แม้ความโกรธของหวังเป่าเล่อจะลดน้อยลง แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์กับการเล่นบทนกสองหัวของเซี่ยไห่หยางนัก ชายหนุ่มรู้ว่านักธุรกิจย่อมต้องสนใจเพียงการหากำไรเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ดี
“ศิษย์น้องไห่หยาง ข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนมิตรสหาย แต่เจ้ากลับขายข้ากิน…” หวังเป่าเล่อพูดแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทั้งซื่อตรงและเจือไปด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย เซี่ยไห่หยางเงียบงันไปเมื่อได้ยิน หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าพูดถูกต้อง ข้าทำเกินไปจริงๆ…ครั้งนี้ ข้าติดหนี้ท่านแล้ว”
“ลืมมันเสียเถิด เจ้าบอกว่าจะส่งของมาให้ข้า ข้าไม่ต้องการหรอก แต่เอาอย่างนี้เป็นไร…ตอนนี้ข้ามีปัญหาเล็กน้อย เจ้าอาจจะช่วยข้าเรื่องนี้แทนได้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ในสายตาเขา ตัวเขาเองไม่ใช่คนใจแคบ หากเซี่ยไห่หยางเสียใจจริงๆ ก็คงไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องที่แล้วไปแล้ว กลับกัน หวังเป่าเล่อตัดสินใจพูดเรื่องปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้แทน
ชายหนุ่มไม่ได้ซ่อนปัญหาจากเซี่ยไห่หยางแต่กลับบอกทุกอย่างออกไปตรงๆ ตัวตนของเขาถูกเปิดโปงเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง และตอนนี้ชายหนุ่มก็ถูกอารยธรรมครามทองคำหมายตาอยู่ พวกเขาวางกับดักรอหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในอารยธรรมวิญญาณโลก
หวังเป่าเล่อยังเน้นย้ำอีกด้วยว่าขณะนี้ตนมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งอารยธรรมครามทองคำจะต้องหาตัวเขาพบและสังหารเขาในอีกไม่ช้า
แม้ว่าจะไม่ได้ปิดบังอะไรจากเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อก็ดูจะเน้นรายละเอียดบางประการมากเป็นพิเศษและเล่าเชื่อมให้ทุกเรื่องดูเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ สุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงความวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกออกมาระหว่างการเล่า แต่เซี่ยไห่หยางก็รู้ทันทีหลังจากที่ฟังชายหนุ่มพูด หวังเป่าเล่อกำลังบอกใบ้ว่าเหตุการณ์ที่สุสานหลวงนั้นนำภัยใหม่ๆ มาสู่หวังเป่าเล่อ จะว่าให้ง่ายก็คือ หากเซี่ยไห่หยางรู้สึกผิดจริง ก็ต้องช่วยหวังเป่าเล่อแก้ไขวิกฤตที่เขากำลังเผชิญอยู่
เพราะการบอกเป็นนัยๆ ของหวังเป่าเล่อนี้เอง เซี่ยไห่หยางจึงไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ หรือตั้งราคาสำหรับความช่วยเหลือได้ ช่างเป็นการยากที่จะอธิบายถึงความชาญฉลาดที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ คนฟังจำเป็นต้องใช้ความอาจหาญและจิตใจเพื่อที่จะรับรู้ถึงความสวยงามในถ้อยคำของชายหนุ่ม
เซี่ยไห่หยางยิ้มอย่างอ่อนใจอีกครั้ง ความชื่นชมและเคารพในตัวหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มเชื่อว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้มีโอกาสจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังได้แน่
อันที่จริงแล้ว นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกขอโทษหวังเป่าเล่อหลังจากที่ทำการตกลงสามฝ่ายไป สัญชาตญาณบอกเซี่ยไห่หยางว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่น่ามหัศจรรย์แถมยังมีสายป่านยาวนัก แม้จะมาจากพื้นฐานครอบครัวธรรมดา แต่เบื้องหลังม่านแห่งความธรรมดาสามัญนั้นซ่อนความลับที่แม้แต่เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
ต่อให้ชายหนุ่มไม่สนใจเรื่องความลับของหวังเป่าเล่อ การที่ปรมาจารย์แห่งไฟอยากจะได้ตัวหวังเป่าเล่อไปเป็นศิษย์ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา สิ่งที่ทำให้อะไรๆ ยิ่งน่าทึ่งก็คือการที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธข้อเสนอของปรมาจารย์แห่งไฟ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมติดต่อหาปรมาจารย์แห่งไฟมอบตนเป็นศิษย์กับอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้…เซี่ยไห่หยางจึงเชื่อว่าหวังเป่าเล่อนั้นต้องได้รับการหนุนหลังจากใครสักคนที่แข็งแกร่งยิ่งและยังมีไพ่ตายเด็ดๆ ซุกซ่อนเอาไว้อีก
การคาดเดาของเซี่ยไห่หยางและข้อสรุปที่เขาคิดออกทำเอาชายหนุ่มนิ่งงันไป หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง เขาก็พูดออกมา
“การจะส่งเจ้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้า ข้าสามารถเปิดสิทธิ์การเข้าถึงของข้าและละเว้นค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ เจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังตลาดที่ข้าสร้างฐานที่มั่นเอาไว้ ระยะทางในการเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าคงจะสั้นลงไปมากทีเดียว
“การเคลื่อนย้ายเจ้าออกไปอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่…การทำลายผนึกภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของอารยธรรมครามทองคำดูเหมือนจะท้าทายอยู่สักหน่อย ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของพวกเขาอาจไม่ได้ล้ำยุคมากนัก แต่ก็ยังมีพลังของดารานิรันดร์อยู่…ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลพ่อค้า การปฏิบัติตามกฎเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเรา พวกเราไม่สามารถใช้อำนาจเกินกว่าเหตุได้หากไม่มีความจำเป็น”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบโต้แต่เซี่ยไห่หยางขัดขึ้นมาเสียก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของเขา
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าไม่ได้กำลังจะคิดเงินกับเจ้า แต่ข้าต้องใช้เวลาเพื่อจะทำลายผนึกนี้…” เซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ในตำหนักกลางตลาด แววครุ่นคิดปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาขณะที่พูด ชายหนุ่มกำลังคิดถึงขั้นตอนต่อไปและคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถแสดงความสามารถของตนเองพร้อมทั้งได้รับความเชื่อมั่นและความเคารพกลับมาจากหวังเป่าเล่อบ้าง
เซี่ยไห่หยางอาจปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อฉันท์เพื่อน แต่หัวใจของเขาก็ยังเป็นนักธุรกิจอยู่ ทั้งคุณค่าที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อหรือที่อีกฝ่ายมีต่อเขา ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องคำนึงถึงก่อนหน้ามิตรภาพ คุณค่าของหวังเป่าเล่อที่มีต่อเขาเป็นสาเหตุที่เซี่ยไห่หยางเลือกเก็บหวังเป่าเล่อเอาไว้ในฐานะเพื่อน เช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อเองก็คงอยากเก็บเซี่ยไห่หยางไว้เป็นเพื่อนมากขึ้นหากเขามีคุณค่า
ชายหนุ่มสามารถแก้ไขสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย สิ่งเดียวที่เขาต้องตัดสินใจก็คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำเช่นนั้น
มีประกายบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาของเซี่ยไห่หยางขณะที่ความคิดหลากหลายปรากฏขึ้นมาในใจเขา หลังจากนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่จะส่งข้อความเสียงออกไป
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าทำลายผนึกเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าละค่าธรรมเนียมให้เจ้าได้อยู่แล้ว ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าทำลายผนึกนั้นให้จงได้!”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่ามีความหมายอีกชั้นหนึ่งอยู่ในคำพูดเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร หวังเป่าเล่อจึงนิ่งเงียบรอให้เซี่ยไห่หยางพูดต่อไป
“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าต้องการตอนนี้ไม่ใช่วิธีการทำลายผนึกหรือการเคลื่อนย้ายออกไปแต่…คือสันติ!”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย เขาพูดออกมาเสียงเย็น
“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้า…หมายความว่ายังไง”
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะพูดตรงๆ กับเจ้า ข้าขายทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมไปถึง…สันติด้วย!” เซี่ยไห่หยางยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“สันติ เจ้าขายมันได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มดูไม่แน่ใจและเริ่มสงสัยว่าจะโดนเกลี้ยกล่อมให้ซื้อองครักษ์หรือไม่
“ข้าขายเหรียญตราสันติอย่างไรเล่า ท่านสามารถดูระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามปฏิทินของสหพันธรัฐได้ด้วย เหรียญตราเหรียญหนึ่งอยู่ได้หนึ่งปี อธิบายให้ง่ายก็คือจะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เจ้าหลังจากที่เจ้าซื้อเหรียญตราสันติ หากเจ้าพบศัตรู ก็แสดงเหรียญตราสันติให้พวกเขาเห็น แค่นั้นศัตรูก็จะหนีไปไกลหลายร้อยปีแสง พวกเขาอาจจะถึงขั้นทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตาก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางอธิบายการทำงานของเหรียญตราสันติให้หวังเป่าเล่อฟัง การโฆษณาของเขาฟังดูน่าสนใจทีเดียว
หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่แม้หลังจากที่ได้ยินเซี่ยไห่หยางพูดแล้วก็ตาม จากนั้นชายหนุ่มจึงถามราคาของเหรียญตราออกไป สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏบนใบหน้าของเขาหลังจากที่เซี่ยไห่หยางตอบ ในศีรษะของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของฝูงม้าย่ำกระเทือนลั่นทุ่ง หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็ตัดสายเซี่ยไห่หยางโดยไม่พูดอะไรเลย
แผ่นหยกสื่อสารของเขาสั่นขึ้นมาในอีกอึดใจ เสียงหัวเราะอย่างอึดอัดของเซี่ยไห่หยางดังลอยออกมา
“เป่าเล่อ เป่าเล่อ ฟังข้าก่อน…”
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว ข้าจ่ายไม่ไหวหรอก!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าจะอารมณ์เสียทำไมอีกเล่า ข้ายังพูดไม่จบ อย่างไรเสียพวกเราเป็นพี่น้องกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย เอาอย่างนี้เป็นไร ข้าจะให้เหรียญตราเจ้าไปลองเป็นเวลาหนึ่งเดือน สันติเป็นเวลาหนึ่งเดือนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าพอใจกับสินค้าของข้าหลังช่วงทดลอง เจ้าก็สามารถซื้อสินค้าตัวจริงได้เลย เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เซี่ยไห่หยาง ทำไมข้าถึงได้กลิ่นไม่ดีเลย เจ้าแน่ใจหรือว่าเหรียญตราสันติของเจ้านั้นปลอดภัย” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ
“ข้าเป็นนักธุรกิจนะ ข้าต้องรับผิดชอบทุกๆ อย่างที่ข้าขาย เจ้าถือเหรียญตราเอาไว้เถิด แล้วเอาไปแสดงให้ศัตรูเห็นเมื่อเจอ ข้าสาบานว่าพวกมันจะต้องถอยกรูดไปหนึ่งร้อยปีแสงอย่างแน่นอน พวกที่ใจเสาะหน่อยก็อาจจะขาดใจตายคาที่ไปเลยก็เป็นได้!” มีเสียงตุ้บดังออกมาจากแผ่นหยก เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะยกมือขึ้นทุบอกเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้มากความอีกต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องเหรียญตรามากนัก ในใจของชายหนุ่มวุ่นวายอยู่กับเรื่องคำสัญญาของเซี่ยไห่หยางที่จะทำลายผนึกและเคลื่อนย้ายเขาออกไปมากกว่า หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องทำลายผนึกกับเซี่ยไห่หยางแทน หลังจากที่สัญญาณเสียงจบลง ก็มีแสงสว่างส่องขึ้นมาจากแผ่นหยกสื่อสารในมือเขา รูปร่างหน้าตาของแผ่นหยกเปลี่ยนไปเป็นสีขาว มันยังคงเป็นแผ่นหยกอยู่เช่นเดิมเพียงแต่มีตัวอักขระตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนนั้น
อักขระนั้นไม่ได้เขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่รู้จัก แต่มันทำให้มีคำว่า “สันติ” ปรากฏขึ้นในใจผู้ที่ได้พบเห็น
หวังเป่าเล่อจ้องมองเหรียญตราอยู่เป็นนานก่อนจะหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกตกใจที่เซี่ยไห่หยางสามารถเปลี่ยนแผ่นหยกสื่อสารให้กลายเป็นเหรียญตราสันติได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน ศักยภาพอันล้นเหลือของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก
หากเขามีพลังพอจะทำเช่นนี้ได้ แค่การทำลายผนึกก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เขาพูดว่าต้องการเวลาสิบห้าวัน แต่นั่นคงเป็นเพียงข้ออ้าง…เซี่ยไห่หยางวางแผนจะมอบเหรียญตรานี้ให้ข้ามาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเหรียญตรา ก่อนที่ประกายแสงหนึ่งจะปรากฏขึ้นในแววตา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็เก็บเหรียญตราไป จากนั้นก็มองไปยังผนึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็หันหลังเดินจากไป
มีความเป็นไปได้สูงว่าเซี่ยไห่หยางจงใจมอบเหรียญตรานี้ให้เขาตั้งแต่แรก หวังเป่าเล่อต้องรู้ให้ได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร
เขากำลังพยายามทำลายข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหายตัวไปก่อนจะไปปรากฏอยู่ที่อีกตำแหน่งหนึ่งในอารยธรรมวิญญาณโลก เขาหยุดชะงักอยู่กลางคันเมื่อความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในใจ