หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 888 เซี่ยไห่หยางผู้กระตือรือร้น!

ระดับปราณของพวกเขาเป็นภาพลวงตา แต่ชีวิตที่กำลังใช้เป็นของจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ชายหนุ่มไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่เขามีในตอนนี้ได้ แต่เขาก็รู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้สหพันธรัฐซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันนี้

ไม่มีอะไรมีค่าพอให้สืบอีกต่อไปแล้ว ข้าควรจะไปดูผนึกให้ใกล้ชิดกว่านี้…เผื่อจะมีทางอื่นให้ออกไปจากที่นี่ได้ หวังเป่าเล่อแอบส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป แต่สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน นางมีสีหน้าสับสนขณะที่จ้องมองมาทางหวังเป่าเล่อ หลังจากกังวลอยู่ชั่วอึดใจ นางก็พูดออกมา

“ช้าก่อน สหายร่วมสำนักเต๋า”

หวังเป่าเล่อชะงักและหันไปมองสตรีที่เพิ่งจะพูดกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาที่นางจ้องมองมาเมื่อครู่ เขายังรับรู้ถึงความพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับสตรีนางนี้ผ่านดวงจิตเทพอีกด้วย

มีเปลวไฟประหลาดอยู่ภายในกายนาง มันถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด หากไม่ใช่เพราะระดับปราณของหวังเป่าเล่อที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อและเพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด ชายหนุ่มก็คงไม่อาจสัมผัสถึงเปลวไฟนั้นได้

เปลวไฟดังกล่าวเหมือนเป็นเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยได้ปลดปล่อยออกมาก่อนจะตาย อันที่จริงแล้ว…หวังเป่าเล่อเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เพียงเมล็ดเดียวที่ผู้ฝึกตนคนนั้นปล่อยออกมา

อาจจะเป็นเศษเสี้ยวของดวงจิตจากดาวเคราะห์ต้นกำเนิดกระมัง หลังจากมองสำรวจแล้วหวังเป่าเล่อก็ไม่ใคร่จะสนใจนัก โอกาสการชุบชีวิตตัวเองผ่านเศษเสี้ยวของดวงจิตตนนั้นแทบจะเท่ากับศูนย์ในสภาพแวดล้อมของอารยธรรมวิญญาณโลกปัจจุบัน สิ่งเดียวที่เศษเสี้ยวนั้นทำได้คือให้เจ้าของร่างได้รับพลังปราณจริงๆ ไปบ้าง

ทว่าข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมยังมีผลต่อพลังปราณจริงๆ ที่คนจะได้รับ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ขั้นปราณสูงสุดที่จะบรรลุได้ก็คือขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น

หากเขาไม่ได้ติดอยู่ในนี้ หวังเป่าเล่อคงจะสนใจพูดคุยกับหญิงสาว แต่ชายหนุ่มไม่ได้อยากคุยในตอนนี้ หลังจากที่จ้องมองอยู่ชั่วครู่เขาก็กล่าวขึ้น

“เราคงไม่มีวาสนาต่อกัน” หลังจากที่พูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังและเดินออกไป ชายหนุ่มชื่อไถ่จงที่นั่งอยู่ข้างๆ สตรีนางนั้นลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นการตอบโต้ของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีของสตรีที่หมายปอง จึงได้ทำท่าขึงขังก่อนจะโพล่งออกมา

“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกว่าให้เจ้าไปได้กัน!” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มนั้นชินกับการได้อะไรดั่งใจ เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่งขณะที่พูดและคว้าแขนหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่ขณะที่มือของเขากำลังจะคว้าโดนหวังเป่าเล่อ จู่ๆ ไถ่จงก็หยุดค้างไปเฉยๆ แววตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อเขายืนอยู่หลังหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติในอีกอึดใจต่อมา ราวกับว่าเขามองไม่เห็นหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหันหลังกลับไปหาเหล่าสหายก่อนจะหัวเราะเสียงลั่น

“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” คำพูดเหล่านั้น…เป็นคำพูดเดียวกับที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึง การพูดซ้ำเช่นนี้ควรเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ไม่มีใคร กระทั่งลูกค้าคนอื่นๆ เจ้าของโรงเตี๊ยม หรือลูกน้อง รวมไปถึงเด็กสาวที่มีเปลวไฟพิเศษอยู่ในกายแสดงอาการสับสนหรือสงสัยออกมา ราวกับว่าทุกอย่างเป็นปกติกระนั้น

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง และบรรดาเพื่อนศิษย์ต่างก็พูดคุยกันอย่างครื้นเครงตามเดิม

“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว…”

ดูเหมือนว่าเวลาจะถูกย้อนกลับไปตอนที่ผู้ฝึกตนทั้งห้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อได้เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมอันแน่นขนัดแล้ว เงาร่างอันโดดเดี่ยวของเขาดูเดียวดายขณะที่กำลังเดินคล้อยหลังจากไปไกล

ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจกับสิ่งที่คนธรรมดาเหล่านั้นพูดสักเท่าใด ด้วยระดับปราณของเขาและนิมิตมืด เขาสามารถปรับแต่งความทรงจำของทุกคนในโรงเตี๊ยมได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

หลังจากที่ร่างของชายหนุ่มหายลับตาไป หญิงสาวนามซิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไถ่จงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางมองตรงไปยังบริเวณเส้นขอบฟ้าที่ร่างของหวังเป่าเล่อเดินจากไปด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย

“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนจะกลับมาร่วมวงพูดคุยต่อไป จากนั้นนางก็ตัวสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่งโดยที่ไม่รู้ตัว

นางยังไม่รู้อีกด้วยว่าในขณะเดียวกันนั้น คนเกือบล้านคนจากทั่วอารยธรรมวิญญาณโลก ทั้งในเมืองมากมายรวมไปถึงในดินแดนห่างไกล ผู้ซึ่งมีระดับปราณและสถานะสูงต่ำต่างๆ กันและมีหน้าตาไม่เหมือนกัน ต่างก็พากันตัวสั่นขึ้นมาด้วย

หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินอยู่ภายในเมืองและเตรียมตัวจะออกเดินทางก็รู้สึกบางอย่างขึ้นมาในวินาทีนั้น คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออกช้าๆ เขาไม่สนใจความรู้สึกนั้น ก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และก้าวลงไปในห้วงเหวหายตัวไปจากเมือง ร่างของเขาดูพร่าเลือนราวกับเป็นหมอก หมอกที่เหมือนจะสลายหายไปในจักรวาล เล็ดลอดผ่านการมองเห็นทั้งจากตาเนื้อและสัมผัสสวรรค์ ก่อนจะเคลื่อนที่อย่างเงียบงันไปในห้วงอวกาศห่างไกล

อารยธรรมวิญญาณโลกไม่ได้ใหญ่โตเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงขอบอารยธรรม ชายหนุ่มมองเห็นผนึกที่ครอบอารยธรรมนี้จากมุมหนึ่งถึงอีกมุมได้ชัดเจน

หวังเป่าเล่อแปรสภาพจากหมอกกลายมาเป็นหลงหนานจื่ออีกครั้ง ก่อนจะจ้องไปยังผนึกรูปรวงผึ้งอยู่เป็นเวลานาน คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่น ชายหนุ่มไม่กล้าออกแรงลองทำลายผนึกสุ่มสี่สุ่มห้า เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผนึกนี้

ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ขณะนี้ไร้ประโยชน์ และเรือบินรบเวทจำนวนมากของเขาตอนนี้หากไม่เสียหายก็พังไปสิ้น เกราะมหาจักรพรรดิก็สูญเสียพลังวิญญาณไปแทบทั้งหมดเช่นกัน หากจะพูดกันตามตรง ชายหนุ่มตอนนี้ไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายให้เลือกใช้งานมากนัก

หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ส่งดวงจิตเทพเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ เจ้าเยี่ยเหมิงนั่งอยู่ในเรือบินรบเวทลำหนึ่งด้านในนั้น กำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบงัน

เจ้าลานอนแผ่หลาพร้อมส่งเสียงกรนดังสนั่นอยู่ข้างนาง ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้น…ก็รออยู่ข้างกายเจ้าเยี่ยเหมิง พลางลอบมองนางอยู่บ้างเป็นบางครั้ง

เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้นทันทีที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อลอดเข้ามาในกระเป๋าคลังเก็บ จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตเทพ นางก็มองไปยังผนึกที่อยู่รอบๆ อารยธรรม เจ้าอู๋น้อยเองก็จ้องมองอยู่เช่นเดียวกัน

“เยี่ยเหมิง เจ้าช่วยข้าดูที ว่า…มีวิธีไหนหรือไม่ที่จะทำลายวงแหวนปราณนี้ได้!”

หวังเป่าเล่อเล่าให้เจ้าเยี่ยเหมิงฟังว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ พวกเขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะซ่อนรัศมีได้เพราะอยู่ในกายสารัตถะ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงทำไม่ได้ นางอาจถูกดารานิรันดร์ประดิษฐ์พบตัวได้ทันทีที่ออกจากกระเป๋าคลังเก็บ ส่งผลให้หลังจากที่พูดคุยกันนางแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ให้นางออกมา

หญิงสาวศึกษาผนึกผ่านดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วน คิ้วคู่งามม้วนขมวดเป็นปมแน่น ก่อนที่จะทอดถอนใจออกมา

“ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้เป็นแก่นของอารยธรรมครามทองคำ วงแหวนปราณภายในดวงอาทิตย์ถูกหลอมขึ้นโดยผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์สามคน…ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะพังมันไม่ได้ เป่าเล่อ ผนึกนี่ไม่ใช่อะไรที่เราจะทำลายลงเองได้” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเองก็กังวลเช่นกันเมื่อรู้ถึงความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบของนาง มีบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าอู๋น้อย

“เจ้าอู๋น้อย เจ้าช่วยอะไรข้าได้บ้างไหม”

นัยน์ตาของเจ้าอู๋น้อยแสดงความสับสนเมื่อได้ยินคำถามจากหวังเป่าเล่อ ถึงกระนั้น เขาก็พยายามเต็มที่และทำเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ได้เพียงส่ายศีรษะ

หวังเป่าเล่อจ้องมองเจ้าอู๋น้อยอย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะเมินอีกฝ่ายไปหลังจากนั้น และหันกลับไปจ้องวงแหวนปราณตรงหน้าเขม็ง สมองของชายหนุ่มทำงานอย่างหนัก ก่อนที่จู่ๆ เขาจะดึงแผ่นหยกออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

เซี่ยไห่หยางมอบแผ่นหยกนี้ให้หวังเป่าเล่อ พร้อมบอกว่าสามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับเขาได้ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดที่จะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปยกเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย สัญญาสามฝ่ายที่เซี่ยไห่หยางทำยังคงทิ้งรสขมเอาไว้ในปากของหวังเป่าเล่อ เป็นเหตุว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ได้คิดเรื่องจะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มาถึงดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะจดจ้องไปอย่างลังเลใจยิ่ง

วงแหวนปราณนี้แม้จะแข็งแกร่ง แต่เซี่ยไห่หยางก็อาจจะทำอะไรกับมันได้ด้วยทรัพยากรมหาศาลที่เขามี! ไว้ข้าค่อยคิดวิธีอื่นหากข้าไม่สามารถติดต่อเขาได้ หรือต่อให้ข้าติดต่อเซี่ยไห่หยางได้ หากราคาที่เขาขอมันเกินเหตุไป ข้าก็จะเลิกทำการค้ากับเขาเสีย…อย่างร้ายที่สุด ข้าก็จะไปที่ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงกำลังพักฟื้นอยู่ที่นั่นเป็นแน่ ข้าจะไปสู้แค่ตายเพื่อสังหารเขาให้ได้ สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นการที่ข้าต้องระเบิดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของข้าก็เท่านั้น! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น ชายหนุ่มส่งดวงจิตเทพเข้าไปในแผ่นหยกในมือเพื่อพยายามติดต่อกับ…เซี่ยไห่หยาง!

ทันทีที่ดวงจิตเทพแผ่เข้าไปในแผ่นหยก ก็มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากอุปกรณ์นั้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้อ้าปากพูด เสียงของเซี่ยไห่หยางก็พุ่งออกมาจากแผ่นหยกและดังอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ฮะฮ่า ไม่ได้คุยกันนานเลย ข้าเริ่มจะคิดถึงเจ้าขึ้นมาเสียแล้ว ข้ายอมรับว่าข้าทำผิดไป ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ากำลังสงสัยว่าข้าควรจะส่งของไปคำนับเจ้าบ้างดีหรือไม่ อย่างไรเสีย พวกเราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย” เสียงของเซี่ยไห่หยางที่แผ่ออกมาจากแผ่นหยกทั้งอบอุ่นและกระตือรือร้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ชอบสิ่งที่เซี่ยไห่หยางทำ แต่ก็อดรู้สึกพึงใจไม่ได้

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset