หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 953 ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์!

ท่ามกลางทะเลกระดาษสีดำแสนมืดมน มีปราณอาฆาตแผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ภาพที่มองเห็นรอบกายคล้ายว่าถูกไอบางอย่างปกคลุมอยู่ไม่รู้จบ ทว่าในก้นทะเลแห่งนี้ อาจมีเหตุมาจากวงแหวนปราณ หรือบางทีอาจเป็นเพราะศพของสตรีผู้นั้นเอง ที่ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

แต่อาจเป็นเพราะที่แห่งนี้แยกออกจากที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง ทำให้ปราณมืดบนตัวสตรีผู้นี้ยิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปอีก ภาพที่มันกำลังพันมัดและแทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง ถึงกับทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณเลยทีเดียว

เขาไม่รู้ว่าพลังปราณมืดนั่นคือสิ่งใด แต่ในวินาทีนี้ ทุกกระเบียดนิ้วในร่างกายและเลือดเนื้อของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนขั้นรุนแรงสูงสุดกับเขาว่า

อันตราย!!

หวังเป่าเล่อขวัญผวา มองดูศพของหญิงสาว มองดูพลังปราณ แล้วมองไปยัง…รอยแตกบนผนึกที่มีพลังปราณแผ่ซ่านออกมา!

“ที่นี่คือ…” เนิ่นนานจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงฝืนร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเอ่ยกับกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ

“ประตูใหญ่ที่สามารถทะลุผ่านไปยังดินแดนที่ไม่รู้จักได้!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา มันไม่ได้มองไปยังตราผนึก หากแต่มองไปยังศพของสตรีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาคะนึงถึงและอ่อนโยน

น้ำเสียงของมันในเวลานี้ กลับไม่ได้ฟังดูประหลาดดังเช่นก่อนมา

“ภารกิจที่จักรวรรดิดาวตกยังคงต้องทำอยู่ ก็คือกดผนึกประตูนี้เอาไว้ ข้าต้องการให้เจ้าเข้าไปใกล้อีกสักหน่อยเพื่อปลดปล่อยพลังอภินิหารที่นั้น อาศัยพลังเวทเต๋ากดผนึกปราณที่แพร่ออกมาจากข้างในประตู เพื่อให้ตราผนึกมีเวลาผสานรอยร้าว”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อหนักอึ้ง แม้ว่าตอนที่มานั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมาทำการใด แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก หลังจากนิ่งเงียบไปเขาก็มองไปทางกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโส มิใช่ว่าผู้เยาว์ไม่อยากช่วย เพียงแต่ข้ามีคำถามสามคำถามที่ต้องได้คำตอบเสียก่อน!”

“ว่ามา” กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้มองหวังเป่าเล่อ หากแต่ยังคงจดจ้องไปยังศพของสตรีผู้นั้น ด้วยนัยน์ตาที่ยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ

“คำถามแรก คล้ายว่าผู้อาวุโสจะรู้จักกับสตรีผู้นี้ เช่นนั้นที่แท้แล้วผู้อาวุโสมีฐานะใดกันแน่ และสหายที่สิ้นไปแล้วของท่านผู้นี้เป็นผู้ใด และเหตุใดนางจึงได้มาอยู่ที่นี่!” หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมา

สำหรับคำถามนี้ กระดาษรูปมนุษย์เงียบไปสักพัก ไม่ได้สนใจว่าในหนึ่งคำถามของ หวังเป่าเล่อจะมีกี่คำถามกันแน่ แต่กลับมีน้ำเสียงที่ฟังแล้วมีริ้วรอยของอายุขัยดังขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อ

“นางคือคนรักของข้า ส่วนข้านั้น…ไม้กลองน้อมดาราของเจ้า ได้มาจากดวงวิญญาณเทพส่วนหนึ่งของข้า ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือไม่?”

เมื่อเอ่ยออกไป จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็สะท้านขึ้นมาอย่างแรง เขาคิดถึงคำที่กระดาษรูปมนุษย์เคยพูดเอาไว้ว่า เพื่อขัดขวางไม่ให้ทะเลดำขยายตัวออกไป จักรพรรดิองค์หนึ่งของจักรวรรดิดาวตกจึงใช้เวทสะท้านฟ้าเปลี่ยนร่างกายของตนเป็นกลองสู่สวรรค์ จากนั้นก็แบ่งวิญญาณเทพของตนออกเป็นสิบส่วน กลายเป็นไม้กลองน้อมดารา

ดังนี้เอง ต่อมาในแต่ละยุคสมัย จึงมีเรื่องที่เหล่ามหาเทพแห่งเต๋าจากต่างดินแดนเดินทางมาค้นหาวาสนาแห่งโชคที่นี่

“วิญญาณเทพของข้า หาได้ถูกแบ่งออกเป็นสิบส่วน แต่เป็นสิบเอ็ดส่วน ส่วนเหตุใดส่วนที่เกินออกมาหนึ่งส่วนจึงได้ไปปรากฏอยู่ที่โลกภายนอกนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ได้ เพราะข้าจำได้ว่าที่ที่ข้าไปเป็นที่สุดท้ายในตอนนั้น ก็คือดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ตราผนึกนี่” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา ในสีหน้ามีความเคว้งคว้างและความรู้สึกอีกมากมายที่แฝงอยู่

“แต่ข้าสูญเสียความทรงจำหลังจากเข้าไปในนั้นไปแล้ว เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็อยู่ทโบราณสถานแห่งหนึ่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ส่วนคนรักของข้า นางมิใช่คนของจักรวรรดิดาวตกและจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นางจึงมาที่…ดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ผนึกนี้ด้วยตนเอง” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ แม้ในเนื้อหาที่เล่ามาจะมีหลายประเด็นที่ฟังดูขัดแย้งกัน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่า กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่เคยพูดเรื่องทั้งหมดออกมาเท่านั้น

แม้เขายังอยากจะถามให้ละเอียด แต่ก็รู้ดีว่าหากกระดาษรูปมนุษย์ไม่ต้องการเอ่ยถึง แล้วตนเองยังจะถามต่อไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ดี ครั้นแล้วหลังจากเงียบไปสักพัก เขาจึงถามคำถามที่สอง

“คำถามที่สอง ประตูข้างใต้ผนึกนี้…เหตุใดจำต้องปิดผนึกเอาไว้?”

คำถามนี้ดูเผินๆ คล้ายไม่ค่อยจำเป็นเท่าใด แต่ความจริงแล้ว หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิธีถามใหม่ เพราะไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ยากจะไม่เอ่ยถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก

กระดาษรูปมนุษย์ยิ่งนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยปากออกมาช้าๆ

“เจ้าจะต้องรู้ให้จงได้รึ? รู้เรื่องเหล่านี้แล้วก็มิได้มีประโยชน์อันใดต่อเจ้า กลับกันเมื่อเจ้าได้รู้ ก็จะต้องถูกจับตา…ฉะนั้น เจ้าแน่ใจรึ”

หวังเป่าเล่อฟังถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดขนทั่วตัวถึงได้ลุกชันขึ้นมาในพริบตาอย่างน่าประหลาด หลังจากนิ่งไปนาน เขาก็ขบกรามแน่น

“เมื่อใดที่ผู้เยาว์ท่องคาถา ก็ต้องเป็นที่ถูกจับตาอยู่แล้ว มีค่าเท่ากัน มิสู้รู้เสียเลยในยามนี้ ขอผู้อาวุโสโปรดบอกให้ทราบด้วยขอรับ”

“ผู้สอดส่อง!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยคำอย่างสงบ

ก่อนที่กระดาษรูปคนจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เคยคาดเดามาก่อน แต่ไม่ว่าเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่มีทางคิดได้ว่าคำตอบคือ… ผู้สอดส่อง!

เมื่อได้ยินคำคำนี้ ดวงตาเขาพลันเวิ้งว้าง คิดจะซักไซ้อีก แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับหลับตาลง ฉะนั้น ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีความคิดอีกนับไม่ถ้วนอยู่ในหัว แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปากอีกหน

“คำถามที่สาม… ผู้อาวุโสจะรับประกันความปลอดภัยของผู้เยาว์ได้หรือไม่ขอรับ?”

“ข้าจะพยายาม” กระดาษรูปมนุษย์มองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้คำของเขาจะไม่ซับซ้อน ทว่าเมื่อสบตากันแล้ว หวังเป่าเล่อก็มีความรู้สึกหนึ่งว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะหักหลังเขา และจะรับประกันความปลอดภัยให้เขาอย่างเต็มความสามารถจริงๆ ดังว่า

ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่เงียบๆ แววตาของหวังเป่าเล่อก็แน่วแน่ขึ้นมา เขาขบกรามแน่น ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หนทางที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เหลือเพียงทางนี้ทางเดียว

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เช่นนั้นก็ต้องเดินต่อไปแล้ว!

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น พลังทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชนขึ้น ชายหนุ่มวับร่างเข้าไปใกล้ในบัดดล แม้ไม่ได้เข้าไปยังใจกลาง หากแต่นั่งลงบนเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จุดศูนย์กลางเท่านั้น ทว่าภาวะอันตรายที่เขาสัมผัสได้จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่นี้ก็รุนแรงอย่างยิ่งยวดแล้ว

ดีที่กระดาษรูปมนุษย์ก็ตามมาด้วย พอเขาสะบัดมือ แสงนวลอ่อนก็เปล่งออกมาปกคลุมตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ จึงทำให้ร่างที่สั่นเทิ้มของเขาสงบลงได้บ้าง

“เริ่มกันเถิด” กระดาษรูปมนุษย์กระซิบ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อจะเคยท่องบทสวดเต๋ามาหลายครั้งแล้ว แต่ครานี้ไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าการสวดเพื่อสยบศัตรูนั้น อย่างมากเขาสวดไปแค่ไม่กี่คำแรกก็เพียงพอแล้ว แต่ครั้งนี้…เขาต้องทุ่มกำลังทั้งหมดในการสวด ถ้าเปรียบไปแล้วก่อนนี้ก็เป็นเพียงการกระซิบเบาๆ ไม่กี่คำข้างหูคนที่กำลังหลับใหลเท่านั้น แต่ครั้งนี้แทบจะเรียกว่าไปตะโกนสุดเสียงที่ข้างหูคนกำลังหลับสนิท ทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น หากแต่ต้องตะโกนอยู่อย่างนั้นไม่หยุดหย่อน

“สาหัส…” หวังเป่าเล่อถอนใจยาว แต่เขาก็เป็นคนเด็ดเดี่ยว เมื่อชั่งน้ำหนักอยู่ในใจแล้ว เขาก็ขบกรามแน่นๆ หลับตาลงขณะนั่งขัดสมาธิ เอนหลังไปเล็กน้อย แล้วเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด ดวงตาเปี่ยมด้วยความลึกล้ำหนักแน่น เริ่มท่องบทสวดอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ!

“ตื่นเถิด…”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทะเลกระดาษสีดำรอบกายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อยนิด ตราผนึกยังเป็นปกติ ศพของสตรีก็ยังเป็นดังเดิม มีเพียงกระดาษรูปมนุษย์ที่หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อทั้งความหม่นหมองอันหนักอึ้งในดวงตา กระทั่งตรงหน้าอกของมันยังขยับพองยุบขึ้นลง เพราะมันสัมผัสได้ว่า…ความคิดอ่านทั้งหมดภายในหัวของหวังเป่าเล่อในเวลานี้ คล้ายถูกปิดกั้นเอาไว้ จนตนเองไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้แม้แต่น้อย

เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดี ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวดแห่งเต๋า เขาก็ล้วนสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ ความคาดหวังในหัวใจจึงพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ทว่าในชั่ววินาทีที่เขากำลังเฝ้าคอยด้วยใจจดจ่อ ทันใดนั้นเอง…พลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากบนพื้นที่ถูกผนึกเอาไว้ข้างใต้ท้องทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้!

โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังปราณเก่าแก่ที่มาจากนอกจักรวรรดิดาวตกหรือนอกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หรือต่อให้เป็นพลังปราณเก่าแก่มีที่อยู่ท่ามกลางอวกาศ ก็สามารถทะลุผ่านเวลาและมิติจนมาถึงที่แห่งนี้ภายในพริบตา ต่อให้มาถึงที่นี่เพียงน้อยนิด หรือพูดได้ว่าเกิดการเชื่อมโยงกับบริเวณที่มีพลังปราณเก่าแก่อยู่ผ่านทางรอยร้าวนั้นก็ตาม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นพลังที่มหาศาลเป็นที่สุด

ท่ามกลางเสียงดังเลื่อนลั่น ทั่วทั้งทะเลกระดาษสีดำพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา บังเกิดเป็นเกลียวคลื่นมากมายถาโถม และสิ่งที่รุนแรงเสียยิ่งกว่ากลับมาจาก… ปราณมืดที่แผ่ขยายออกมาจากรอยร้าวและพันม้วนอยู่รอบร่างของสตรีผู้นั้น!

เวลานี้ คล้ายว่าปราณมืดถูกกระตุ้นจากบางสิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันม้วนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นเกลียววนสีดำขนาดมหึมา เข้ามาปกคลุมตราผนึกบนหน้ากระจกภายในชั่วพริบตา หากมันเป็นมนุษย์ และหากปราณมืดในช่วงเวลานี้มีสีหน้าอารมณ์ มันก็จะต้องกำลังสับสนตื่นตระหนกอยู่เป็นแน่!

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้กระดาษมนุษย์คนเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อยิ่งเข้าไปอีก และในเวลานี้หวังเป่าเล่อก็กำลังท่องบทสวดแห่งเต๋าในประโยคต่อไป!

“…ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”

…………………………………………………………

ท่ามกลางทะเลกระดาษสีดำแสนมืดมน มีปราณอาฆาตแผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ภาพที่มองเห็นรอบกายคล้ายว่าถูกไอบางอย่างปกคลุมอยู่ไม่รู้จบ ทว่าในก้นทะเลแห่งนี้ อาจมีเหตุมาจากวงแหวนปราณ หรือบางทีอาจเป็นเพราะศพของสตรีผู้นั้นเอง ที่ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

แต่อาจเป็นเพราะที่แห่งนี้แยกออกจากที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง ทำให้ปราณมืดบนตัวสตรีผู้นี้ยิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปอีก ภาพที่มันกำลังพันมัดและแทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง ถึงกับทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณเลยทีเดียว

เขาไม่รู้ว่าพลังปราณมืดนั่นคือสิ่งใด แต่ในวินาทีนี้ ทุกกระเบียดนิ้วในร่างกายและเลือดเนื้อของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนขั้นรุนแรงสูงสุดกับเขาว่า

อันตราย!!

หวังเป่าเล่อขวัญผวา มองดูศพของหญิงสาว มองดูพลังปราณ แล้วมองไปยัง…รอยแตกบนผนึกที่มีพลังปราณแผ่ซ่านออกมา!

“ที่นี่คือ…” เนิ่นนานจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงฝืนร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเอ่ยกับกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ

“ประตูใหญ่ที่สามารถทะลุผ่านไปยังดินแดนที่ไม่รู้จักได้!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา มันไม่ได้มองไปยังตราผนึก หากแต่มองไปยังศพของสตรีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาคะนึงถึงและอ่อนโยน

น้ำเสียงของมันในเวลานี้ กลับไม่ได้ฟังดูประหลาดดังเช่นก่อนมา

“ภารกิจที่จักรวรรดิดาวตกยังคงต้องทำอยู่ ก็คือกดผนึกประตูนี้เอาไว้ ข้าต้องการให้เจ้าเข้าไปใกล้อีกสักหน่อยเพื่อปลดปล่อยพลังอภินิหารที่นั้น อาศัยพลังเวทเต๋ากดผนึกปราณที่แพร่ออกมาจากข้างในประตู เพื่อให้ตราผนึกมีเวลาผสานรอยร้าว”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อหนักอึ้ง แม้ว่าตอนที่มานั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมาทำการใด แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก หลังจากนิ่งเงียบไปเขาก็มองไปทางกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโส มิใช่ว่าผู้เยาว์ไม่อยากช่วย เพียงแต่ข้ามีคำถามสามคำถามที่ต้องได้คำตอบเสียก่อน!”

“ว่ามา” กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้มองหวังเป่าเล่อ หากแต่ยังคงจดจ้องไปยังศพของสตรีผู้นั้น ด้วยนัยน์ตาที่ยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ

“คำถามแรก คล้ายว่าผู้อาวุโสจะรู้จักกับสตรีผู้นี้ เช่นนั้นที่แท้แล้วผู้อาวุโสมีฐานะใดกันแน่ และสหายที่สิ้นไปแล้วของท่านผู้นี้เป็นผู้ใด และเหตุใดนางจึงได้มาอยู่ที่นี่!” หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมา

สำหรับคำถามนี้ กระดาษรูปมนุษย์เงียบไปสักพัก ไม่ได้สนใจว่าในหนึ่งคำถามของ หวังเป่าเล่อจะมีกี่คำถามกันแน่ แต่กลับมีน้ำเสียงที่ฟังแล้วมีริ้วรอยของอายุขัยดังขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อ

“นางคือคนรักของข้า ส่วนข้านั้น…ไม้กลองน้อมดาราของเจ้า ได้มาจากดวงวิญญาณเทพส่วนหนึ่งของข้า ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือไม่?”

เมื่อเอ่ยออกไป จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็สะท้านขึ้นมาอย่างแรง เขาคิดถึงคำที่กระดาษรูปมนุษย์เคยพูดเอาไว้ว่า เพื่อขัดขวางไม่ให้ทะเลดำขยายตัวออกไป จักรพรรดิองค์หนึ่งของจักรวรรดิดาวตกจึงใช้เวทสะท้านฟ้าเปลี่ยนร่างกายของตนเป็นกลองสู่สวรรค์ จากนั้นก็แบ่งวิญญาณเทพของตนออกเป็นสิบส่วน กลายเป็นไม้กลองน้อมดารา

ดังนี้เอง ต่อมาในแต่ละยุคสมัย จึงมีเรื่องที่เหล่ามหาเทพแห่งเต๋าจากต่างดินแดนเดินทางมาค้นหาวาสนาแห่งโชคที่นี่

“วิญญาณเทพของข้า หาได้ถูกแบ่งออกเป็นสิบส่วน แต่เป็นสิบเอ็ดส่วน ส่วนเหตุใดส่วนที่เกินออกมาหนึ่งส่วนจึงได้ไปปรากฏอยู่ที่โลกภายนอกนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ได้ เพราะข้าจำได้ว่าที่ที่ข้าไปเป็นที่สุดท้ายในตอนนั้น ก็คือดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ตราผนึกนี่” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา ในสีหน้ามีความเคว้งคว้างและความรู้สึกอีกมากมายที่แฝงอยู่

“แต่ข้าสูญเสียความทรงจำหลังจากเข้าไปในนั้นไปแล้ว เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็อยู่ทโบราณสถานแห่งหนึ่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ส่วนคนรักของข้า นางมิใช่คนของจักรวรรดิดาวตกและจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นางจึงมาที่…ดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ผนึกนี้ด้วยตนเอง” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ แม้ในเนื้อหาที่เล่ามาจะมีหลายประเด็นที่ฟังดูขัดแย้งกัน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่า กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่เคยพูดเรื่องทั้งหมดออกมาเท่านั้น

แม้เขายังอยากจะถามให้ละเอียด แต่ก็รู้ดีว่าหากกระดาษรูปมนุษย์ไม่ต้องการเอ่ยถึง แล้วตนเองยังจะถามต่อไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ดี ครั้นแล้วหลังจากเงียบไปสักพัก เขาจึงถามคำถามที่สอง

“คำถามที่สอง ประตูข้างใต้ผนึกนี้…เหตุใดจำต้องปิดผนึกเอาไว้?”

คำถามนี้ดูเผินๆ คล้ายไม่ค่อยจำเป็นเท่าใด แต่ความจริงแล้ว หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิธีถามใหม่ เพราะไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ยากจะไม่เอ่ยถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก

กระดาษรูปมนุษย์ยิ่งนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยปากออกมาช้าๆ

“เจ้าจะต้องรู้ให้จงได้รึ? รู้เรื่องเหล่านี้แล้วก็มิได้มีประโยชน์อันใดต่อเจ้า กลับกันเมื่อเจ้าได้รู้ ก็จะต้องถูกจับตา…ฉะนั้น เจ้าแน่ใจรึ”

หวังเป่าเล่อฟังถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดขนทั่วตัวถึงได้ลุกชันขึ้นมาในพริบตาอย่างน่าประหลาด หลังจากนิ่งไปนาน เขาก็ขบกรามแน่น

“เมื่อใดที่ผู้เยาว์ท่องคาถา ก็ต้องเป็นที่ถูกจับตาอยู่แล้ว มีค่าเท่ากัน มิสู้รู้เสียเลยในยามนี้ ขอผู้อาวุโสโปรดบอกให้ทราบด้วยขอรับ”

“ผู้สอดส่อง!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยคำอย่างสงบ

ก่อนที่กระดาษรูปคนจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เคยคาดเดามาก่อน แต่ไม่ว่าเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่มีทางคิดได้ว่าคำตอบคือ… ผู้สอดส่อง!

เมื่อได้ยินคำคำนี้ ดวงตาเขาพลันเวิ้งว้าง คิดจะซักไซ้อีก แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับหลับตาลง ฉะนั้น ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีความคิดอีกนับไม่ถ้วนอยู่ในหัว แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปากอีกหน

“คำถามที่สาม… ผู้อาวุโสจะรับประกันความปลอดภัยของผู้เยาว์ได้หรือไม่ขอรับ?”

“ข้าจะพยายาม” กระดาษรูปมนุษย์มองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้คำของเขาจะไม่ซับซ้อน ทว่าเมื่อสบตากันแล้ว หวังเป่าเล่อก็มีความรู้สึกหนึ่งว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะหักหลังเขา และจะรับประกันความปลอดภัยให้เขาอย่างเต็มความสามารถจริงๆ ดังว่า

ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่เงียบๆ แววตาของหวังเป่าเล่อก็แน่วแน่ขึ้นมา เขาขบกรามแน่น ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หนทางที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เหลือเพียงทางนี้ทางเดียว

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เช่นนั้นก็ต้องเดินต่อไปแล้ว!

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น พลังทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชนขึ้น ชายหนุ่มวับร่างเข้าไปใกล้ในบัดดล แม้ไม่ได้เข้าไปยังใจกลาง หากแต่นั่งลงบนเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จุดศูนย์กลางเท่านั้น ทว่าภาวะอันตรายที่เขาสัมผัสได้จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่นี้ก็รุนแรงอย่างยิ่งยวดแล้ว

ดีที่กระดาษรูปมนุษย์ก็ตามมาด้วย พอเขาสะบัดมือ แสงนวลอ่อนก็เปล่งออกมาปกคลุมตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ จึงทำให้ร่างที่สั่นเทิ้มของเขาสงบลงได้บ้าง

“เริ่มกันเถิด” กระดาษรูปมนุษย์กระซิบ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อจะเคยท่องบทสวดเต๋ามาหลายครั้งแล้ว แต่ครานี้ไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าการสวดเพื่อสยบศัตรูนั้น อย่างมากเขาสวดไปแค่ไม่กี่คำแรกก็เพียงพอแล้ว แต่ครั้งนี้…เขาต้องทุ่มกำลังทั้งหมดในการสวด ถ้าเปรียบไปแล้วก่อนนี้ก็เป็นเพียงการกระซิบเบาๆ ไม่กี่คำข้างหูคนที่กำลังหลับใหลเท่านั้น แต่ครั้งนี้แทบจะเรียกว่าไปตะโกนสุดเสียงที่ข้างหูคนกำลังหลับสนิท ทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น หากแต่ต้องตะโกนอยู่อย่างนั้นไม่หยุดหย่อน

“สาหัส…” หวังเป่าเล่อถอนใจยาว แต่เขาก็เป็นคนเด็ดเดี่ยว เมื่อชั่งน้ำหนักอยู่ในใจแล้ว เขาก็ขบกรามแน่นๆ หลับตาลงขณะนั่งขัดสมาธิ เอนหลังไปเล็กน้อย แล้วเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด ดวงตาเปี่ยมด้วยความลึกล้ำหนักแน่น เริ่มท่องบทสวดอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ!

“ตื่นเถิด…”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทะเลกระดาษสีดำรอบกายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อยนิด ตราผนึกยังเป็นปกติ ศพของสตรีก็ยังเป็นดังเดิม มีเพียงกระดาษรูปมนุษย์ที่หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อทั้งความหม่นหมองอันหนักอึ้งในดวงตา กระทั่งตรงหน้าอกของมันยังขยับพองยุบขึ้นลง เพราะมันสัมผัสได้ว่า…ความคิดอ่านทั้งหมดภายในหัวของหวังเป่าเล่อในเวลานี้ คล้ายถูกปิดกั้นเอาไว้ จนตนเองไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้แม้แต่น้อย

เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดี ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวดแห่งเต๋า เขาก็ล้วนสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ ความคาดหวังในหัวใจจึงพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ทว่าในชั่ววินาทีที่เขากำลังเฝ้าคอยด้วยใจจดจ่อ ทันใดนั้นเอง…พลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากบนพื้นที่ถูกผนึกเอาไว้ข้างใต้ท้องทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้!

โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังปราณเก่าแก่ที่มาจากนอกจักรวรรดิดาวตกหรือนอกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หรือต่อให้เป็นพลังปราณเก่าแก่มีที่อยู่ท่ามกลางอวกาศ ก็สามารถทะลุผ่านเวลาและมิติจนมาถึงที่แห่งนี้ภายในพริบตา ต่อให้มาถึงที่นี่เพียงน้อยนิด หรือพูดได้ว่าเกิดการเชื่อมโยงกับบริเวณที่มีพลังปราณเก่าแก่อยู่ผ่านทางรอยร้าวนั้นก็ตาม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นพลังที่มหาศาลเป็นที่สุด

ท่ามกลางเสียงดังเลื่อนลั่น ทั่วทั้งทะเลกระดาษสีดำพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา บังเกิดเป็นเกลียวคลื่นมากมายถาโถม และสิ่งที่รุนแรงเสียยิ่งกว่ากลับมาจาก… ปราณมืดที่แผ่ขยายออกมาจากรอยร้าวและพันม้วนอยู่รอบร่างของสตรีผู้นั้น!

เวลานี้ คล้ายว่าปราณมืดถูกกระตุ้นจากบางสิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันม้วนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นเกลียววนสีดำขนาดมหึมา เข้ามาปกคลุมตราผนึกบนหน้ากระจกภายในชั่วพริบตา หากมันเป็นมนุษย์ และหากปราณมืดในช่วงเวลานี้มีสีหน้าอารมณ์ มันก็จะต้องกำลังสับสนตื่นตระหนกอยู่เป็นแน่!

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้กระดาษมนุษย์คนเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อยิ่งเข้าไปอีก และในเวลานี้หวังเป่าเล่อก็กำลังท่องบทสวดแห่งเต๋าในประโยคต่อไป!

“…ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”

…………………………………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset