หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 901 ใครเป็นผู้ล่า

“สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ ไอ้เด็กนั่นพยายามเปิดแหวนคลังเก็บหลายต่อหลายครั้ง นั่นน่าจะแปลว่าแม้พลังปราณของเขาจะไม่สูงพอ เขาก็น่าจะมีคนคอยช่วยเหลือหรือไม่ก็มีสมบัติเวทพิเศษแน่นอน!” ชานหลิงจื่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“แล้วอย่างไรเล่า” ตันโจวจื่อมีแววตาเกลียดชังขณะจ้องมองไปยังชานหลิงจื่ออย่างเยือกเย็น

“รากฐานแห่งเต๋าของท่านเพิ่งจะถูกทำลายไป แต่อย่าบอกข้าเชียวนะว่ากึ๋นของท่านเองก็ถูกทำลายไปด้วย ต่อให้เด็กนั่นมีใครอยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีทางที่คนคนนั้นจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เพราะหากเป็นเช่นนั้น แหวนคลังเก็บของท่านก็คงถูกเปิดไปเสียนานแล้ว แล้วหากเขามีสมบัติเวท เช่นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังไล่ตามเขาอยู่ ดังนั้นการจะหาตัวเขาพบมันก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย!” ขณะพูดตันโจวจื่อก็ยกมือขวาขึ้น ปล่อยพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นให้ไหลออกจากกายเขาเข้าไปยังด้วงสีทอง

ขณะที่พลังปราณถูกปล่อยออกมา ปีกของด้วงสีทองก็สยายก่อนสะบัดอย่างรวดเร็วขึ้นมาทันที ชั้นของคลื่นพลังมหาศาลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไปกินบริเวณกว้าง

“พาหนะของข้ามีพลังเทพภายในที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวแปลกปลอมของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ลงไป หากเจ้าเด็กนั่นกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ข้าก็จะพบตัวเขาในไม่ช้า!” ตันโจวจื่อหรี่ตาแล้วบังคับด้วงสีทองให้บินตรงไปข้างหน้า พลางใช้พลังเทพตามหาสัญญาณการเคลื่อนไหวรอบกายอยู่ไม่หยุด

การค้นหาของด้วงทำให้ตันโจวจื่อมั่นอกมั่นใจเพราะมันมีความแม่นยำสูง ทว่าหวังเป่าเล่อก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในสะเก็ดดาว ทำให้การค้นหาของด้วงทองคำต้องคว้าน้ำเหลว

เขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เพียงแค่ปล่อยตัวให้ล่องลอยไปพร้อมการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาว ด้วยวิธีนี้ หากสัมผัสสวรรค์ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นของตันโจวจื่อไม่ได้กวาดผ่านเขาในระยะประชิด ก็ย่อมไม่อาจหาตัวหวังเป่าเล่อพบอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น…เพราะแผนของชายหนุ่มนั้นทั้งรัดกุมและยอดเยี่ยม เขาจึงสามารถหลบเลี่ยงทั้งชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อได้ ทำให้คนทั้งสองตามรอยไม่พบไปอีกครั้งหนึ่ง จนต้องขยายรัศมีการตามหาออกไปอีก

ด้วยเหตุนี้โอกาสในการที่พวกเขาจะหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่อพบอย่างรวดเร็วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก และเมื่อหวังเป่าเล่อสามารถซ่อนตัวอยู่ได้ครบหลายเดือน โอกาสในการกลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัยก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าเงื่อนไขพื้นฐานของเรื่องทั้งหมดนี้คือการที่หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขากำลังต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเท่านั้น ส่วนชานหลิงจื่อ…ด้วยสถานะตอนนี้ เขาไม่อาจรับการโจมตีจากหวังเป่าเล่อได้แม้แต่ครั้งเดียว

หากชายหนุ่มรู้ว่าศัตรูมีพลังเพียงเท่านี้ ด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้ว คงมีโอกาสถึงร้อยละเก้าสิบที่หวังเป่าเล่อจะเข้าจู่โจมและสังหารพวกเขาเสีย เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในอนาคตให้หมดไปด้วย

ทว่า…แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าศัตรูนั้นฝีมือไม่ได้ต่างจากตนเอง จุดซ่อนตัวของเขาก็ยังถูกคนทั้งคู่หาพบหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

ไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อถูกพบตัว แต่เป็นเพราะว่า…เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บแหวกผนึกออกมาได้อีกครั้ง ทำให้มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังอยู่ในศีรษะของชายหนุ่มอีกรอบ แม้ว่าเสียงหัวเราะนั้นจะดังอยู่เพียงอึดใจเดียว แต่ก็ทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อถึงกับสะดุ้ง

เสียงหัวเราะในคราวนี้ไม่ได้พาเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาเช่นเก่า แต่หวังเป่าเล่อก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกังวลอันยากจะอธิบายที่ก่อตัวขึ้นในใจหลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกแปร่งของมนุษย์กระดาษตนนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะผนึกแหวนอีกครั้ง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน สัมผัสสวรรค์ของเขาก็แผ่ออกไปสำรวจจักรวาลเบื้องบนเช่นกัน

เมื่อหวังเป่าเล่อจ้องมองไปในจักวาล สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ไปจับอยู่ที่บริเวณหนึ่งซึ่งไกลออกไปในอวกาศที่จู่ๆ ก็พร่าเลือน ก่อนที่ด้วงสีทองขนาดยักษ์จะปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน!

ภายในด้วงสีทองคือชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อ ก่อนหน้านี้ทั้งสองค้นหาอยู่ร่วมครึ่งเดือนแต่ก็ไม่พบร่องรอยของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่ชานหลิงจื่อรู้สึกวิตก ชานหลิงจื่อก็รู้สึกว่าตนเองเสียชื่อ เพราะอย่างไรเสีย เขาก็สาบานเอาไว้อย่างจริงจังก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้รู้สึกกังวลและร้อนรน ชานหลิงจื่อก็พบคลื่นรบกวนจากแหวนของเขาอีกครั้ง

แล้วก็บังเอิญอีกว่า…ตำแหน่งของพวกเขาไม่ได้ห่างจากตำแหน่งของคลื่นรบกวนเท่าใดนัก ดังนั้นตันโจวจื่อจึงไม่รีรอที่จะปล่อยพลังปราณส่วนหนึ่งของเขาไปในด้วงสีทองและเปิดการใช้การเคลื่อนย้ายในจักรวาลออกมา!

การเคลื่อนย้ายเช่นนั้นจะใช้พลังปราณของเขาจนหมดรวมถึงพลังของด้วงสีทองด้วย แต่ขณะนี้ เขาไม่สนใจอีกต่อไป ดังนั้นตอนที่หวังเป่าเล่อรู้สึกตัวว่ากระดาษรูปมนุษย์กำลังทำตัวประหลาดอยู่นั้น ด้วงสีทองของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็มาปรากฏตัวพอดี!

ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้ที่มาถึงเป็นใครเมื่อมองเห็นด้วงสีทอง หวังเป่าเล่อรู้ทันทีว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่กายเนื้อได้ตายไปตั้งแต่คราวก่อนอยู่ภายในอย่างแน่นอน และชายผู้นั้นก็ตามเขาพบจากการแกะรอยแหวนคลังเก็บ

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรู้ทันทีว่าความระแวดระวังของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เพียงแค่ว่าการกระทำของกระดาษรูปมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้

เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตั้งใจอย่างนั้นหรือ! สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ เขารีบท่องบทสวดแห่งเต๋าขึ้นมาในใจตามสัญชาตญาณ!

การท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจกลายมาเป็นนิสัยของหวังเป่าเล่อก่อนจะเริ่มโจมตี ชายหนุ่มทำเช่นนี้เมื่อครั้งอยู่ที่ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และสุสานหลวง

อย่างไรเสีย พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ไม่ได้สำแดงตนออกมาทันที ในขณะเดียวกัน สำหรับศัตรูที่ไม่เคยเผชิญกับมันมาก่อนจะรู้สึกว่าวิญญาณสั่นไหว ทำให้หวังเป่าเล่อมีโอกาสได้จู่โจม…

แต่ครั้งนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อแอบท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในใจ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป ดูเหมือนว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บจะปล่อยคลื่นรบกวนบางอย่างออกมาหลังจากที่นิ่งสงบมาเป็นเวลานาน แต่คลื่นรบกวนที่ว่าก็อ่อนแรงเสียจนชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา

ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังไม่ประมาท เขาปล่อยดวงจิตเทพส่วนหนึ่งไปรวมตัวกันอยู่บนแหวนคลังเก็บ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็หรี่ตามองด้วงสีทองที่พุ่งเข้ามาหาเขาจากที่ไกลๆ เขามองเห็นเงาร่างรางๆ สองร่างเหาะออกมาจากด้วง หนึ่งในนั้นเขาเคยเห็นมาก่อน ร่างนั้นคือชานหลิงจื่อ ผู้ที่กายเนื้อถูกทำลายไปก่อนหน้านี้และเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะสร้างร่างขึ้นมาใหม่

แต่อาการบาดเจ็บของเขาก่อนหน้านี้รุนแรงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังเคยสัมผัสประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายของอารยธรรมครามทองคำต้องสูญเสียกายเนื้อของตนเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจผลพวงของการที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ต้องเสียร่างกายไป ทำให้ไม่แปลกใจที่เห็นว่าระดับปราณของชานหลิงจื่ออยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น

ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นมีสีหน้าหยิ่งยโส และไม่ได้ซ่อนคลื่นรบกวนระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด คลื่นรบกวนเหล่านั้นแพร่กระจายมุ่งตรงไปยังสะเก็ดดาว หากมองจากที่ไกลๆ ก็อาจมองเห็นคล้ายว่ามีดาวเคราะห์กำลังจะพุ่งเข้ามาชน

ฉากนี้ทำเอาหน้าของหวังเป่าเล่อกระตุก ภายในขอบเขตของดวงจิตเทพของชายหนุ่มนั้น เขามองเห็นเพียงด้วงสีทองเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น มีคนมุ่งตรงมาเพียงสองคน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็เพิ่งจะอยู่ในชั้นต้น เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อย

เจ้านี่กล้าไล่ตามข้าทั้งๆ ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าศัตรูอาจหลงคิดว่าเขายังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ พวกมันคงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้ในเวลาอันรวดเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ฝึกตนผู้ยอดเยี่ยมที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ด้วย!

หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าข้าจะซ่อนตัวหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน! ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มมีนิสัยแน่วแน่ดุดัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะสังหารเสี้ยมหนามให้จบสิ้นลงไปในวันนี้

ขณะที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้ เงาของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็มาถึงพอดี หากเทียบกันแล้ว ชานหลิงจื่อจะเคลื่อนที่ช้ากว่าตันโจวจื่ออยู่สักหน่อย แม้เขาจะจงใจทำเช่นนั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือความแตกต่างด้านระดับปราณ ทว่าตันโจวจื่อก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ทันแผนการของชานหลิงจื่อและยังสัมผัสได้ว่ามีวงแหวนปราณอยู่บนสะเก็ดดาว ในขณะเดียวกัน เขายังกวาดดวงจิตเทพไปสำรวจ และพบว่าหวังเป่าเล่อซุกซ่อนตัวอยู่ในสะเก็ดดาวนั้น และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไม่ใช่ขั้นเชื่อมวิญญาณอีกต่อไป

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ!

มันจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วอย่างไรกัน ต่อหน้าพลังปราณอันสมบูรณ์แบบ สรรพสิ่งล้วนต้องสลายเป็นผุยผง! ตันโจวจื่อสืบเท้าเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อเขายกมือขวาขึ้น พลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ก็ทะลักล้นออกมา ภาพมายารูปดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา แต่ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะได้สัมผัสพื้นผิวของสะเก็ดดาว จู่ๆ พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็พวยพุ่งลงมาพอดี

ในใจของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อต่างก็มีเสียงระเบิดดังสนั่น ยิ่งไปกว่านั้น พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายมาจากจุดที่ห่างไกลและลึกเข้าไปในจักรวาล ก่อนจะไหลท่วมสิ่งรอบข้างและลงมากดทับวิญญาณของพวกเขาทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ร่างกายของทั้งคู่สั่นเทิ้มและสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ในเวลาเดียวกันนั้น ประกายเย็นยะเยียบก็สะท้อนอยู่บนแววตาของหวังเป่าเล่อผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะเก็ดดาว ชายหนุ่มรีบสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองสะเก็ดดาวที่เขานั่งอยู่…ก็ระเบิดตัวเองขึ้นมาในบัดดล!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset