หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 957 การต่อสู้ของเหล่าดารา!

หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่นอกห้องโถง แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เขาย้อนคิดถึงภาพแต่ละฉากแต่ละตอนหลังตนมาถึงจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ นัยน์ตาเขาราวกับมีดวงไฟกำลังลุกโชน ดวงไฟที่ว่านี้ก็คือความทะเยอทะยานประเภทหนึ่ง

เทียบกันกับตัวเขาในยามก่อนหน้า แม้จะเคยได้ยินเรื่องดาวเคราะห์เต๋าจากเจ้าเยี่ยเหมิงมาก่อน ถึงกับกล่าวล้อเล่นว่าสำหรับตัวเขาเองนั้น สามารถคว้าดาวเคราะห์เต๋ามายกระดับขอบข่ายสสารดาราได้แน่นอน แต่ตัวเขาเองรู้ดี ว่านั่นเป็นแค่วาจาหยอกล้อกันครั้งหนึ่งเท่านั้น

แผนเดิมของเขานั้นหวังจะใช้ดวงดาวอมตะในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้สร้างรากฐาน เพื่อค้นหาดาวเคราะห์พิเศษต่อไป แต่ในยามนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายปีในจักรวรรดิดาวตก ที่มีคนน้อมดาวเคราะห์เต๋าได้…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองแสงบนท้องฟ้า เขาเดินกลับเข้าในตำหนัก จากนั้นนั่งขัดสมาธิหลับตา สงบจิตใจตนเอง เคลื่อนพลังปราณ เพื่อรักษาสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดของร่างกายเอาไว้

ค่ำคืนนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่หวังเป่าเล่อผู้เดียวที่บังเกิดความทะเยอทะยานในใจ ชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้ายผู้นั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เดิมเป้าหมายของเขาก็เพียงแค่อยากอาศัยดาวเคราะห์พิเศษมาเป็นรากฐาน เพื่อชิงเอาดาวเคราะห์เต๋ามา ตอนแรกในใจของเขาคิดแค่สองสิ่งนี้ แต่ยามนี้ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎ พาให้ลึกๆ ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ ว่าดาวเคราะห์เต๋านี้กับตนมีชะตาต้องกัน!

ความรู้สึกนี้ประหลาดยิ่ง เขาจึงไม่ได้กล่าวกับผู้ใด แต่ในใจซัดโหมด้วยความตื่นเต้น

จุดที่บังเอิญก็คือ…หากเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าผู้มีคุณสมบัติในการน้อมดาราเหล่านี้เปิดใจปรึกษาหารือกันด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะพบปัญหาเข้าอย่างหนึ่งทันที

เพราะผู้ที่รู้สึกว่าตนมีชะตาสอดคล้องกับดาวเคราะห์เต๋านี้ ไม่ได้มีเพียงชายหนุ่มผู้สง่างาม แต่ยังรวมถึงหญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มชุดดำ และยังมีแม่นางกระพรวนอีกด้วย…กล่าวคือ เหล่าผู้มีคุณสมบัติทั้งหมดสิบคน หากตัดคนที่มีใจทะยานอยากอย่างหวังเป่าเล่อออกแล้ว คนอื่นๆ เอง ในจังหวะที่มองเห็นดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น ล้วนบังเกิดกำลังใจฮึกเหิม และล้วนคิดไปว่าตนมีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋าเช่นเดียวกัน

“ข้ามีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า ครั้งนี้คือโอกาสครั้งใหญ่ของข้าที่จะได้ถือครองดาวเคราะห์เต๋า! ” แม่สาวกระพรวนใจเต้นระส่ำอยู่ภายในห้อง นางไม่ทราบเรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกเลยสักนิด เพียงแค่รู้สึกถึงพลังอันไพศาลที่แผ่ขยายออกมาขุมหนึ่งเท่านั้น และสำหรับนาง เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญเท่ากับการที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎออกมา

“ดาวเคราะห์เต๋า…หากเจ้าเลือกข้า ข้าจะพาเจ้าตะลุยสังหารทั้งจักรพิภพ ไม่ให้เสียชื่อดาวเคราะห์เต๋าของเจ้า! ”

ในส่วนอีกห้องหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่เล่มโตไว้ ดวงตาเย็นชาของเขาพลันหรี่ลง พร้อมทอประกายอันตราย และเขาก็เริ่มพึมพำ

ในเวลาเดียวกัน แม่นางน้อยที่ใช้วิชาศาสตร์มืดผู้นั้นก็กำลังสับสน นางนั่งอยู่ตรงข้างบานหน้าต่าง แหงนหน้ามองหมู่ดารา จากนั้นก็ใช้มือพันเส้นผมมาขบด้วยความเคยชิน

“โอ๊ย เหตุใดดาวเคราะห์เต๋านี้ถึงมีชะตาต้องกับข้ากันเล่า ข้าไม่คู่ควรสักหน่อย ข้าอยากจะได้แค่ดาวแห่งความมืด…เมื่อไหร่เรื่องที่นี่จะจบเสียที ไม่สนุกเลยสักนิด ข้าอยากกลับไปหาท่านอาแล้ว” แม่นางน้อยถอนหายใจ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นนางก็มองไปที่ห้องของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในนั้น แต่นางก็ยังเพ่งมองอยู่นานสองนาน

“เซี่ยต้าลู่ผู้นี้…บนร่างกลับมีปราณของสำนักความมืดอยู่จางๆ หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับท่านอาที่ข้าไม่เคยพบผู้นั้น?”

ระหว่างที่เด็กหญิงกำลังจมอยู่ในความคิด คนอื่นๆ อย่างพี่ชายผู้สูงส่ง แล้วยังเจ้าอ้วนน้อย รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในสภาวะอารมณ์พุ่งพล่านกันทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึก ทุกคนล้วนรู้สึกว่าตนเองนี่แหละคือผู้มีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว

นี่ก็ไม่อาจโทษความเข้าใจผิดของพวกเขาได้จริงๆ โดยเฉพาะในพริบตาที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎโฉม พวกเขาดันสัมผัสพลังได้ชัดเจนเกินไป ในบรรดานี้มีเพียงหวังเป่าเล่อผู้เดียวที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในตอนนั้นซึ่งพลาดไป

ดังนั้นแล้วการปรากฎตัวของดาวเคราะห์เต๋า จึงทำให้คนที่เหลือทั้งเก้าคนต่างรู้สึกได้ถึงชะตาต้องกัน และเหตุนี้จึงตกอยู่ภายใต้การจับจ้องเป็นพิเศษจากจักรวรรดิดาวตก เพราะว่า…ผู้ที่สัมผัสได้ถึงชะตาอันสอดคล้องกันกลับไม่ได้มีแค่พวกเขา เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากต่างพิภพ แต่ยังรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกทุกคน ซึ่งมีระดับฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!

“ดาวเคราะห์เต๋าคิดเคลื่อนไหว…” จักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรดาวตกในรัชกาลปัจจุบัน กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วผู้นั้น กำลังยืนอยู่บนหอคอยภายในวังหลวง แหงนหน้ามองท้องฟ้า พร้อมเอ่ยปากเสียงเบา

“สัมผัสแห่งชะตาที่ดาวเคราะห์เต๋ามอบให้ทุกคนนั้นไม่ใช่ชะตาที่แท้จริง ทว่า…เพราะดาวเคราะห์เต๋าผ่านวันปีมาเนิ่นนาน จนบัดนี้กลับเริ่มมีความคิดจิตใจขึ้น คิดอยากให้มีผู้มาน้อมหรือไม่ก็ถูกกระตุ้นเข้าเสียแล้ว…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วส่ายหน้า พลางทอดถอนใจ

เขาเข้าใจดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าแผ่กระแสชะตาออกมาเอง ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เหล่าผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจับสัมผัสนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วดาวเคราะห์เต๋าจะตัดสินใจน้อมกายสู่พิภพหรือไม่ หลังร่วงหล่นแล้วจะเลือกผู้ใด เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็ไม่ทราบ

“จะเลือกใครกันนะ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วมองท้องฟ้ากว้าง จากนั้นก็กวาดสายตารอบราชอาณาจักรดาวตก หลังเงียบครู่หนึ่งเขาก็ประสานฝ่ามือ ตราประทับชิ้นหนึ่งลอยมาอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มซ้อนทับกัน หลังจากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ ส่องสะท้อนสีสันจากบนท้องฟ้า ผ่านไปอีกชั่วหนึ่งให้หลัง นัยน์ตาของกระดาษรูปมนุษย์ก็พลันเกิดประกายประหลาด เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าในทันที

“โปรดแสดงให้ข้าดูเถิด ท่านจะเลือกผู้ใด! ”

พริบตานั้นตราประทับก็แปรเป็นเสมือนลำแสงของดวงดาว มันส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เมื่อส่องรอบบริเวณเรียบร้อยแล้ว คลองจักษุของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็เห็นฉากที่คนนอกนั้นไม่อาจจะมองเห็นได้

ในหมู่ดาวกลางนภานั้น ยังมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งส่องสว่างประดุจดาวจักรพรรดิ กลบแสงดวงดาวทั้งหมด ประหนึ่งจะดึงให้เหล่าดาราที่เหลือโคจรรอบมัน จวบกระทั่งเหล่าดาวเคราะห์พิเศษพวกนั้นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ท่ามกลางดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้ มีเพียงเก้าดวงเท่านั้นที่เป็นรองดาวเคราะห์เต๋า คราแรกมันก็ดิ้นรนอยู่ ระดับชั้นที่แตกต่างของหมู่ดวงดาวนี้ ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าเห็นการขัดขืนของพวกมันเห็นเป็นเรื่องไร้ค่า!

ด้วยพลังสะกดข่มของดาวเคราะห์เต๋า หมู่ดาวก็พลันสิ้นแสง จังหวะเดียวกันแสงแห่งดาราทั้งหลายเหล่านี้ก็พลันร่วงหล่นเป็นดาวตกนับสิบสายจมสู่เขตเมืองจักรวรรดิดาวตก เส้นแสงดาราทุกเส้นนั้นก็ล้วนถูกชักนำไปยังผู้มีชะตาแต่ละคน!

ตรงที่นี้มีเก้าเส้น แต่ละเส้นล้วนโยงไปสู่ห้องพักของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากนอกพิภพ ในส่วนที่เหลือกลับแยกย้ายกันเชื่อมต่อเข้ากับมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกคนอื่นๆ แต่หากดูจากระดับความเข้มข้นแล้ว เห็นชัดว่าแสงจากดาราของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋านครดาวตกนี้มีเพียงแค่เส้นเดียว แตกต่างกับของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากภายนอกมากอยู่

เช่นเดียวกัน ในห้องพักรับรองของของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เหลือนั้น เส้นแสงเก้าสายต่างก็แบ่งได้เป็นสูงต่ำ ในบรรดานั้นมีสองสายที่แข็งแกร่งที่สุด ระดับแสงทั้งสองนี้พาให้แสงดาราของผู้อื่นดูทึมทึบไปไม่น้อย

ด้วยใจสงสัยอย่างยิ่ง กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็พลันหรี่ตา แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด ในพริบตานั้นเขาเห็นคนสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าห้องแต่ละห้อง!

สองคนนี้คือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคนนั้นหากหวังเป่าเล่อได้พบเข้าคงจะจำได้ในทันที อีกฝ่ายมิใช่ชายหนุ่มผู้สง่างามแต่กลับเป็นชายหนุ่มชุดดำผู้มีกลิ่นอายอำมหิตทั่วร่างและสะพายกระบี่เล่มโตไว้ที่หลังคนนั้น!

ในส่วนสตรีนั้น กลับเป็น…แม่สาวกระพรวน!

แสงดาราบนร่างของพวกเขาทั้งสองนั้นรุนแรงที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปก็ยิ่งทวีระดับขึ้น ในส่วนของผู้อื่นนั้นกลับรักษาระดับของแสงไว้ที่เหมือนเดิม ไม่เพิ่มหรือลดลง

“สองคนนี้…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตาลง หลังจากเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ เขาก็พลันหันหน้ามองไปทางหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ภายในราชวัง เมื่อมองไปกลับไม่พบแสงดาราแม้แต่ดวงเดียว!

“ไร้วาสนารึ…” กระดาษรูปมนุษย์ถอนหายใจ ถึงแม้เขาคิดช่วยอีกฝ่าย แต่เรื่องโชคชะตานี้ ต่อให้เขาคิดก็ไร้กำลังและจากการที่เขาอยู่ในสภาวะหลอมรวมกับฟ้าในยามนี้ก็พอจะสัมผัสได้เลาๆ ว่าเหตุใดผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงกับจักรวรรดิดาวตกท่านนี้จึงไม่มีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า

“เป็นเพราะการกระทำก่อนหน้าของคนผู้นี้ ทำให้ท่านบรรพบุรุษละทิ้งความคิดที่จะใช้พลังเทพ การดึงพลังศักดิ์สิทธิ์นอกจักรพิภพมากระตุ้นดาวเคราะห์เต๋า ทำให้มันรู้สึกยโส คิดปรากฏตัวเพื่อช่วงชิงเกียรติยศ…ดังนั้นหากมันจะเลือก ย่อมไม่มีทางเลือกคนผู้นั้น เกรงว่าอาจจะดูถูกนิดหน่อยด้วยกระมัง?” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เขากำลังจะถอนตัวออกจากสภาวะหลอมรวมฟ้า ทว่าเวลานี้เอง พลันบังเกิดเสียงแค่นเหยียดคราหนึ่ง แล้วเบื้องหน้าเขาก็มีแสงประหลาดสาดส่องขึ้น

และเพราะเขาสามารถมองเห็นได้ จึงพบว่าท่ามกลางหมู่ดาราที่อับแสงบนท้องฟ้า เดิมทีดาราบริวารดาวเคราะห์พิเศษซึ่งขัดขืนดาวเคราะห์เต๋าเมื่อครู่เหล่านั้น ตอนนี้กลับยังไม่ละทิ้งความพยายาม พวกมันดิ้นรนเปล่งแสง เมื่อยิ่งถูกสะกดข่ม มันกลับยิ่งเปล่งแสงออกมาสู้ สาดส่องโลกา แสงเหล่านั้นร่วงหล่นลงยัง…ใจกลางราชวัง ที่ซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่!!

“นี่คือศึกของมนุษย์ หรือว่า…ศึกของเหล่าดวงดาวกันนะ?” กระดาษรูปมนุษย์ตกตะลึงยิ่ง ดวงตาฉายประกายวาบในทันใด ในสายตาของเขา คล้ายจะมองเห็นปณิธานของดาราทั้งเก้าดวงนั้นได้

“การเหยียดหยามของเจ้า ก็คือแสงแห่งเกียรติยศของข้า!”

……………………………………………………

หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่นอกห้องโถง แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เขาย้อนคิดถึงภาพแต่ละฉากแต่ละตอนหลังตนมาถึงจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ นัยน์ตาเขาราวกับมีดวงไฟกำลังลุกโชน ดวงไฟที่ว่านี้ก็คือความทะเยอทะยานประเภทหนึ่ง

เทียบกันกับตัวเขาในยามก่อนหน้า แม้จะเคยได้ยินเรื่องดาวเคราะห์เต๋าจากเจ้าเยี่ยเหมิงมาก่อน ถึงกับกล่าวล้อเล่นว่าสำหรับตัวเขาเองนั้น สามารถคว้าดาวเคราะห์เต๋ามายกระดับขอบข่ายสสารดาราได้แน่นอน แต่ตัวเขาเองรู้ดี ว่านั่นเป็นแค่วาจาหยอกล้อกันครั้งหนึ่งเท่านั้น

แผนเดิมของเขานั้นหวังจะใช้ดวงดาวอมตะในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้สร้างรากฐาน เพื่อค้นหาดาวเคราะห์พิเศษต่อไป แต่ในยามนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายปีในจักรวรรดิดาวตก ที่มีคนน้อมดาวเคราะห์เต๋าได้…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองแสงบนท้องฟ้า เขาเดินกลับเข้าในตำหนัก จากนั้นนั่งขัดสมาธิหลับตา สงบจิตใจตนเอง เคลื่อนพลังปราณ เพื่อรักษาสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดของร่างกายเอาไว้

ค่ำคืนนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่หวังเป่าเล่อผู้เดียวที่บังเกิดความทะเยอทะยานในใจ ชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้ายผู้นั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เดิมเป้าหมายของเขาก็เพียงแค่อยากอาศัยดาวเคราะห์พิเศษมาเป็นรากฐาน เพื่อชิงเอาดาวเคราะห์เต๋ามา ตอนแรกในใจของเขาคิดแค่สองสิ่งนี้ แต่ยามนี้ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎ พาให้ลึกๆ ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ ว่าดาวเคราะห์เต๋านี้กับตนมีชะตาต้องกัน!

ความรู้สึกนี้ประหลาดยิ่ง เขาจึงไม่ได้กล่าวกับผู้ใด แต่ในใจซัดโหมด้วยความตื่นเต้น

จุดที่บังเอิญก็คือ…หากเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าผู้มีคุณสมบัติในการน้อมดาราเหล่านี้เปิดใจปรึกษาหารือกันด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะพบปัญหาเข้าอย่างหนึ่งทันที

เพราะผู้ที่รู้สึกว่าตนมีชะตาสอดคล้องกับดาวเคราะห์เต๋านี้ ไม่ได้มีเพียงชายหนุ่มผู้สง่างาม แต่ยังรวมถึงหญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มชุดดำ และยังมีแม่นางกระพรวนอีกด้วย…กล่าวคือ เหล่าผู้มีคุณสมบัติทั้งหมดสิบคน หากตัดคนที่มีใจทะยานอยากอย่างหวังเป่าเล่อออกแล้ว คนอื่นๆ เอง ในจังหวะที่มองเห็นดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น ล้วนบังเกิดกำลังใจฮึกเหิม และล้วนคิดไปว่าตนมีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋าเช่นเดียวกัน

“ข้ามีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า ครั้งนี้คือโอกาสครั้งใหญ่ของข้าที่จะได้ถือครองดาวเคราะห์เต๋า! ” แม่สาวกระพรวนใจเต้นระส่ำอยู่ภายในห้อง นางไม่ทราบเรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกเลยสักนิด เพียงแค่รู้สึกถึงพลังอันไพศาลที่แผ่ขยายออกมาขุมหนึ่งเท่านั้น และสำหรับนาง เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญเท่ากับการที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎออกมา

“ดาวเคราะห์เต๋า…หากเจ้าเลือกข้า ข้าจะพาเจ้าตะลุยสังหารทั้งจักรพิภพ ไม่ให้เสียชื่อดาวเคราะห์เต๋าของเจ้า! ”

ในส่วนอีกห้องหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่เล่มโตไว้ ดวงตาเย็นชาของเขาพลันหรี่ลง พร้อมทอประกายอันตราย และเขาก็เริ่มพึมพำ

ในเวลาเดียวกัน แม่นางน้อยที่ใช้วิชาศาสตร์มืดผู้นั้นก็กำลังสับสน นางนั่งอยู่ตรงข้างบานหน้าต่าง แหงนหน้ามองหมู่ดารา จากนั้นก็ใช้มือพันเส้นผมมาขบด้วยความเคยชิน

“โอ๊ย เหตุใดดาวเคราะห์เต๋านี้ถึงมีชะตาต้องกับข้ากันเล่า ข้าไม่คู่ควรสักหน่อย ข้าอยากจะได้แค่ดาวแห่งความมืด…เมื่อไหร่เรื่องที่นี่จะจบเสียที ไม่สนุกเลยสักนิด ข้าอยากกลับไปหาท่านอาแล้ว” แม่นางน้อยถอนหายใจ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นนางก็มองไปที่ห้องของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในนั้น แต่นางก็ยังเพ่งมองอยู่นานสองนาน

“เซี่ยต้าลู่ผู้นี้…บนร่างกลับมีปราณของสำนักความมืดอยู่จางๆ หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับท่านอาที่ข้าไม่เคยพบผู้นั้น?”

ระหว่างที่เด็กหญิงกำลังจมอยู่ในความคิด คนอื่นๆ อย่างพี่ชายผู้สูงส่ง แล้วยังเจ้าอ้วนน้อย รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในสภาวะอารมณ์พุ่งพล่านกันทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึก ทุกคนล้วนรู้สึกว่าตนเองนี่แหละคือผู้มีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว

นี่ก็ไม่อาจโทษความเข้าใจผิดของพวกเขาได้จริงๆ โดยเฉพาะในพริบตาที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎโฉม พวกเขาดันสัมผัสพลังได้ชัดเจนเกินไป ในบรรดานี้มีเพียงหวังเป่าเล่อผู้เดียวที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในตอนนั้นซึ่งพลาดไป

ดังนั้นแล้วการปรากฎตัวของดาวเคราะห์เต๋า จึงทำให้คนที่เหลือทั้งเก้าคนต่างรู้สึกได้ถึงชะตาต้องกัน และเหตุนี้จึงตกอยู่ภายใต้การจับจ้องเป็นพิเศษจากจักรวรรดิดาวตก เพราะว่า…ผู้ที่สัมผัสได้ถึงชะตาอันสอดคล้องกันกลับไม่ได้มีแค่พวกเขา เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากต่างพิภพ แต่ยังรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกทุกคน ซึ่งมีระดับฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!

“ดาวเคราะห์เต๋าคิดเคลื่อนไหว…” จักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรดาวตกในรัชกาลปัจจุบัน กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วผู้นั้น กำลังยืนอยู่บนหอคอยภายในวังหลวง แหงนหน้ามองท้องฟ้า พร้อมเอ่ยปากเสียงเบา

“สัมผัสแห่งชะตาที่ดาวเคราะห์เต๋ามอบให้ทุกคนนั้นไม่ใช่ชะตาที่แท้จริง ทว่า…เพราะดาวเคราะห์เต๋าผ่านวันปีมาเนิ่นนาน จนบัดนี้กลับเริ่มมีความคิดจิตใจขึ้น คิดอยากให้มีผู้มาน้อมหรือไม่ก็ถูกกระตุ้นเข้าเสียแล้ว…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วส่ายหน้า พลางทอดถอนใจ

เขาเข้าใจดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าแผ่กระแสชะตาออกมาเอง ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เหล่าผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจับสัมผัสนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วดาวเคราะห์เต๋าจะตัดสินใจน้อมกายสู่พิภพหรือไม่ หลังร่วงหล่นแล้วจะเลือกผู้ใด เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็ไม่ทราบ

“จะเลือกใครกันนะ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วมองท้องฟ้ากว้าง จากนั้นก็กวาดสายตารอบราชอาณาจักรดาวตก หลังเงียบครู่หนึ่งเขาก็ประสานฝ่ามือ ตราประทับชิ้นหนึ่งลอยมาอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มซ้อนทับกัน หลังจากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ ส่องสะท้อนสีสันจากบนท้องฟ้า ผ่านไปอีกชั่วหนึ่งให้หลัง นัยน์ตาของกระดาษรูปมนุษย์ก็พลันเกิดประกายประหลาด เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าในทันที

“โปรดแสดงให้ข้าดูเถิด ท่านจะเลือกผู้ใด! ”

พริบตานั้นตราประทับก็แปรเป็นเสมือนลำแสงของดวงดาว มันส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เมื่อส่องรอบบริเวณเรียบร้อยแล้ว คลองจักษุของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็เห็นฉากที่คนนอกนั้นไม่อาจจะมองเห็นได้

ในหมู่ดาวกลางนภานั้น ยังมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งส่องสว่างประดุจดาวจักรพรรดิ กลบแสงดวงดาวทั้งหมด ประหนึ่งจะดึงให้เหล่าดาราที่เหลือโคจรรอบมัน จวบกระทั่งเหล่าดาวเคราะห์พิเศษพวกนั้นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ท่ามกลางดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้ มีเพียงเก้าดวงเท่านั้นที่เป็นรองดาวเคราะห์เต๋า คราแรกมันก็ดิ้นรนอยู่ ระดับชั้นที่แตกต่างของหมู่ดวงดาวนี้ ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าเห็นการขัดขืนของพวกมันเห็นเป็นเรื่องไร้ค่า!

ด้วยพลังสะกดข่มของดาวเคราะห์เต๋า หมู่ดาวก็พลันสิ้นแสง จังหวะเดียวกันแสงแห่งดาราทั้งหลายเหล่านี้ก็พลันร่วงหล่นเป็นดาวตกนับสิบสายจมสู่เขตเมืองจักรวรรดิดาวตก เส้นแสงดาราทุกเส้นนั้นก็ล้วนถูกชักนำไปยังผู้มีชะตาแต่ละคน!

ตรงที่นี้มีเก้าเส้น แต่ละเส้นล้วนโยงไปสู่ห้องพักของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากนอกพิภพ ในส่วนที่เหลือกลับแยกย้ายกันเชื่อมต่อเข้ากับมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกคนอื่นๆ แต่หากดูจากระดับความเข้มข้นแล้ว เห็นชัดว่าแสงจากดาราของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋านครดาวตกนี้มีเพียงแค่เส้นเดียว แตกต่างกับของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากภายนอกมากอยู่

เช่นเดียวกัน ในห้องพักรับรองของของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เหลือนั้น เส้นแสงเก้าสายต่างก็แบ่งได้เป็นสูงต่ำ ในบรรดานั้นมีสองสายที่แข็งแกร่งที่สุด ระดับแสงทั้งสองนี้พาให้แสงดาราของผู้อื่นดูทึมทึบไปไม่น้อย

ด้วยใจสงสัยอย่างยิ่ง กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็พลันหรี่ตา แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด ในพริบตานั้นเขาเห็นคนสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าห้องแต่ละห้อง!

สองคนนี้คือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคนนั้นหากหวังเป่าเล่อได้พบเข้าคงจะจำได้ในทันที อีกฝ่ายมิใช่ชายหนุ่มผู้สง่างามแต่กลับเป็นชายหนุ่มชุดดำผู้มีกลิ่นอายอำมหิตทั่วร่างและสะพายกระบี่เล่มโตไว้ที่หลังคนนั้น!

ในส่วนสตรีนั้น กลับเป็น…แม่สาวกระพรวน!

แสงดาราบนร่างของพวกเขาทั้งสองนั้นรุนแรงที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปก็ยิ่งทวีระดับขึ้น ในส่วนของผู้อื่นนั้นกลับรักษาระดับของแสงไว้ที่เหมือนเดิม ไม่เพิ่มหรือลดลง

“สองคนนี้…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตาลง หลังจากเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ เขาก็พลันหันหน้ามองไปทางหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ภายในราชวัง เมื่อมองไปกลับไม่พบแสงดาราแม้แต่ดวงเดียว!

“ไร้วาสนารึ…” กระดาษรูปมนุษย์ถอนหายใจ ถึงแม้เขาคิดช่วยอีกฝ่าย แต่เรื่องโชคชะตานี้ ต่อให้เขาคิดก็ไร้กำลังและจากการที่เขาอยู่ในสภาวะหลอมรวมกับฟ้าในยามนี้ก็พอจะสัมผัสได้เลาๆ ว่าเหตุใดผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงกับจักรวรรดิดาวตกท่านนี้จึงไม่มีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า

“เป็นเพราะการกระทำก่อนหน้าของคนผู้นี้ ทำให้ท่านบรรพบุรุษละทิ้งความคิดที่จะใช้พลังเทพ การดึงพลังศักดิ์สิทธิ์นอกจักรพิภพมากระตุ้นดาวเคราะห์เต๋า ทำให้มันรู้สึกยโส คิดปรากฏตัวเพื่อช่วงชิงเกียรติยศ…ดังนั้นหากมันจะเลือก ย่อมไม่มีทางเลือกคนผู้นั้น เกรงว่าอาจจะดูถูกนิดหน่อยด้วยกระมัง?” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เขากำลังจะถอนตัวออกจากสภาวะหลอมรวมฟ้า ทว่าเวลานี้เอง พลันบังเกิดเสียงแค่นเหยียดคราหนึ่ง แล้วเบื้องหน้าเขาก็มีแสงประหลาดสาดส่องขึ้น

และเพราะเขาสามารถมองเห็นได้ จึงพบว่าท่ามกลางหมู่ดาราที่อับแสงบนท้องฟ้า เดิมทีดาราบริวารดาวเคราะห์พิเศษซึ่งขัดขืนดาวเคราะห์เต๋าเมื่อครู่เหล่านั้น ตอนนี้กลับยังไม่ละทิ้งความพยายาม พวกมันดิ้นรนเปล่งแสง เมื่อยิ่งถูกสะกดข่ม มันกลับยิ่งเปล่งแสงออกมาสู้ สาดส่องโลกา แสงเหล่านั้นร่วงหล่นลงยัง…ใจกลางราชวัง ที่ซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่!!

“นี่คือศึกของมนุษย์ หรือว่า…ศึกของเหล่าดวงดาวกันนะ?” กระดาษรูปมนุษย์ตกตะลึงยิ่ง ดวงตาฉายประกายวาบในทันใด ในสายตาของเขา คล้ายจะมองเห็นปณิธานของดาราทั้งเก้าดวงนั้นได้

“การเหยียดหยามของเจ้า ก็คือแสงแห่งเกียรติยศของข้า!”

……………………………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset