หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 849 จุดเริ่มต้นของสงคราม

ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางฟังรายงานจากชายชรา เหออวิ๋นจื่อก็กำลังนำพิธีสังเวยของเหล่าราชสกุลที่ถูกผนึกอยู่บนดาวหลักอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

มีจื่อหลัวผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์จากอารายธรรมครามทองคำคอยช่วยสนับสนุน ส่วนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ใต้ตะเกียงทำหน้าที่เป็นชนวนจุดไฟ เหออวิ๋นจื่อพาราชวงศ์เกือบทุกคนไปรวมกันอยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง

แม้แต่เหล่าราชวงศ์ที่สายเลือดห่างที่สุดก็มารวมตัวด้วย ราชวงศ์กว่าหมื่นคนมารวมกันอยู่ที่นครราชวงศ์ พิธีเริ่มต้นผ่านสายโลหิตของตะเกียงทองแดง ทันใดนั้น สายโลหิตของทุกคนก็เริ่มตื่นขึ้น

ลำแสงจากสายโลหิตพวยพุ่งไปทั่วนครราชวงศ์ ปกคลุมทั่วจนกลายเป็นทะเลสีแดง ภาพเหตุการณ์นี้ควรจะเรียกความสนใจจากสามสำนักหลักและเหล่าผู้สอดแนมจากแต่ละสำนักได้ แต่เห็นได้ชัดว่าอารยธรรมครามทองคำมีวิธีซ่อนภาพเหตุการณ์นี้ให้พ้นสายตาของคนเหล่านั้น ทำให้ทั้งสามสำนักหลักไม่ทราบว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

พิธีดำเนินไปครึ่งชั่วโมง ระหว่างช่วงเวลานั้น ราชวงศ์หลายคนไม่สามารถทนรับการตื่นของสายเลือดได้ ร่างพวกเขาสั่นเทิ้มและสิ้นลมลงไปในทันที เหออวิ๋นจื่อประกาศนามพวกเขาในฐานะราชวงศ์และความรุ่งโรจน์ของราชสกุล เหล่าราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดไม่คิดยอมแพ้ พวกเขาร้องคำรามลั่นด้วยความกราดเกรี้ยวเพื่อให้สายโลหิตลุกโชนและถูกใช้ไป

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ฟากฟ้าเหนือนครราชวงศ์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ลมพัดกรรโชก เมฆาบิดปั่นป่วน เหออวิ๋นจื่อไม่สนใจว่าจะกระอักเลือดไปมากเท่าใด เขาจับจ้องไปยังดารานิรันดร์มายาขนาดมหึมาที่กำลังก่อตัวขึ้นเหนือนครราชวงศ์อย่างช้าๆ

ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มีลักษณะเหมือนดวงตา เป็นภาพฉายของดวงเนตรดารานิรันดร์ที่ราชวงศ์สละสายโลหิตและเคล็ดวิชาในการอัญเชิญมา

ความตื่นเต้นและความหวังฉายชัดในดวงตาของเหออวิ๋นจื่อขณะมองไปยังภาพฉายดารานิรันดร์ที่ปรากฎอยู่ด้านบน เขาอ้าแขนออกกว้างพร้อมร้องตะโกน

“จงเปิดออก…ประตูดารานิรันดร์!”

สายโลหิตของทั้งราชสกุลปั่นป่วนหนักขึ้นอีกครั้งหลังจากถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนก้องในอากาศ หนึ่งส่วนสามของราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดอยู่ร่างสั่นเทิ้มและสิ้นลมหายใจไป ลำแสงสีแดงทุกเส้นพุ่งตรงไปยังตะเกียงทองแดงในทันที แสงในตระเกียงกลายเป็นสีแดงชาดพวยพุ่งขึ้นฟ้าปรากฏเป็นเสาแสงเจิดจ้ามุ่งหน้าไปยังภาพฉายดารานิรันดร์

ภาพฉายสั่นไหว ก่อนวังวนจะค่อยๆ ก่อตัวและขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่ง…กลายเป็นหลุมดำ

ทันใดนั้น ภาพอันคุ้นเคยก็ฉายขึ้นบนดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของจริง ดารานิรันดร์สั่นไหว วังวนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ…

ขณะที่หลุมดำปรากฏขึ้น…เส้นทางเคลื่อนย้ายก็เปิดออก ร่างเงาเลือนรางนับไม่ถ้วนปรากฏกาย เหล่าร่างเงาดูอยู่ไม่สุข เหมือนว่าพร้อมจะพุ่งออกจากหลุมดำได้ทุกเมื่อ  ไม่นานคลื่นพลังวิญญาณดารานิรันดร์ก็พัดกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะดังก้องทั่วอวกาศก่อนจะทันได้เยียบย่างเข้ามาในอารยธรรมเสียอีก จากนั้นตัวตนสามร่างก็พุ่งออกมาจากหลุมดำ!

พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีรุ้ง แม้จะมีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าสองในสามอยู่ในวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นชายชรา จริงๆ แล้ว…ถ้าหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่ เขาคงจะจำพลังรัศมีของชายชราได้…ว่าเป็นคนเดียวกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงทองแดง!

พวกเขาปลดปล่อยพลังยุทธ์และพุ่งทะยานออกไปเสียงดังสนั่น ทั้งสามล้วน…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ พวกเขาไม่ได้รีบไปไหนหลังออกจากหลุมดำมา ทั้งสามไปหยุดอยู่มุมหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งผนึกฝ่ามือ จับพื้นที่บริเวณขอบหลุมดำและกระชากออก ดารานิรันดร์สั่นไหวอีกครั้ง ก่อนที่หลุมดำจะขยายตัวใหญ่ขึ้น เรือบินรบและผู้ฝึกตนมากมายพุ่งออกมาจากหลุมดำในทันใด!

มีเรือบินรบทั้งหมดเกือบแสนลำและผู้ฝึกตนที่มากกว่านั้นถึงห้าเท่า เรือบินรบทุกลำและชุดคลุมที่เหล่าผู้ฝึกตนใส่ล้วนมีสีรุ้ง เห็นได้ชัดว่า…ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมครามทองคำนั้นแต่งกายเช่นนี้กันหมด หากไม่เป็นเช่นนั้น…ก็แปลว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกที่มาที่นี่เป็นเพียงกลุ่มการเมืองหนึ่งในอารยธรรมครามทองคำ!

ดวงตาของเหล่าผู้ฝึกตนที่มาถึงคุกรุ่นไปด้วยความตื่นเต้นและหิวกระหาย พวกเขาก้าวผ่านหลุมดำไปพร้อมเรือบินรบ ก่อนจะหันมองรอบกายและทำความเคารพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคน ถึงจุดนี้คงไม่ต้องอธิบายแล้วว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคนนั้นเป็นใคร

“คารวะท่านประมุข คารวะท่านผู้อาวุโส!”

ผู้มาถึงไม่ใช่กำลังทั้งหมดของอารยธรรมครามทองคำ เป็นเพียงหนึ่งในสำนักภายในอารยธรรมเท่านั้น ชายชราผู้มีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินคำทักทายจากคนในสำนัก

“อารยธรรมนี้ช่างแปลกเสียจริง ถึงจะดูล้าหลัง แต่พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรสวรรค์ก็บ่งบอกชัดถึงความล้ำค่า…สามารถเคลื่อนย้ายพวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ข้ามระยะทางหลายร้อยปีแสงได้ในพริบตา…

“เราจะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้ ตามแผนการของเรา…กองกำลังหนึ่งในสิบนำโดยหกผู้นำของเราจะมุ่งหน้าไปยังดาวหลักดวงเนตรสวรรค์เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรของเราจากการคุมขัง กองกำลังที่เหลือจะตามสองผู้อาวุโสของสำนักและข้าไป…เราจะไปจัดการสำนักหลักที่อ่อนแอที่สุดก่อน ซึ่งก็คือสำนักผนึกผังดาวหกแฉก!

“เราจะขยี้สำนักนั้นให้เร็วที่สุดและทำลายสมดุลระหว่างสามสำนักหลัก จากนั้นจะกระจายกองกำลังออกไป ผู้อาวุโสหนึ่งคนจะตามข้าไปเปิดศึกกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกคนจะนำกองกำลังไปบุกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ หากเราทำสำเร็จ…ก็จะไม่ต้องขอกองกำลังเสริมจากสำนักอื่นในอารยธรรมครามทองคำ พวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะบดขยี้อารยธรรมนี้เอง!”

“เปิดฉากสงครามได้!” ประมุขสำนักระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะร่วนและพุ่งไปทางสำนักผนึกผังดาวหกแฉกทันที ผู้อาวุโสประจำสำนัก เรือบินรบเก้าหมื่นลำ และผู้ฝึกตนกว่าสี่แสนคนทะยานตามเขาไป พวกเขาปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดพุ่งทะยานไปด้านหน้า

เรือบินรบหนึ่งหมื่นลำและผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กว่าห้าหมื่นคนที่เหลือภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหกคนก็กำลังมุ่งหน้าไปยัง…ดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

ขณะที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปนั้น ณ ที่ใดสักแห่งในดินแดนนพภูมิ รูปปั้นก็กำลังจมลึกลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ดินแดนนพภูมิเป็นเหมือนโลกอีกด้านของกระจก ยากมากที่คนธรรมดาจะสามารถเปิดประตูเชื่อมมายังดินแดนแห่งนี้ได้ มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่สามารถเปิดประตูได้ได้ชั่วคราว ดินแดนนพภูมิแห่งนี้จะถูกปิดไว้เกือบตลอดเวลา

ดินแดนแห่งนี้มีกฎธรรมชาติเป็นของตัวเองและไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก ขณะเดียวกันก็ปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ไม่ต่างจากความตายที่ปรากฏอยู่ในทุกที่ที่มีชีวิต สวรรค์และผืนดินในโลกนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ที่นี่มีเพียงหมอกหนาเกินจะวัดได้ ขณะที่หมอกเคลื่อนเอื่อยเฉื่อยไปในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์มากมายก็ปรากฏขึ้นจากในหมอก ใบหน้าเหล่านั้นเป็นเหมือนผู้รับรู้ความตายในดินแดนแห่งนี้

วิญญาณผู้ล่วงลับของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกันอยู่ที่นี่ ผู้มีชีวิตอยู่ไม่ค่อยย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เพราะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะสามารถเอาชีวิตรอดในที่แห่งนี้ได้สักชั่วประเดี๋ยว แต่ก็ไม่สามารถคงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ได้นาน รัศมีแห่งความตายแปดเปื้อนทุกสิ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามีวิญญาณผู้ล่วงลับมากมายเท่าใดถูกขังไว้ที่นี่

รู้เพียงว่านพภูมิคือส่วนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตำนานได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของดินแดนแห่งนี้ไว้ใน…เต๋าสวรรค์ที่เคยมีอยู่เมื่อนานแสนนาน ในช่วงเวลานั้นนพภูมิไม่ได้ถูกปิดไว้ พอมีผู้ล่วงลับ วิญญาณก็จะกลับสู่นรกภูมิ ทั้งวิญญาณของคนทั่วไปและวิญญาณของเหล่าผู้แข็งแกร่ง ไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ใด

ตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรืองอำนาจขึ้นมาทำให้กฎธรรมชาตินั้นหายไปพร้อมเต๋าสวรรค์ นพภูมิยังคงมีอยู่ แต่ก็ถูกปิดผนึกไป ตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งกฎขึ้นมาใหม่ เมื่อผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปตาย วิญญาณของพวกเขาจะไม่ได้เข้าไปสู่นพภูมิหรือเกิดใหม่ แต่จะล่องลอยไปในอวกาศแทน หากหาวิธีได้ ก็จะสามารถกลับคืนมามีชีวิตได้ใหม่!

นี่คือตำนานที่กล่าวขานกันมาทั่วจักรวาลและภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ในตำนานนี้หรือแผนการลับอะไรซ่อนอยู่

ในสายตาของรูปปั้นที่กำลังจมดิ่งลงไป ภายในสุสานหลวงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เบื้องหน้าของวิญญาณผู้ล่วงลับนับล้านที่กำลังคุกเข่าและจักรพรรดิทั้งสิบสองที่กำลังก้มหัวคือหวังเป่าเล่อ ภายในร่างของเขา การต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ครอบครองได้พุ่งทะยานไปถึงขีดสุด!

ผีแก่ผู้มีพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพื่อแย่งชิงร่างกายหวังเป่าเล่อมาครอง เขาสามารถหลบเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาได้โดยมุ่งโจมตีเพียงดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อพร้อมพยายามกลืนกินมันเข้าไป

แต่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากจากพลังแปลกประหลาดมากมายที่เคยอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ต้องเปลี่ยนพลังส่วนหนึ่งเป็นผนึกิเพื่อป้องกันการแทรกแซงการครอบงำของเขา และกันไม่ให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

ความคิดประหลาดผุดขึ้นในของหัวหวังเป่าเล่อเมื่อเขาตระหนักได้ว่าผีแก่ได้ทำอะไรลงไป เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยปกปิดไม่ให้ผีแก่รู้

การกระทำของผีแก่คงจะดูมีเหตุผลมากกว่านี้ถ้าเขาสู้กับร่างจริงของข้า แต่ร่างนี้เป็นเพียงร่างอวตาร ฝักกระบี่และเมล็ดดูดกลืนล้วนอยู่ในร่างจริง ร่างอวตารเป็นแค่ภาพมายา แล้วทำไมผีแก่ต้องทำเช่นนี้ หรือว่า…แม้จะวางแผนมาแล้วอย่างดีแต่เขากลับพลาดอะไรไป เขารู้หรือเปล่าว่านี่เป็นแค่ร่างอวตาร หรือจะคิดว่าร่างนี้คือร่างจริงกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อยขณะเรียกภาพมายาเมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ออกมา ผีแก่อยู่ไม่สุขในทันใดเมื่อเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองสิ่ง ราวกับว่าชายหนุ่มได้เรียกศัตรูคู่อาฆาตของเขาออกมากระนั้น!

น่าสนใจ! หวังเป่าเล่อคิด เขามั่นใจในโอกาสของตนเองมากขึ้น ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้กัดดวงวิญญาณของผีแก่เข้าไปเต็มแรง

…………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา
Status: Ongoing
นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset