หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 960 พิธีบูชาฟ้า!

เมฆบนท้องฟ้าปรากฏ ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนฟ้า มันมีรูปลักษณ์ดุจทะเล เป็นเหตุให้แสงอาทิตย์ในยามนี้หักเห ยามเมื่อตกกระทบลงบนผืนดินก็พลันทอสีสันพรรณราย สุดท้ายแสงทั้งมวลก็รวมตัวกันเป็นเส้นเดียว ส่องกระทบเข้าสู่…ด้านนอกของตำหนักหลักแห่งราชวัง!

มันสาดส่องลงบนร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิดาวตกซึ่งเดินออกมาจากตำหนักในยามนี้พอดี!

ขณะนั้น สายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนนับแสนที่อยู่นอกตำหนักหลัก และอีกนับล้านที่อยู่นอกรั้วราชวัง ยังรวมถึงผู้คนจากแต่ละทิศในนครดาวตก และเหล่าประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอาศัยพลังเทพอันยิ่งใหญ่รับชมพิธีการอยู่ พวกเขาต่างพากันจ้องไปยังจุดที่ลำแสงส่องลงมา

และได้มองเห็น…จักรพรรดิของพวกเขา พร้อมถึงผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย…หวังเป่าเล่อ!

ในห้วงจังหวะนั้น จะใช้คำว่ามีดวงตานับล้านคู่จ้องมาก็เกรงว่าจะยังไม่เหมาะสม ต่อให้หวังเป่าเล่อมีตำแหน่งสูงยิ่งในสหพันธ์ แต่ขณะนี้เขาถึงกับได้ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิดาวตกผู้มีพลังฝึกปรือสูงส่งและถูกสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนจ้องมอง ตัวหวังเป่าเล่อถึงขั้นหายใจติดขัดขึ้นมาบ้าง ทว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงความประหม่าและเก้กังของตน ดังนั้นแล้วเขาจึงยืนเอามือไพล่หลังมองลงไปยังฝูงชนเบียดเสียด จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายกำลังพินิจดูฝูงชน มุมปากของเขายังมีรอยยิ้มบางเบาประดับ

จริงๆ แล้ว…เขามองไม่เห็นเหล่าผู้ฝึกตนด้านล่างแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะสายตาไม่ดีหรือพลังฝึกปรือไม่พอ แต่ว่าจำนวนคนมีมากเกินไป เว้นแต่ว่าเขาจะเพ่งไปยังจุดใดทิศหนึ่งโดยตรง กับแค่การกวาดมองคร่าวๆ แบบนี้ ก็จะมองเห็นได้แค่เงาร่างของคนจำนวนมากเท่านั้น

กลับกัน…แม้เขาจะมองรายละเอียดของฝูงชนนอกตำหนักไม่ออก แต่เหล่าผู้ฝึกตนในที่นั้นทุกคนล้วนสามารถเห็นภาพของหวังเป่าเล่อได้อย่างชัดเจน

สำหรับเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังพอทำเนา เพราะผู้ที่สามารถเข้ารั้ววังมาได้ ย่อมพอเคยได้ยินเรื่องของหวังเป่าเล่อในหลายวันนี้มาบ้าง ถึงแม้ส่วนมากเพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงของเขาก็ตาม แต่สิ่งที่ทออยู่ในดวงตาของพวกเขาก็แค่ความใคร่รู้เจือปนกับความรู้สึกซาบซึ้งเท่านั้น

จะมีก็แต่…เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งเก้าที่มีคุณสมบัติมายังนครดาวตกพร้อมกันกับเขาเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาแต่ละคนมองเห็นหวังเป่าเล่อก็ล้วนแต่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด บางคนลูกตาแทบจะหลุดจากเบ้า ในสมองของพวกเขานั้นมีแต่เสียงกระหึ่ม ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่อยากเชื่อ

ต่อให้เป็นชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย ซึ่งปกติแล้วมีนิสัยสุขุม ก็ยังอดเผยแววตาทอประกายวาบไม่ได้ เขาเหม่อมองหวังเป่าเล่อ ส่วนหญิงสวมหน้ากากที่อยู่ข้างๆ แม้สีจะมีสีหน้าประหลาดใจ ยามมองเห็นหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่บนยกพื้นสูงตรงนั้นอยู่บ้าง แต่ดวงตาของนางหรี่ลงคล้ายจันทร์เสี้ยว แม้หน้ากากจะบดบังอารมณ์บนหน้า แต่ก็เห็นชัดว่านางคล้ายจะยิ้มอยู่

โดยเฉพาะในพริบตานั้น หากว่าหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสตรีสวมหน้ากากล่ะก็ เขาจะต้องมองออกภายในชั่วพริบตาหรือมีความรู้สึกแน่นอนว่าประกายตานี้ดู…คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย

แต่ว่านัยน์ตาจันทร์เสี้ยวนี้ปรากฏแล้วก็หายไปในพริบตา ท่าทางของนางกลับมาสุขุมเหมือนเก่า ส่วนคนที่มีท่าทีตรงข้ามกับนางนั้น ย่อมต้องเป็นแม่สาวกระพรวนซึ่งมาจากสำนักเก้าวิหคเพลิง

ยามนี้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ลมหายใจเกิดปั่นป่วนขึ้นมา นางใช้ดวงตาที่เจือแววไม่อยากเชื่อเต็มเปี่ยม จับจ้องไปที่อีกฝ่าย ในสมองเหมือนถูกคลื่นสูงเท่าฟ้าซัดโหม ในเวลาเดียวกันก็มีความโกรธและไม่ยินยอมตีกระหน่ำด้วย ในใจนั้นแทบจะระเบิด

“เป็นไปได้อย่างไร! เซี่ยต้าลู่ที่สมควรตายนั่น เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงนั้นได้??”

ในใจของทั้งสามคนนั้นแตกต่างกันออกไป แต่ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มชุดดำที่อบอวลไปด้วยไอพิฆาตข้างกายนั้นกลับสงบที่สุด แม้ในใจเขาจะปั่นป่วนแต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนเขาไม่สะทกสะท้านเท่าไรนัก อีกด้านนั้นคือพี่ชายเกาผู้สูงส่ง ที่ในเวลานี้ตื่นเต้นยิ่ง เขาแอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่เซี่ยต้าลู่เป็นเพื่อนของตน แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ แต่เห็นชัดว่าคงไม่ธรรมดา

ในส่วนของเจ้าอ้วนน้อยนั้น…เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ความตระหนกในใจเขาท่วมท้นเป็นเกลียวคลื่นทีเดียว กล่าวได้ว่าไม่แพ้แม่สาวกระพรวนเลย โดยเฉพาะที่เมื่อครู่ก่อนหน้าตัวเขาเองกำลังได้ใจสุดขีด เพราะหวังเป่าเล่อไม่อยู่ ในเมื่อตอนแรกได้ใจเสียขนาดนั้น ยามนี้เขาจึงสะเทือนใจสาหัสยิ่งนัก…เขาเบิกตามองโพลง กระทั่งก้อนไขมันบนร่างยังกระเพื่อม มุมปากพึมพำอย่างควบคุมไม่ได้

“ไร้เหตุผลสิ้นดี ทำไมเป็นแบบนี้…ที่เซี่ยต้าลู่หายไปหลายวัน สุดท้ายไปทำสิ่งใดมากันแน่ ถึงกับถูกจัดให้ยืนอยู่ข้างจักรพรรดิดาวตกในงานบูชาฟ้า!”

ระหว่างที่เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ เขาก็ขยี้ตาตัวเองเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่ได้มองพลาดด้วย ในส่วนของแม่นางน้อยผู้ใช้ศาสตร์มืดข้างกายนั้น นางเผยรอยยิ้มหวานบางเบา

“พี่ชายอ้วนน้อย ท่านบอกไว้ว่าหากระฆังครั้งที่สี่ดัง แล้วเซี่ยต้าลู่มาไม่ทันก็จะเข้ามาไม่ได้แล้วนี่นา? แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิได้เล่า?”

“เอ่อ…” เจ้าอ้วนน้อยเหงื่อเต็มศรีษะ ความรู้สึกประดักประเดิดแผ่ชัดบนใบหน้า โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้านี้ร้อนระอุ ทำให้เขาอดแค่นเสียงไม่ได้

“ตามธรรมเนียมของจักรวรรดิดาวตก ยังมีอีกคนที่มีคุณสมบัติยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ต้องสร้างคุณูปการใหญ่หลวงต่อจักรวรรดิดาวตก เจ้าเซี่ยต้าลู่คงต้องจ่ายค่าตอบแทนอันน่าตกใจไปแน่นอน ถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้” แม้ตอนแรกเจ้าอ้วนน้อยจะกล่าวช้าๆ แต่ว่ายิ่งพูดเข้า สุดท้ายเหมือนว่าตนเองก็เชื่อคำพูดตัวเองไปเสียแล้ว

“เซี่ยต้าลู่ควรได้รับเกียรติขนาดนี้เลยหรือ เฮ้อ เกียรติยศอันไม่คู่ควรก็ทำร้ายคนได้นะ” เจ้าอ้วนน้อยส่ายหน้าถอนหายใจ สังเกตเห็นรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสาวน้อยข้างกาย จากนั้นก็พบว่าคนอื่นๆ รอบตัวเขาล้วนมองมาด้วยสายตาประหลาด นี่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก หากย้อนกลับไปดู ก็ต้องถือว่าตัวเขาเองหนังหน้าไม่หนาพอ และในตอนที่เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกมากขึ้นทุกขณะ ก็มีเสียงช่วยชีวิตดังมาจากจักรพรรดิดาวตกพอดี เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ

“พิธีบูชาฟ้า พิธีเต๋าคำนับดารา พิธีแสวงเจตจำนงฟ้า งานพิธีบูชาแห่งนคราดาวตก ทุกท่าน…ยังไม่กราบบูชาฟ้าสามคราอีกหรือ?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกตนในลานนับแสนล้วนตัวสั่นสะท้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นชู!

ในยามนี้เสียงของจักรพรรดิดาวตกดังสะท้อนทั้งแปดทิศ

“คำนับครั้งแรก คำนับท้องนภาผู้มอบเส้นทางแห่งเต๋า ทำให้นครดาวตกของเราผ่านลมฝนมาได้ ไม่พบภัยร้ายตลอดมา!”

หลังจากที่เสียงนี้สะท้อนก้อง เหล่าผู้ฝึกตนในลานก็คำนับพร้อมกัน รวมถึงเหล่าผู้ฝึกตนอีกนับล้านนอกรั้วราชวัง แล้วยังมีเหล่าประชาชนทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกด้วย ในเวลานี้ทุกคนล้วนคำนับฟ้า!

บรรยากาศยิ่งใหญ่ ลมหมุนเมฆเคลื่อน แล้วยังมีเสียงคำรามครืนๆ ดังมาจากบนฟ้า ใจกลางทะเลเมฆที่หมุนค้างนั้น ราวกับว่ามีเจตจำนงแห่งสรรพสิ่งนับหมื่นอันแสนยิ่งใหญ่กำลังงอกเงย รวมตัวกันอยู่กลางนภา กลายสภาพเป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น รับการคำนับจากทุกคนบนผืนดิน!

“คำนับครั้งที่สอง คำนับบรรพบุรุษแห่งจักรวรรดิดาวตก ผู้มอบเส้นทางเต๋าแท้จริงให้พวกเราจักรวรรดิดาวตกได้ฝึกปรือนับสิบล้านปี!”

กลุ่มเมฆในยามนี้คล้ายคลื่นยักษ์สาดนภา มันคำรามเสียงก้องกว่าเก่า พร้อมกันนั้นแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมาจากท้องฟ้า ทอประกายสีสดใส อัศจรรย์ตาสุดบรรยาย และยังมีเงามายาร่างหนึ่งเหมือนจะแฝงกายมาถึงโลกนี้พร้อมกับแสงอาทิตย์ด้วย ราวกับท้องฟ้านี้รับการคำนับจากทุกผู้คนบนผืนดิน!

ขั้นตอนที่เปรียบเหมือนความฝันนี้ ดำเนินไปทั้งสิ้นกว่าหนึ่งก้านธูปพอดี ในเวลานี้เองจักรพรรดิแห่งนครดาวตกก็เริ่มประกาศต่อไป

“คำนับครั้งที่สาม คำนับดาวเคราะห์แห่งนครดาวตกนี้ เกียรติยศแห่งนครจะมิเลือนหาย ต่อให้ในยามที่ไม่มีผู้ใดจดจำได้ แต่ภาระหน้าที่แห่งนครดาวตกของพวกเรา จะประทับอยู่ในตัวของทุกสรรพสิ่งในดาวเคราะห์ดวงนี้สืบไป!”

เมื่อกล่าวแล้ว ฝูงชนก็คำนับอีกครั้ง กระทั่งตัวของจักรพรรดิดาวตกเองก็ทำเช่นกัน หวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างกายเขานั้น ค้อมคำนับเหมือนสองครั้งแรก แสดงการคารวะผินหน้าสู่ผืนฟ้า ในเวลาเดียวกันเขาก็พยายามสำรวมกายใจให้เรียบร้อย ความรู้สึกอาบทั่วร่างของเขาพร้อมกับความคาดหวังรอคอยกระแสหนึ่งซึ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเรื่อยๆ

เพราะจากที่เขารู้ถึงขั้นตอนของพิธีบูชาฟ้าตามที่แม่นางกระดาษทั้งสามบอกเอาไว้แล้ว เขาก็รู้ว่าในพิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตกนี้ไม่มีกระบวนการยุ่งยาก หลังจากคำนับฟ้าสามครั้ง พวกเขาก็จะเริ่มตีกลองน้อมดารากันแล้ว!

ในรอบพิธีนี้ จุดสำคัญของพิธีบูชาฟ้าก็คือการใช้เสียงกลองสั่นสะเทือนผืนนภา น้อมนำดารานับไม่ถ้วนมาลงมา

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นไปตามนี้ หลังจากจักรพรรดิดาวตกคำนับสามครั้งแล้วแหงนหน้าขึ้น เขายืนอยู่นอกตำหนัก หลังถูกดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้อง หลังกวาดตามองรอบหนึ่ง เขาก็หันไปมองเหล่าชายหนุ่มผู้สง่างามและคนทั้งเก้าในฝูงคน

“หลังคำนับฟ้าแล้วก็คือพิธีเคลื่อนดารา สหายเต๋าตัวน้อยจากต่างพิภพทั้งหลาย ขอเชิญเข้ามา…ตีกลองสู่สวรรค์ น้อมเชิญแสงดารานับล้านให้ยอมโน้มลงมา!”

เมื่อเสียงนี้กระจายไป ดวงตาของผู้คนบนลานนับล้านก็ล้วนจับจ้องมาที่พวกชายหนุ่มผู้สง่างามทั้งเก้าคน เมื่อถูกกระดาษรูปมนุษย์เหล่านี้จ้องมอง หญิงสวมหน้ากากเองก็เริ่มหายใจกระชั้น หลังมองกันเองไปมาแล้ว เจ้าอ้วนน้อยก็กัดฟันแน่น เขาตัดสินใจเหาะไปยังกลองสู่สวรรค์เป็นคนแรก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ลู่เสี่ยวไห่ขอตีกลองเป็นคนแรก!”

………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset