หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 435 โปรดให้เจ้านครเป็นคนพิจารณา

บทที่ 435 โปรดให้เจ้านครเป็นคนพิจารณา

“ข้าได้รับบาดเจ็บจากการฝึกวิชาก่อนหน้านี้และเพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เจ้ามาใส่ความเหมือนว่าข้าไปทำอะไรผิด อีกอย่าง…หวังเป่าเล่อ ข้ารู้เรื่องฉาวของเจ้ากับคู่หมั้นของข้าแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานในครอบครอง เจ้าตั้งใจจะปิดปากข้าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”

เฉินมู่ที่กำลังเดือดดาลหยิบแผ่นหยกออกมาพร้อมตะโกนขึ้น

“หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ข้าจะเผยให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเจ้าชู้รักทั้งสองได้ทำอะไรลงไป!” เฉินมู่ตะคอก ตอนที่เขากำลังจะเปิดแผ่นหยกนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งหน้าเข้ามา ในนั้นมีหญิงสาวหน้าตาซีดเผือดที่เกือบจะสะดุดล้มไป นางคือหลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง

“พูดจาไร้สาระ!” ขณะที่เฉินมู่กำลังจะเปิดแผ่นหยก หวังเป่าเล่อก็รีบก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าถมึงทึง เขาพุ่งเข้าไปปรากฏตัวตรงหน้าโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกวาดไปข้างหน้า โดนเข้าที่กลางอกคนตรงหน้าอย่างจัง เฉินมู่กระอักเลือดสดๆ ออกมาพร้อมกับเซไปด้านหลัง แผ่นหยกในมือสั่นไหวจากแรงปะทะจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

“หวังเป่าเล่อ! เจ้าพยายามทำลายหลักฐานทิ้งเพราะกลัวความจริงใช่หรือไม่!”

“หุบปาก!” หวังเป่าเล่อหันกลับมามอง รังสีสังหารพวยพุ่งออกมาจากร่างทะลุขึ้นไปถึงฟากฟ้า เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความกังขา เลือดสดๆ ที่กระอักออกจากปากเฉินมู่มีจำนวนน้อยนิด…ใบหน้าซีดเผือดนั้นไม่ได้มาจากอาการบาดเจ็บ แต่มาจากการเสียเลือดไปมาก…ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเย็น

“ก่อกบฏต่อนครใหม่และสหพันธรัฐ ใช้หลักฐานเท็จมาปกป้องตัวเอง การกระทำเหล่านี้ชี้ให้เห็นธาตุแท้ของเจ้า! หลักฐานปลอมๆ ย่อมขัดหูขัดตา แน่นอนข้าจึงต้องทำลายทิ้ง!

“เจ้าคิดการชั่วร้ายและร่วมมือกับสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก เจ้าฆ่าผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ก่อความวุ่นวายใหญ่โต เฉินมู่ แน่นอนว่าเจ้าคงต้องทำทุกอย่างเพื่อจะหนีโทษในครั้งนี้!”

“ได้ เจ้าจะไม่ยอมรับผิดใช่หรือไม่” แววตาของหวังเป่าเล่อคุกรุ่นไปด้วยความอาฆาต เขายกมือขวาขึ้นโบกไปทางกองหินแถวนั้น กองหินทลายลงด้วยแรงปะทะ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้ นั่นก็คือ…กลองสีโลหิตใบน้อยที่แตกหัก!

มีกลิ่นสาบเลือดและรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากกลองใบน้อย แม้จะเป็นเพียงกลิ่นจางๆ แต่ก็ยังสัมผัสได้! เมื่อตรวจสอบดูใกล้ๆ ย่อมพบว่าเป็นรังสีเดียวกันกับงูเหลือมยักษ์!

ทุกคนแตกตื่น หันไปมองทางเฉินมู่ จินตั้วหมิงและเหล่าผู้ที่สูญเสียสหายร่วมรบไปในศึกครั้งนี้ต่างจ้องมองเฉินมู่ด้วยความอาฆาตแค้น!

“เลือดในของสิ่งนี้เป็นของเจ้าใช่ไหม” ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะที่พูด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินมู่ก็มีสีหน้าตื่นตระหนก เขาหายใจถี่รัว รีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ

ท่าทีดังกล่าวเป็นหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนา!

“ข้า…” เฉินมู่หน้าซีดเผือด สีหน้าดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขารีบถอยหนีพร้อมตะโกนลั่น

“เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัย จงคุ้มกันข้า!” ชายหนุ่มรีบถอยหนีในทันที พยายามวางแผนหาทางหลบหนี ทว่าทันที่ที่เขาพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามลั่น เสียงดังสนั่นฟ้าดิน

“ตระกูลนภาห้าสมัย ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าจะถือเป็นการก่อกบฏ ถือว่าตั้งตนเป็นปรปักษ์กับสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นโทษร้ายแรง!”

ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหลังจากพูดจบ เป็นความเร็วที่มากกว่าครั้งไหนๆ พริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏกายข้างเฉินมู่ที่กำลังหลบหนี จากนั้นก็ยกขาขวาขึ้นเตะ

เกิดเสียงดังสนั่นราวอัสนีบาต คลื่นพลังพวยพุ่งไปรอบบริเวณ เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัยยืนนิ่งนึกลังเล เลือดกระอักออกจากปากเฉินมู่อีกครั้ง เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อเตะอัดเข้ากลางเป้า ส่งอีกฝ่ายลอยขึ้นฟ้าไปตกอยู่ตรงหน้าจินตั้วหมิง ด้วยอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ประกอบกับลูกเตะอำมหิตของหวังเป่าเล่อส่งผลให้ชายหนุ่มหมดสติไปอีกครั้ง

เลือดไหลซึมผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าลูกเตะเมื่อสักครู่ทำให้เฉินมู่เป็นหมันไปเสียแล้ว!

หวังเป่าเล่อเกลียดอีกฝ่ายเข้าใส่ เฉินมู่นั้นปองร้ายเขามาโดยตลอด นอกจากตนเองแล้วยังไปคุกคามจั่วอี้ฟานด้วย ชายหนุ่มอยากฆ่าเฉินมู่ทิ้งมานาน การสร้างความปั่นป่วนให้กับนครใหม่ อีกทั้งหมายจะฆ่าตนทิ้งทำให้เขาตัดสินใจแก้แค้นด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด นั่นคือทำลายของสงวนอีกฝ่ายทิ้ง!

เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ชายหนุ่มเก็บงำความแค้นที่มีไว้ไม่ได้จึงเตะออกไปอย่างรุนแรงจนอวัยวะชิ้นสำคัญไม่สามารถใช้งานได้อีก หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าชะตากรรมอันใดที่รอคอยเฉินมู่อยู่จึงไม่คิดสังหารอีกฝ่าย

ฝูงชนรอบๆ ก็ดูจะมีความคิดเห็นตรงหัน จินตั้วหมิงหรี่ตามอง ก่อนจะตวัดอาวุธเวทในมือขวาตัดแขนขวาของเฉินมู่ทิ้ง!

เลือดสดๆ พวยพุ่งออกมาเป็นสาย ความเจ็บปวดจากการโดนเฉือนแขนทิ้งเรียกสติเฉินมู่ให้ฟื้นกลับมากรีดร้องอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากช่วงล่างและตรงแขนทำให้เขาคลุ้มคลั่งแต่ก็ไม่มีสติหลงเหลือให้สูญเสียอีก ชายหนุ่มทำได้เพียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา เจ้าลาเองก็โกรธจัดไม่แพ้กัน มันแอบย่องเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะยกเท้าขึ้น…เตะเข้าตรงกล่องดวงใจที่เสียหายหนักของเฉินมู่

ลูกเตะของเจ้าลาเป็นเหมือนการสาดน้ำมันเข้าใส่กองเพลิง เฉินมู่กรีดร้องลั่นจนเสียงหลง ร่างกายสั่นเทิ้ม จากนั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง

กงเต๋าและหลินเทียนหาวอยากจะเข้าไปร่วมวงกระทืบ แต่ก็หน้าเหยเกไปเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ได้แต่จ้องเจ้าลาสลับกับหวังเป่าเล่ออยู่เงียบๆ หลี่หว่านเอ๋อร์จับจ้องเจ้าลาอยู่ไกลๆ เป็นครั้งแรกที่นางมองมันด้วยแววตารักใคร่อ่อนโยน เห็นได้ชัดว่านางประทับใจลูกเตะปิดฉากของมันมาก

กลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ แต่ก็รู้ดีว่าตระกูลนภาห้าสมัยต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมเข้าอีกครั้ง พวกเขาปวดหัวขึ้นมา โชคร้ายที่โลกภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีโลหิต ส่งผลให้ช่องทางการติดต่อทั้งหมดถูกตัดขาด ไม่สามารถติดต่อไปหาทางตระกูลได้

“รองเจ้าเมืองหลี่!” ขณะที่กลุ่มคนจากตระกูลนภาห้าสมัยกำลังตื่นตระหนกกันอยู่ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แสร้งทำเป็นไม่เห็นลูกเตะปิดฉากของเจ้าลา

หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทันใด ก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้า นางมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสุขุมลุ่มลึก จากนั้นก็โค้งหัวให้

“ท่านเจ้าเมือง!”

“ตามกฎของสหพันธรัฐซึ่งมีการบังคับใช้บนดาวอังคาร เฉินมู่ได้ก่อกบฏกับทางสหพันธรัฐ พยายามก่อจลาจลเพื่อเข้ายึดอำนาจ โทษของเขาคือประการใด”

“ประหารชีวิต! เราจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด!” หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบเสียงแข็ง ไร้ซึ่งความลังเลใจ

หวังเป่าเล่อพอใจกับคำตอบของนางมาก ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ ขณะจับจ้องร่างที่นอนไร้สติอยู่ เฉินมู่และกลุ่มอำนาจที่คอยหนุนหลังนั้นได้กระทำเกินควรหลายต่อหลายครั้ง เปรียบดังว่าชายหนุ่มมีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ยินยอมให้ใครคนหนึ่งเข้ามาพัก ดูแลให้ข้าวให้น้ำอย่างดี แต่คนที่เข้ามาพักอาศัยกลับอยู่ยาวไม่ยอมไปไหน ถ้าแค่นั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้อาศัยกลับพยายามแก้ไขโฉนดเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองบ้าน แถมยังคิดจะฆ่าเจ้าของบ้านทิ้งอีก

พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเหมือนดั่งโจรชั่ว!

ซึ่งการจะลงโทษโจรชั่วตัวนี้ก็ต้องเฆี่ยนตีอย่างหนัก ชายหนุ่มประกาศกร้าว “จับกุมเฉินมู่! หลังจากหมอกสีโลหิตจางหายไป ให้รายงานไปยังเจ้านครและสหพันธรัฐ ข้าต้องการ…ความรับผิดชอบจากตระกูลนภาห้าสมัยต่อผู้ฝึกตนหลายล้านคนในนครใหม่ของข้า พวกเขาจะต้องรับผิดชอบทุกชีวิตที่สูญสิ้นไป ต้องรับผิดชอบต่อกฎระเบียบและความยุติธรรม!” เสียงทรงพลังของหวังเป่าเล่อดังก้องในอากาศ

ขณะเดียวกัน หมอกสีโลหิตที่กระจายตัวครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของดาวอังคารก็เริ่มจางลงหลังจากเจ้าลาเขมือบชายในชุดคลุมสีดำเข้าไปและการก่อจลาจลของเฉินมู่สิ้นสุดลง วันต่อมา หลังจากจับกุมตัวเฉินมู่ หมอกก็จางหายไปหมด

เมื่อช่องทางการสื่อสารต่างๆ กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้บิดาของนางรับทราบ จากนั้นก็รายงานการก่อจลาจลไปยังเจ้านครและสหพันธรัฐ

กงเต๋า หลินเทียนหาว และจินตั้วหมิงต่างใช้อิทธิพลที่พวกเขามีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แม้แต่ฟางจิ้งก็ตาสว่าง  นางตระหนักได้ว่าสุสานที่ปรากฏขึ้นในเขตของตนไม่ใช่เหตุบังเอิญจึงรีบติดต่อไปทางสำนักด้วยความเดือดดาล

เวินไหวทราบสถานการณ์ทั้งหมดและตระหนักว่าตนต้องประกาศจุดยืน เขาติดต่อไปรายงานทางสำนักให้ทำการพิจารณาในทันที หลังจากที่ข่าวเหตุการณ์แพร่กระจายออกไป ก็เกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ในกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ทั้งในสหพันธรัฐและบนดาวอังคาร จุดเชื่อมโยงระหว่างหมอกสีโลหิตบนดาวอังคารและเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้เรื่องนี้ร้ายแรงขึ้นไปอีก

เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่มีความเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดิน ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน หมอกสีโลหิตบนดาวอังคารไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เจ้านครดาวอังคารนำตัวเฉินมู่ไปคุมขังไว้ในนครหลักดาวอังคาร มีการไต่สวนร่วมกับทางสหพันธรัฐและกลุ่มอำนาจอื่นๆ

การไต่สวนไม่ได้เผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ รู้กันแค่เพียงภายใน โดยตัดสินแล้วว่าเฉินมู่ได้รับโทษประหาร!

ตลอดการไต่สวน ตระกูลนภาห้าสมัยไม่ได้ออกตัวแทนเฉินมู่แม้แต่คำเดียว พวกเขาให้ความร่วมมือดีมาก ฝ่ายเฉินมู่ยืนยันว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตน ไม่เกี่ยวกับทางตระกูลเลย แต่ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร มีกลุ่มอำนาจหลายหลุ่มถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังสร้างความเจ็บแค้นให้ใครหลายคน จึงต้องมีการรับผิดชอบเกิดขึ้น

ส่งผลให้…ตระกูลนภาห้าสมัยต้องชดเชยด้วยวัตถุดิบและทรัพยากรจำนวนมาก การชดเชยนี้มีให้นครใหม่เช่นกัน ตระกูลนภาห้าสมัยต้องลำบากกับการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ พวกเขาโกรธเคืองการกระทำของเฉินมู่ เพราะแม้พวกเขาจะเห็นด้วยกับแผนการทั้งหมด แต่ชายหนุ่มแค่ต้องฆ่าหวังเป่าเล่อและคนไม่สำคัญอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้จำเป็นต้องไปหาเรื่องทุกคนเช่นนี้…

แม้จะลากทุกคนเข้ามาหมด แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่เขากลับพลาดพลั้ง…

หวังเป่าเล่อรู้ว่าตระกูลนภาห้าสมัยขุ่นเคืองเกินกว่าจะปล่อยวางได้ จึงส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านครดาวอังคาร

“ท่านเจ้านคร ข้าต้องสละอาวุธเวทระดับแปดถึงสิบชิ้นเพื่อที่จะโค่นเฉินมู่ ผู้ฝึกตนทุกคนในนครใหม่เป็นพยานให้ข้าได้ โปรดให้การช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนี้ในการเรียกร้องขอการชดเชยจากตระกูลนภาห้าสมัยด้วย!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset