หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 956 กฎแห่งดาวเคราะห์เต๋า!

ชะรอยว่าคำพูดนี้จะมีประโยชน์จริงๆ เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวจบ วังน้ำวนนั้นก็หายไป ดวงตาที่จับจ้องจากด้านในก็พลันหายไปพร้อมกัน หวังเป่าเล่อจึงค่อยคลายใจลงในที่่สุด เขาตัดสินใจหนักแน่นว่าภายหลังหากยังไม่สิ้นไร้หนทาง เขาจะไม่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอีกแล้ว

“ของเล่นชิ้นนี้น่ากลัวไปแล้ว…มันเป็นคัมภีร์ลัทธิเต๋าเสียที่ไหน เห็นชัดว่ามีไว้อัญเชิญตัวอันตรายทั้งนั้น“ ”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าทะเลกระดาษสีดำให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป ก่อนหน้านี้ทะเลกระดาษสีดำให้ความรู้สึกเย็นเยียบ แต่บัดนี้ความเย็นเยียบที่ว่ากลับค่อยๆ จางไปโดยหาสาเหตุไม่ได้ ราวกับว่าในเวลาอันสั้น แม้แต่สีของทะเลกระดาษสีดำเองก็เปลี่ยนไปด้วย

และในจังหวะนี้เอง สีของทะเลกระดาษเบื้องหน้านี้ก็ไม่เหมือนกับครู่ก่อนแล้ว พื้นผิวน้ำนั้นก็ไม่เป็นสีดำสนิทอีกต่อไป ทว่าเจือด้วยสีเทา ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความมีชีวิตชีวา ยิ่งนานก็ยิ่งเห็นชัดแจ้ง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่ออุ่นขึ้นกระทั่งเขาเกือบเข้าใจผิดไปเอง คล้ายกับว่า…ทะเลกระดาษดำผืนนี้กำลังแผ่ความปราณีให้ตัวเขา

“นี่ไม่น่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยังไงเสีย ข้าก็ช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ” หวังเป่าเล่อกระพริบตา ตอนที่อยากลองสัมผัสดูให้ชัด ร่างกระดาษรูปมนุษย์ข้างกายพลันสะท้าน เขาเริ่มได้สติกลับมา ผู้ที่ค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกคนหนึ่งก็คือกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งมีขีดแดงอยู่ที่หว่างคิ้วและยืนอยู่ห่างไกลตนนั้น ในเวลานี้ เหล่าสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนผืนทะเลนี้ และทุกชีวิตในจักรวรรดิดาวตกก็พลันเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง

เสียงแห่งความโกลาหลและแตกตื่นนั้นดังขึ้นมาจากทุกมุมในแดนนี้ หวังเป่าเล่อปฏิกิริยาว่องไว เขารีบกัดปลายลิ้นเพื่อให้มีเลือดออกทันที ยังคงรักษาสีหน้าซีดขาวหลังผ่านเรื่องน่าตกใจก่อนหน้า เผยท่าทางอ่อนแรงเต็มขั้น แล้วหันไปยังกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ได้พยายามสุดกำลังแล้ว ”

กระดาษรูปมนุษย์ตัวสั่น จากนั้นพลันมองไปยังผนึกด้านล่าง สังเกตเห็นรอยร้าวบนผนึกนั้นสลายไปแล้วอีกทั้ง ปราณมืดรอบๆ นั้นเองก็ด้วย ดวงตาของเขาทอประกายตื่นเต้น เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้ที่สติของเขาหยุดทำงาน ทำให้ตามในสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ทัน ในยามนี้เรื่องราวจบลงได้อย่างเกินความคาดเดาของเขาไปมาก จนบังเกิดความตื่นเต้นและไม่ทันได้อ่านใจของหวังเป่าเล่อ

เรื่องนี้สำหรับกระดาษรูปมนุษย์แล้ว เรื่องในครั้งนี้นับว่าหวังเป่าเล่อทุ่มเทเสียสละอย่างใหญ่หลวง แถมยังสร้างผลลัพธ์ขั้นสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหวังเป่าเล่อยังดึงพลังระดับนี้มาได้ด้วยการอ่านบทสวดเพียงอย่างเดียว กระดาษรูปมนุษย์ปรับการคาดเดาภูมิหลังของหวังเป่าเล่อใหม่ขึ้นไปอีกหลายระดับ เรียกได้ว่าเกือบจะถึงขั้นสูงสุดแล้ว

ดังนั้นแล้วพอเห็นหวังเป่าเล่อกระอักเลือด เขาก็รีบประสานมือโค้งลงคำนับหนึ่งครา ดวงตาซาบซึ้ง ขณะกำลังเอ่ยปาก เขาพลันหันหน้ามาเห็นคนผู้หนึ่งเข้าใกล้สถานที่นี้มาด้วยความรวดเร็ว…ผู้นั้นคือกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว

หวังเป่าเล่อเองก็จับการเคลื่อนไหวนี้ได้ ชั่วแวบแรกนั้นหัวใจเขาเต้นระส่ำ แต่ก็กลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นถึงผู้ปัดเป่าปัญหาใหญ่ของจักรวรรดิดาวตกเชียว ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงนั่งอย่างสงบ วางท่านิ่งเฉย ตั้งตารอกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วตนนั้น

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วมีสีหน้าซาบซึ้ง หลังมันตื่นขึ้นก็ทราบทันทีว่าทะเลกระดาษสีดำไม่เหมือนแต่ก่อน ด้วยความตกตะลึงจึงตัดสินใจมายังที่นี่ มันเคลื่อนสายตามองหวังเป่าเล่อและเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตน

รายแรกมันพอจำได้อยู่บ้างว่าเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าจากนอกพิภพคนนั้น คนเดียวกันกับที่หยิบยืมกระแสอัสนีต่างพิภพมาดันลำเรือข้ามทะเล การปรากฎตัวของหวังเป่าเล่อจุดความสงสัยในใจของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว แต่ในชั่วแว่บถัดไปนั้น เมื่อเขามองเห็นกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายเข้า ร่างของเขาก็พลันสะท้านทันที ดวงตากลับเบิกกว้างกว่าเก่า หลังพิจารณาละเอียดสักครึ่งครู่ สีหน้าของเขาผสมระหว่างความลังเลและไม่อยากเชื่อ

“ท่านบรรพบุรุษ? ”

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วน้ำเสียงสั่นเครือ ส่วนกระดาษรูปมนุษย์ข้างตัวหวังเป่าเล่อกลับเผยแววตาระลึกถึงบางสิ่ง จากนั้นกระดาษรูปมนุษย์ทั้งสองต่างก็ประสานสายตากันครู่หนึ่ง ราวกับพวกเขาสื่อสารกันด้วยวิธีที่หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจ หวังเป่าเล่อได้แต่สังเกตการสนทนาเหล่านั้น จากนั้นร่างของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็สั่นสะท้าน มันแสดงท่าทีราวกับเข้าใจเรื่องราว แล้วทำท่าตรึกตรองอีกครู่ คราวนี้มันหันไปมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ แล้วประสานฝ่ามือน้อมคำนับหนึ่งครา

“ขอบคุณสหายเต๋า! บุญคุณครานี้จักรวรรดิดาวตกจะไม่มีวันลืม ต้องตอบแทนท่านให้มากในภายหลัง! ”

และนี่ก็คือประโยคที่หวังเป่าเล่อปรารถนา เขาพอใจอย่างยิ่งที่ได้ยินสิ่งนี้ ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณสูงล้ำของอีกฝ่าย ตนเองจึงไม่อาจวางท่าสูงส่งเพียงเพราะมีบุญคุณเหนือกว่าได้ คิดแล้วจึงประสานหมัดคารวะกลับให้อีกฝ่าย

หลังจากนั้น ภายใต้การชี้นำอย่างสุภาพของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว พวกเขาก็ออกจากที่ผนึกกลับสู่พื้นผิวทะเล ส่วนท่านบรรพบุรุษกระดาษรูปมนุษย์ผู้นั้น กลับยังรั้งอยู่ที่เก่า หลังใช้สายตาส่งพวกหวังเป่าเล่อจากไป ตัวเขาก็ก้มหน้ามองศพของสตรีที่อยู่บนแผ่นกระจกผนึกด้วยสายตาที่อ่อนโยน เขาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ ทรุดนั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง

ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ กระดาษรูปมนุษย์ทั้งสองตนไม่ได้พูดอะไรกันอีก เห็นได้ชัดว่าในการสนทนาครั้งก่อนคงฝากฝังได้ละเอียดแล้ว ภายใต้การนำทางของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว หวังเป่าเล่อหันกลับมามองทางนี้อีกครั้งก่อนจะเร่งจังหวะตามอีกฝ่ายเหาะออกจากทะเลกระดาษสีดำไป

หลังออกพ้นทะเลแล้ว เขาก็ได้เห็นกระดาษรูปมนุษย์ผู้แข็งแกร่งด้านนอกจำนวนมาก เหมือนว่าพวกเขาทราบถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อ แต่ละตนล้วนดูซาบซึ้งนัก ทุกตนล้วนค้อมกายคำนับเขา

มิตรภาพจากเหล่ากระดาษรูปมนุษย์นี้ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการลงมือครั้งนี้ช่างแสนจะคุ้มค่า ภายหลังเหาะพ้นจากทะเลแล้ว เขาพลันสัมผัสได้ถึงขุมพลังแห่งความอาทรที่แผ่ออกจากโลกทั้งใบอีกด้วย กระแสแห่งความปรารถนาดีนี้รับรู้ได้ต่อเมื่อใช้ใจไปสัมผัสเท่านั้น ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย หากนำไปเปรียบกับความรู้สึกอันเป็นปฏิปักษ์ที่เขาสัมผัสได้จางๆ ก่อนหน้า มันช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

ภายหลังที่กระดาษรูปมนุษย์คุ้มครองส่งเขากลับมาถึงนครดาวตกแล้ว ที่พักของหวังเป่าเล่อก็ถูกปรับเปลี่ยน เขาไม่ต้องอยู่ร่วมที่พักเดียวกับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ อีก แต่ถูกจัดให้เข้าพักภายในราชวังดาวตกโดยตรง บรรยากาศดูหรูหราพร้อมพรัก เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังจัดให้เขาพักผ่อน ณ ตำหนักในที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

นอกจากนี้แล้วขอเพียงเขาส่งเสียงเรียก ก็จะมีใต้เท้ากระดาษรูปมนุษย์จำนวนหลายสิบตนโผล่ออกมาสนองความต้องการของเขาในทันที ในส่วนของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วตนนั้น ก็แวะมาเยี่ยมเยียนในภายหลังเช่นกัน

แม้ระดับการฝึกปรือของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วจะสูงล้ำ แต่เขากลับมีมารยาทงามยิ่ง เห็นชัดว่าเขาทราบเรื่องภูมิหลังอันเร้นลับของหวังเป่าเล่อจากผู้อาวุโสทางด้านนั้นแล้ว ดังนั้นในระหว่างการสนทนา เขาจึงใช้คำพูดกับคนระดับเดียวกัน นี่ทำให้หวังเป่าเล่อแสนจะสบายใจ ยอมตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่ตนรู้จักกับกระดาษรูปมนุษย์อาวุโสได้อย่างไร

“ดังนั้นที่ข้าสามารถมายังที่นี่ได้ ก็เพราะผู้อาวุโสเมตตาทะนุถนอม อีกทั้งการได้รู้จักกับท่านผู้อาวุโส ก็นับว่าเป็นโชคชะตานำพา…” หวังเป่าเล่อถอนใจคราหนึ่ง หลังจากอธิบายคร่าวๆ ถึงการพบกันของเขาและกระดาษรูปมนุษย์ แม้จะตัดทอนไม่ได้กล่าวถึงไปบางส่วน เช่นเรื่องของขวดอธิษฐาน แต่เขาก็บอกรายละเอียดส่วนอื่นตามตรงทั้งหมด

เมื่อได้ฟังเรื่องจนจบ มนุษย์กระดาษผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาคุยกับหวังเป่าเล่อต่อเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นประสานมือคำนับ

“ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของสหายเต๋าแล้ว พิธีน้อมนำแสงดาราเพื่อบ่มเพาะโชควาสนาจะเริ่มขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง ถึงเวลานั้นย่อมเป็นวันทำพิธีของจักรวรรดิดาวตกของพวกข้า เมื่อถึงเวลาพิธียังขอเชิญสหายเต๋าเข้าร่วมพิธี…” กล่าวถึงจุดนี้ กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง เขายกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นก็ปรากฎกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

“ในจังหวะที่สหายเต๋าตีกลอง ให้ท่านใช้เพลิงชีวิตจุดกระดาษแผ่นนี้ แล้วท่านจะได้รับโชคเสริมจากจักรวรรดิดาวตกของข้า…จักรวรรดิดาวตกของข้า แม้นจะมีดาวเคราะห์พิเศษเพียงน้อย ดาวเคราะห์ธรรมดาเกลื่อนกลาด แต่เมื่อจุดกระดาษแผ่นนี้แล้วก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยท่านดึงมาได้มาสักดวงเป็นแน่ และหากโชควาสนาของท่านมีมากพอ…บางทีอาจทดสอบน้อมนำ…ดาวเคราะห์เต๋าหนึ่งเดียวของที่นี่สำเร็จก็เป็นได้! ”

“เพียงแต่ว่าเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ไม่เคยมีใครน้อมนำดาวดวงนี้สำเร็จ หากว่าสหายเต๋าทำไม่ได้ก็อย่าท้อใจไป เพราะดาวเคราะห์เต๋านั้นก็เป็นแค่ดาวเคราะห์พิเศษประเภทหนึ่งเท่านั้น แปลกเพียงแค่ว่ากฎเกณฑ์ในนั้น มีความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวอยู่บ้าง” เมื่อกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วพูดจบก็พยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ พลางหันกายจากไป

…หวังเป่าเล่อรับกระดาษแผ่นนั้นมา ลุกขึ้นส่งอีกฝ่าย ในสมองกลับคิดวกวนเกี่ยวกับเนื้อหาของดาวเคราะห์เต๋า เขาย่อมเข้าใจความพิเศษและเอกลักษณะแห่งดาวเคราะห์เต๋าดี อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ แม้ใจปรารถนามากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ว่าตนมีโอกาสล้มเหลวสูง ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว

เขามีลางสังหรณ์เล็กน้อยว่าบางทีตนเองอาจจะ… อาศัยความช่วยเหลือของจักรวรรดิดาวตกในครั้งนี้ ชิงเอาโอกาสน้อมดาราเคราะห์เต๋ามาได้ ความคิดนี้เหมือนกับเปลวไฟที่แผดเผาในหัวใจของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไป

“ผู้อาวุโส เอกลักษณะหนึ่งเดียวของกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าที่นี่คือสิ่งใด? ”

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีแดงตรงหว่างคิ้วชะงัก แล้วหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ

“ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดทุกสิ่งในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้จึงกลายเป็นกระดาษ? ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดวิชาแห่งเทพของจักรวรรดิดาวตกของข้า จึงไม่มีชาวต่างพิภพเรียนได้เลยสักคน หรือต่อให้เป็นตัวข้าลงมาถ่ายทอดด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะใช้พลังได้แค่ในเขตแดนนี้เท่านั้น ส่วนนอกเขตแดนนั้น…กลับไม่อาจใช้พลังได้สักนิด” ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพียงแค่กล่าวไม่กี่ประโยค กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็หันกายไปไกลแล้ว

แต่การบอกเล่าประโยคนี้ ก็เพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว หลังจากที่เขาฟังจบ ร่างกายก็พลันสั่นสะท้านคราใหญ่ หอบหายใจติดขัด พลันหันหน้าไปมองฟ้ากว้าง ดวงตาเผยประกายประหลาด

“กฎก็คือ…กระดาษ! ”

…………………………………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset