดูงุนงงเมื่อปรากฏตัว ขณะที่เจ้าลาวิ่งไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง มันร้องใส่หวังเป่าเล่อไม่หยุด ราวกับกำลังบ่นว่าการติดอยู่ในเรือบินรบนานขนาดนั้นทำให้มันเป็นบ้าไปเช่นไร

หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยในตอนแรกที่ขังเจ้าลาไว้เนิ่นนานเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อเจ้าลาร้องใส่ชายหนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าเจ้าลาต้องโดนสั่งสอนเสียบ้างจึงจ้องกลับไป

“หยุด ที่ทำไปก็เพื่อตัวเจ้า ดูซิว่าข้างนอกอันตรายแค่ไหน อีกอย่างเจ้าก็ไม่ใช่โดนขังไว้นานตัวเดียว!”

“ดูซิว่าเจ้าอู๋น้อยทำตัวดีแค่ไหน!” หวังเป่าเล่อชี้ไปทางเจ้าอู๋น้อยและมองไปที่เด็กหนุ่ม เจ้าอู๋น้อยหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงง

เมื่อเห็นสภาพเจ้าอู๋น้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกอายขึ้นไปอีก สงสัยจะขังไว้เสียนานจนเอ๋อไปแล้ว หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าลาที่กำลังทำหน้าตาน่าสงสาร เขาไอเขินๆ แล้วโยนศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งให้มันเป็นของว่าง

เจ้าลาแค่นเสียงทางจมูกแล้วหันหน้าหนี ไม่มองของว่างแม้แต่น้อย

“หืม ทำเป็นต่อต้านอย่างนั้นหรือ ย่อมได้” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเรียกศิลาวิญญาณออกมาอีกสิบก้อน เจ้าลาตัวสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามห้ามใจตัวเอง ชายหนุ่มโบกแขนอีกครั้ง เรียกศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดอีกร้อยก้อนมากองเป็นภูเขาย่อมๆ อยู่ตรงหน้าเจ้าลา

ตาของเจ้าลาแทบจะหลุดออกจากเบ้า น้ำลายไหลเยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะแข็งข้อ เจ้าลาหันหน้าหนีอีกครั้งทำให้หวังเป่าเล่อต้องถอนหายใจ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นจะเก็บศิลาและเดินหนีไป เจ้าลาเริ่มตื่นตระหนกทันใด รีบวิ่งไปหากองศิลาตรงหน้าและกินอย่างมูมมาม เหมือนว่ามันจะไปได้นิสัยส่ายหางตอนกินมาจากที่ใดก็ไม่รู้

หวังเป่าเล่อหัวเราะกับภาพตรงหน้า เขาเลิกสนใจเจ้าลาและหันไปเคี้ยวขนมกินอย่างสุขใจ จากนั้นก็นั่งลงและเริ่มวางแผนเสริมกำลังกองทัพระหว่างเดินทางกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์!

ข้าต้องเร่งมือตอนที่กลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…เพื่อหาทางเอาวิชาดวงเนตรปีศาจที่สมบูรณ์มาให้ได้เร็วที่สุด! ชายหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงตัวตนตะกละที่อยู่ในวิชาดวงเนตรปีศาจของตน แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในดวงตา

………………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset