หวังเป่าเล่อพบว่าฝูงชนต่างเข้าใจสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อและคงจะไม่กล่าวหาเจ้าลาแบบผิดๆ อีก เขาภูมิใจวิธีการของตนเองมาก กำลังจะเตะเจ้าลาไปอีกครั้งตามความเคยชิน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเทียนหาวกับจินตั้วหมิงพูด ก็ได้แต่ยั้งเท้าตัวเองไว้
เขาค่อนข้างเกรงกลัวงูเหลือมยักษ์ กลัวว่าเตะไปแล้วจะทำให้เจ้าลากลายร่าง หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ชายหนุ่มจะทำอย่างไรเล่า…
พอทบทวนดูแล้วว่าตนเองเป็นเจ้านาย ก็คิดได้ว่าไม่ควรกระทำรุนแรง และควรดูแลมันด้วยความห่วงใย เขาจึงยั้งเท้าไว้แล้วเข้าไปลูบหัวเจ้าลาอย่างรักใคร่แทน
ความอ่อนโยนของหวังเป่าเล่อทำให้เจ้าลาตื่นกลัว มันรู้สึกดีขึ้นแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าแววตาอาฆาตแค้นจากฝูงชนรอบๆ ได้จางหายไป แต่สีหน้าอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยของหวังเป่าเล่อกลับทำให้มันตื่นกลัวจนตัวสั่น
หวังเป่าเล่อเห็นสีหน้าของเจ้าลาอย่างชัดเจน จึงเตะอัดเจ้าลาเข้าอย่างจัง มันกระเด็นกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกยืนขึ้น ดูมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้านี่มันเป็นบ้าอะไรกัน หวังเป่าเล่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาได้รับข้อความจากหลี่หว่านเอ๋อร์แจ้งว่าสุสานที่ปรากฏขึ้นในเขตปกครองตนเองของฟางจิ้งนั้นควบคุมได้แล้ว วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในนครใหม่ได้รับการจัดการไปแล้วส่วนหนึ่ง
ที่ยังไม่ถือว่าจัดการได้สมบูรณ์เป็นเพราะยังตามตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ไม่พบ แม้ผู้ฝึกตนที่รายล้อมหวังเป่าเล่อจะหายโกรธเจ้าลาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอยากที่จะแก้แค้น นัยน์ตาของทุกคนลุกโชนไปด้วยเพลิงแค้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกเช่นไร และทุกคนก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อนั้นเข้าใจดี
แต่ผู้บงการนั้นซ่อนตัวอยู่ คงเป็นเรื่องยากที่จะตามหาตัวเขาได้พบ ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อใช้วงแหวนปราณตามตัวก็ไม่พบ แต่ตอนนี้…ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้าไสหัวไป มานี่ซิ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะหันขวับมามองเจ้าลา
เจ้าลายังระแวดระวังตัวอยู่ตลอด แต่ก็รีบวิ่งไปหาชายหนุ่มอย่างเชื่อฟัง มันกวัดแกว่งหางไปมาราวกับจะบอกว่าตนยอมทำทุกอย่างหากยอมไว้ชีวิตมันไว้
“เจ้าไปเจอเรื่องซวยนี่มาจากที่ใด จะตรวจสอบหาแหล่งที่มาได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อตบหัวเจ้าลาเบาๆ ขณะถาม เหล่าผู้ฝึกตนต่างหันมาจ้องมัน เจ้าลากะพริบตา เหมือนว่าจะเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูด มันตั้งสติขยายขอบเขตประสาทสัมผัสของตน จากนั้นก็เริ่มดมฟุดฟิด หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว นึกในใจว่าไม่พ่อก็แม่เจ้าลาต่องเป็นอสูรสุนัขยักษ์เป็นแน่
ไม่ต้องรอนาน ดวงตาเจ้าลาก็ฉายแสงวาบ มันร้องเรียกหวังเป่าเล่อจากนั้นก็พุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
ความเย็นชาฉายผ่านสายตาชายหนุ่ม จิตสังหารพวยพุ่งในจิตใจก่อนจะแสดงออกผ่านทางสีหน้า เขารีบตามเจ้าลาไปโดยไม่ลังเล
จินตั้วหมิงรีบตามไปเช่นกัน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่เสียชีวิตไปเป็นผู้คุ้มกันของเขา ชายผู้นั้นคอยดูแลตนมาอย่างดี ชายหนุ่มเหมือนจะคืนสติกลับเป็นตนเองตามเดิม แต่ในใจยังคงเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เขาไล่ตามหวังเป่าเล่อไปติดๆ
กงเต๋าและหลินเทียนหาวก็ตัดสินใจตามไปเช่นกัน ทั้งสองจงเกลียดจงชังผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเขาต้องสูญเสียสหายไปอีกทั้งยังต้องหยิบไพ่ตายสุดท้ายออกมาใช้ จึงยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ไม่ได้ แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและสูงกว่านั้นก็ตามไปเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนดังกองทัพขนาดใหญ่
เจ้าลาพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะที่ตามไล่หลังมันไป เขาแทบจะเก็บความคลุ้มคลั่งในใจไว้ไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าสถานที่ที่เจ้าลามุ่งหน้าไปคือที่ใด…มันคือเขตปกครองตนเองของเฉินมู่นั่นเอง!
หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่ตระหนักเรื่องนี้ได้ หลินเทียนหาว กงเต๋า และจินตั้วหมิงต่างก็เดาออก พวกเขาไม่คิดลังเล จิตสังหารภายในใจเพิ่มพูนมากขึ้น
กองทัพที่กำลังตามหลังเจ้าลาไปเป็นเหมือนดังกระบี่ที่กระหายอยากลิ้มรสเลือด พวกเขาเคลื่อนทัพมุ่งหน้าไปยังเขตปกครองตนเองของเฉินมู่อย่างรวดเร็ว ในเขตปกครองตนเองยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าลดจำนวนลงไปมาก พวกเขาสังเกตเห็นกองทัพของหวังเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเดินทางมาที่นี่ แต่ก็ได้ข่าวเรื่องเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในนครเช่นกัน ทุกคนหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งออกมาจากหวังเป่าเล่อและกองทัพจึงรีบถอยหนี ไม่คิดจะเข้าไปห้าม
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำเช่นนั้น มีผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยบางส่วนที่ตื่นตกใจและรีบเข้ามาห้ามกองทัพของหวังเป่าเล่อไม่ให้รุดหน้าไปไกลกว่านี้
“หยุดทัพเสีย นายน้อยของพวกข้าสั่งห้ามไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้าไปโดยเด็ดขาด!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร จินตั้วหมิงก็ตะโกนลั่น
“ช่างหัวนายน้อยพวกเจ้าสิ!” เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมอาวุธเวทในมือ เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะถอยหนีไปในทันที
“เฉินมู่ ถ้าเจ้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจริง จินตั้วหมิงผู้นี้จะถลกหนังเจ้าออกมาทั้งเป็น!” จินตั้วหมิงตาแดงก่ำ เหล่าคนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่อยู่รายรอบจ้องชายหนุ่มด้วยความลังเลใจ จากนั้นเสียงทรงอำนาจของหวังเป่าเล่อก็ดังสนั่นก้องในหูทุกคน
“เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลาย จงฟังคำสั่ง หากใครเข้ามาขวางหลักกฎหมาย…จะถูกสังหารลงตรงนั้น!”
การโจมตีอันโหดเหี้ยมของจินตั้วหมิงทำให้เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยตื่นตกใจจนตัวแข็งทื่อก็จริง แต่ชายหนุ่มก็หยุดความคิดที่จะตอบโต้กลับของคนเหล่านั้นไม่ได้ ทว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือ แต่ด้วยตำแหน่งและอำนาจของเขาทำให้วาจาที่กล่าวฟังดูทรงอำนาจ กลุ่มคนจากตระกูลนภาห้าสมัยต่างลังเลใจ รู้สึกอยากจะถอยหนีกลับไป
พวกเขาไม่ได้กลัวจินตั้วหมิงและคนอื่นๆ…แต่หลังจากเหตุการณ์บนดวงจันทร์ ชื่อเสียงความเหี้ยมโหดของหวังเป่าเล่อก็แพร่กระจายภายในตระกูล หวังเป่าเล่อกลายเป็นผู้ที่น่าพรั่นพรึงในใจของใครหลายคนในตระกูลนภาห้าสมัยโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ทันทีที่คำพูดของชายหนุ่มดังก้องไปทั่ว เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยก็เงียบไป พวกเขาไม่เข้ามาห้าม ปล่อยให้หวังเป่าเล่อและกองทัพผู้ฝึกตนมุ่งหน้าตามหลังเจ้าลาไป เจ้าลามุ่งหน้าไปทางสถานที่ฝึกตนของเฉินมู่ และกองทัพก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนทัพไปถึงสถานที่เก็บตัวฝึกตนของเฉินมู่ เฉินมู่ที่หมดสติไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เขาลืมตาโพลง พยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ดวงตาของชายหนุ่มดูว่างเปล่า ไม่นานก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้าตนจะหมดสติไปจึงเริ่มหายใจถี่รัว
“หวังเป่าเล่อ!” ชายหนุ่มร้องคำราม เขาเกลียดเจ้าลา แต่ก็เกลียดหวังเป่าเล่อมากยิ่งกว่า ยิ่งหวังเป่าเล่อเป็นนายเจ้าลาด้วยแล้ว…ทว่าแม้ในใจจะสุมไปด้วยเกลียดชัง เฉินมู่ก็ยังต้องคิดไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่แผนการทั้งหมดกลับพังไม่เป็นท่า เขานึกภาพออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทุกคนล่วงรู้ว่าตนเป็นคนควบคุมหุ่นเชิด
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นข้า… เฉินมู่ปลอบตนเอง แรงปะทะจากการระเบิดทำให้เขาบาดเจ็บหนัก วิสัยทัศน์เบื้องหน้ายังดูพร่ามัว ชายหนุ่มหอบหายใจ หยิบโอสถขึ้นมากิน เขากำลังจะลุกขึ้นเตรียมการต่างๆ ให้พร้อมรับมือ แต่ทันใดที่ลุกยืนขึ้นได้ ก็เกิดเสียงอัสนีกัมปนาทดังขึ้นเหนือหัว!
ราวกับว่าอัสนีบาทได้ฟาดลงใส่ แก้วหูของเฉินมู่แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารีบถอยหนีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพดานบนหัวแตกละเอียด ห้องฝึกตนลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ผนังรอบข้างทลายลง เผยตัวตนของชายหนุ่มต่อหน้าทุกคน!
ร่างเงาของจินตั้วหมิงปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกหลังการระเบิดเมื่อครู่ เขาเป็นคนใช้กระบี่ฟันห้องลับแห่งนี้ออกเป็นเสี่ยงๆ ซากปรักหักพังร่วงหล่นลงมาเป็นสายฝน เผยให้เห็นหวังเป่าเล่อ กงเต๋า หลินเทียนหาว และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่ยืนอยู่รอบๆ ห้องฝึกตน
“จินตั้วหมิง เจ้าทำอะไรลงไป คิดจะก่อสงครามระหว่างกลุ่มไตรจันทรากับตระกูลนภาห้าสมัยหรือ” เฉินมู่รีบก้าวออกมาประจันหน้า ทว่าเขาอยู่ในสภาพอ่อนแอหนัก และกระอักเลือดสดๆ ออกมาเนื่องจากไม่สามารถหลบการโจมตีเมื่อครู่ได้อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มยืนพิงแผ่นหินแตกพัง แอบตัวสั่นอยู่ภายใน เขาพยายามซ่อนความกลัวไม่ให้แสดงออกผ่านทางสีหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งเสียงดังก้อง
“ผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัย จงมารวมพล!”
สิ้นคำ กลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่ถอยหนีไปเมื่อครู่ก็มาปรากฏตัว ในใจยังกลัวกองทัพของหวังเป่าเล่อไม่หาย พวกเขายืนล้อมกองทัพผู้บุกรุก จากนั้นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของตระกูลนภาห้าสมัยก็เดินเข้าไปหากองทัพทันที
“เฉินมู่ เจ้าอยากจะพูดในฐานะตระกูลนภาห้าสมัยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า เจ้าได้ควบคุมหุ่นเชิดเพื่อก่อกบฏกับทางสหพันธรัฐ ทางสหพันธรัฐจะสืบสวนเรื่องนี้จนถึงที่สุด!” จินตั้วหมิงหัวเราะพร้อมกับหรี่ตามอง เขาพูดออกไปเสียงเรียบแต่แท้จริงก็รู้สึกลังเลใจ อย่างไรเสีย…ตนไม่มีหลักฐาน มีเพียงเจ้าลาที่นำทางพวกเขามาที่นี่ แถมหวังเป่าเล่อกับเฉินมู่นั้นไม่ลงรอยกัน อาจเป็นไปได้ที่หวังเป่าเล่อจะใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างในการสังหารเฉินมู่
“พูดจาสามหาว!” เฉินมู่โกรธจัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหายใจถี่รัว หันมองจินตั้วหมิงด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะเหลือบสายตาไปจ้องหวังเป่าเล่อ