หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 963 ดาวเคราะห์เต๋าไม่แยแส!

ในเวลานี้ท้องฟ้าพร่างดาวปรากฏลมพายุ ดวงดาวนับไม่ถ้วนพลันส่องแสงมลังเมลือง ทำให้ทั้งฟ้าดินเปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน ในพริบตานั้นดาวเคราะห์พิเศษทั้งห้าก็ปรากฏร่างออกมา แม้ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผู้งามสง่าจะไม่เหลียวแลพวกมัน แต่ในยามนี้พวกมันกลับหอบเอาความหวังเต็มเปี่ยม ทุ่มเทส่องแสงนับจ้าไกลหมื่นจั้งออกมา!

พื้นดินถูกอาบด้วยแสงอันยิ่งใหญ่ พาให้หัวใจของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์มากมายรู้สึกราวกับถูกแสงเหล่านี้ชำระจิตวิญญาณ แต่ว่า…บนท้องฟ้าเคล้าพายุที่เต็มไปด้วยแสงดารานี้ แม้จะมีดาวเคราะห์พิเศษโผล่ออกมาถึงห้าดวง แต่ดาวเคราะห์เต๋า…กลับไม่ยอมปรากฏออกมาอีกครั้ง!

หลังจากเสียงกลองดังครั้งที่เก้า ท่ามกลางแสงดาวเจิดจ้าบนฟากฟ้า พลังที่มาจากการตีกลองครั้งที่เก้าก็เริ่มสะท้อนกลับ ผู้แรกที่รับแรงกระแทกไม่อยู่คือตัวชายหนุ่มชุดดำที่อบอวลไปด้วยไอพิฆาต ทั้งร่างของเขาสะท้านรุนแรง มุมปากกระอักโลหิต ร่างกายเหมือนจะเหี่ยวแห้งลง พลังบนร่างดูหม่นทึมไปในทันใด ร่างกายของเขาถึงขั้นโอนเอน ราวกับว่าจะล้มพับไปข้างกลองเอาได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ดีเขายังคงฝืนอยู่ กัดฟันหยิบศิลาสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากอก ไม่รู้ว่าวัตถุนี้หลอมมาจากสิ่งใด แต่ในพริบตาที่เขาบีบมัน มันก็พลันแปรสภาพกลายเป็นปราณดำลอยเข้าสู่ทวารทั้งเจ็ดของชายหนุ่ม ทำให้สีหน้าของเขากลับมามีเลือดฝาด กระแสชีวิตที่ยามแรกดูห่อเหี่ยวนั้นก็พลันฟื้นคืนมาอีกครั้ง

พูดไปแล้ว คนอื่นๆ ก็พอมองออก ศิลาที่เขาใช้นี้ เกรงว่าน่าจะเป็นยาที่ให้ผลชะงัดนัก มันแสดงพลังได้รวดเร็วเพียงอาศัยเวลาแค่อึดใจเท่านั้น ทว่าแม้มันจะมีส่วนช่วยเพิ่มพูนพลังชีวิต แต่ระยะเวลาใช้งานอาจไม่นาน อีกทั้งภายหลังใช้แล้ว พลังกายก็จะถดถอยไม่เบาทีเดียว

แต่ว่าในตอนนี้ ชายหนุ่มชุดดำไม่สนใจสิ่งใด เพราะเป้าหมายของเขาคือดาวเคราะห์เต๋า ในยามนี้หลังจากตีกลองครั้งที่เก้าสำเร็จ เขาก็พลันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า หลังจากมองไม่เห็นดาวเคราะห์เต๋า เขาก็หอบหายใจหยาบ ประกายตาพลันเปลี่ยนเป็นปรารถนาและบ้าคลั่งเหมือนชายหนุ่มสง่างามรายนั้นไม่ผิดเพี้ยน

“ครั้งที่สิบ!”

ยังมีแม่สาวกระพรวน ทางนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับนางแล้วการตีเก้าครั้งก็ถือว่าได้ใช้สุดพลังชีวิตและพลังฝึกปรือของนางแล้ว ในเวลานี้อวัยวะของนางทุกสรรพางค์ล้วนย่ำแย่ กระแสจิตโอนเอน กระทั่งกระพรวนชีวิตบนข้อมือของนางยังสั่นไหวไม่หยุด ค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายคือรอยแยกบนกระพรวนสามรอย สิ่งนี้ช่วยให้นางรับพลังสะท้อนจำนวนกว่าครึ่งได้ พอกล้ำกลืนให้นางยืนหยัดอยู่ไหว

นางหอบหายใจกระชั้นหยาบ หลังจากมองหาดาวเคราะห์เต๋าเช่นเดียวกับชายหนุ่มชุดดำแล้ว นัยน์ตานางก็ทอประกายคลุ้มคลั่ง

“ครั้งที่สิบ!!”

แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อก็อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกัน เขาพยายามปรับลมหายใจตนเอง ร่างกายสะท้าน แรงกระแทกครั้งที่เก้านั้นทำให้ร่างเขาแทบสลาย แต่พลังรากฐานอันมั่นคงหยั่งลึกอีกทั้งจิตวิญญาณของตัวเขาที่หนักแน่นมากกว่าคนอื่นๆ นั้น ยังทำให้ในเวลานี้เขายังมีพลังเหลืออยู่ ยังไม่ถึงขีดจำกัด

“ข้ายังทำได้!”

ทั้งสามคนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน สั่นสะท้อนไปทั้งลาน ทั้งผืนดิน ทั้งผืนฟ้า จากนั้นทั้งสามก็ระเบิดพลังออกมาอีกครั้ง ในเวลานั้นพวกเขาควงไม้กลองน้อมดารา มุ่งหมายจะตีกลองครั้งที่สิบให้ได้!

เสียงก้องสะท้อนฟ้า ในพริบตานั้นเองพลังที่แผ่ออกก็แทบจะพลิกทั้งจักรวรรดิดาวตกได้ ฟ้าดินเปลี่ยนสี พายุหมุนวน ราวกับนภากำลังเขย่าคลอน ผืนดินไหวรุนแรง ทั้งฝืนฟ้าในพริบตานี้ เห็นได้ว่ามีแสงดาวมากมายที่ส่องลงมาพลันแปรสภาพ ทุกแสงแห่งดวงดาราหม่นทึบ กระทั่งผืนฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นม่านราตรีดำสนิท!

จากสิ่งที่ชายหนุ่มผู้สง่างามเจอมาก่อนหน้า นี่ควรจะเป็นฉากก่อนดาวเคราะห์เต๋าปรากฏโฉม จังหวะนี้คนในจักรวรรดิดาวตกนับไม่ถ้วนต่างก็กลั้นลมหายใจ แหงนหน้ารอดู

เพียงแต่ชายหนุ่มชุดดำผู้นี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว เขาระอักเลือดออกมาไม่หยุด เส้นผมของเขากว่าครึ่งศีรษะพลันเปลี่ยนเป็นสีเทา ร่างกายทรุดลงกระแทกพื้น ส่วนไม้กลองน้อมดาราในมือนั้นหลุดจากการควบคุม แตกสลาย กระจายเป็นผลึกแสงระยิบระยับจางหายไป

ส่วนแม่สาวกระพรวนเองก็กระอักเลือดเช่นกัน สีหน้าของนางซีดทรมานเป็นที่สุด อีกทั้งร่างกายรู้สึกเหมือนถูกกระหน่ำซัดจนต้องถอยหลังไปร้อยลี้ แม้ตัวนางเองจะยังไม่ล้มลง ทว่ากระพรวนรอบข้อมือกลับปรากฏรอยแตกนับไม่ถ้วน หากถูกกระแทกอีกเพียงแค่คราเดียว มันคงจะสลายเป็นเศษผงไป ส่วนไม้กลองน้อมดาราในมือนั้นเหมือนจะรับพลังไว้ไม่อยู่ ใกล้จะสลายไปเหมือนเช่นของชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นแล้ว

แต่ก็ไม่รู้ว่านางใช้พลังเทพอันใด เห็นได้ว่านางพยายามใช้แขนทำบางสิ่ง ในพริบตาต่อมา เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาพร้อมกันกับพวกเขาแต่ไม่มีสิทธิ์ได้คุณสมบัติเข้ารอบทั้งสิ้นสิบกว่าคนในนครดาวตกนี้ ล้วนแล้วแต่ร่างกายสั่นสะท้าน เพียงชั่วอึดใจร่างกายพวกเขาก็แห้งเหี่ยว ถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด

เหมือนว่าพลังชีวิตเหล่านี้จะไม่พอด้วยซ้ำ ในเวลาถัดมา เสียงกรีดร้องของคนนับสิบก็ดังขึ้น สภาวะทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณของพวกเขาพังทลาย ร่างกายเหมือนถูกบางสิ่งที่ไร้รูปสูบกลืน แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากเหตุการณ์นี้ก็คือการที่แม่นางกระพรวนซึ่งอยู่ในสภาพตะเกียงขาดน้ำมันยังฝืนประคองไม้กลองน้อมดารามิให้หายไปได้!

เพียงแต่ว่ารอยร้าวบนกระพรวนนั้นเห็นชัดเต็มไปหมด นางอยู่ในสภาพที่ไม่อาจตีกลองต่อได้อีก เพียงแค่สามารถยั้งยืนอยู่ได้เท่านั้น แต่ว่าเมื่อเทียบกับชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้สง่างามแล้ว ก็เพียงพอจะตัดสินสูงต่ำได้ชัด!

“สุดท้ายแล้ว…” แม่สาวกระพรวนหอบหายใจอย่างลำบาก ในใจตื่นเต้นนัก ทว่าเมื่อพลันหันไปเห็นสภาพของหวังเป่าเล่อที่อยู่ห่างออกไป แรงตื่นเต้นที่นางมีก็พลันหดลีบลงทันที เพราะว่า…ไม้กลองของอีกฝ่ายยังไม่หายไปเหมือนกัน แถม ตัวหวังเป่าเล่อและไม้กลองนั้น แทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีรอยบิ่นหักแต่ใดเลยสักนิด

“เซี่ยต้าลู่!” สองตาของแม่สาวกระพรวนหดลีบ จิตสังหารพวยพุ่ง นางเห็นชัดเลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคือคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของตน

กล่าวไปแล้ว สำหรับการตีกลองครั้งที่สิบนี้ หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่านี่คือสุดกำลังของเขาแล้วเช่นกัน ร่างกายเขาแทบจะแหลกสลายกลายเป็นไอจากแรงสะท้อนของการตีครั้งที่สิบ จากนั้นในพริบตาถัดมา พลังแฝงในร่างของเขากลับก็สำแดงฤทธิ์ ผนวกกับพลังรวมศูนย์แห่งเกราะจักรพรรดิเข้าช่วย ก็พอจะทำให้ร่างกายที่เกือบแหลกสลายของเขาประกอบกำลังขึ้นใหม่อีกครั้งได้ ทั้งไม้กลองในมือเองก็ยังไม่สลายไปด้วย

ทว่า ความรู้สึกเหมือนตะเกียงใกล้สิ้นน้ำมันนี้ทวีความรุนแรงขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ตัวหวังเป่าเล่อที่แม้จะยังสามารถยืนอยู่ข้างกลองสู่สวรรค์ได้ แต่ร่างกายก็โงนเงน อยู่ในสภาพอ่อนแรงเป็นที่สุด จุดนี้หวังเป่าเล่อยังไม่ค่อยกังวล เพราะว่าเขายังไม่ทันได้ใช้ไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งก็คือพรสวรรค์ของวิญญาณจุติดวงดารา

“อีกอย่าง… หากร่างต้นตรงนี้หลอมรวมกับร่างปฐม เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษแห่งวิญญาณจุติดวงดาราเข้าช่วย ข้ายังสามารถตีกลองครั้งที่สิบเอ็ด ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ได้!” ในใจของเขาพึมพำ ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงดวงตาประสงค์ร้ายจากแม่สาวกระพรวน ดังนั้นเขาจึงหันไปมองพลางยิ้มท้าทายคราหนึ่ง

“เจ้า…” แม่สาวกระพรวนลมหายใจสะดุด กำลังจะเอ่ยปาก แต่ในยามนี้ ท้องฟ้ามืดทึบนั้นพลันปรากฏภาพอัสนีฟาดดังลั่น เสียงสายฟ้าผ่าครืนๆ แต่ละเส้นบิดเอน ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังแยกออก จากนั้นแสงระยิบจำนวนนับไม่ถ้วนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งเปรียบประดุจจักรพรรดิ ก็พลันปรากฏร่างโชติช่วงออกมาบนท้องฟ้าสูงลิบนั้น!

ดาวเคราะห์เต๋าก็ยังไม่ปรากฏร่างเต็มดวงเช่นเดิม เผยให้เห็นแค่เงาเลือนราง ทว่าท่าทางอันแสนยโสเหนือกว่าคนทุกผู้ยังคงทำให้ทุกคนที่มองเห็นนั้น ล้วนต้องก้มศีรษะให้

ดาวดวงนี้ ก็คือดาวเคราะห์เต๋า!

มันปรากฏร่างหลังเสียงที่สิบ จากมุมมองของมันบนท้องฟ้ามองลงมา ทุกคนก็เหมือนฝูงมด หลังมันแผ่แสงสว่างราวกับจะทอไล้ผืนดินแล้ว ลำแสงของมันก็จับศูนย์ไปยังชายหนุ่มชุดดำรวมถึงบนร่างของแม่สาวกระพรวน ราวกับกำลังตรวจพิจารณาพวกเขาอยู่

เมื่อถูกแสงดาวจับจ้อง ดวงตาของชายหนุ่มชุดดำก็ส่องสว่างรุนแรง เขาพยายามยันร่างขึ้นมองดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า คำรามเสียงทุ้มด้วยแรงทั้งหมด

“โปรดหลอมรวมกับข้า ได้โปรดเป็นดาวเคราะห์ของข้า ข้าจะพาท่านบุกตะลุยข้ามจักรพิภพ ใช้การเข่นฆ่าเบิกเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ให้เสียชื่อดาวเคราะห์เต๋าของท่าน!”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกไป ดาวเคราะห์เต๋าหนึ่งเดียวบนฟ้าแห่งนี้เหมือนจะทอประกายแสงแรงขึ้นส่วนหนึ่ง ภาพร่างที่เรือนลางเหมือนจะปรากฏชัดขึ้นไม่น้อย ราวกับถูกคำพูดของชายหนุ่มชุดดำกระตุ้นความปรารถนาบางอย่าง

และในตอนนี้เอง แม่สาวกระพรวนที่อยู่ข้างๆ ก็พลันแหงนหน้ามองดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า จากนั้นนางก็คุกเข่าลง

ระหว่างที่คุกเข่านั้น นางแหงนหน้าขึ้นมองมันด้วยสีหน้าแสดงความซื่อสัตย์ภักดี น้อมตัวคำนับไปทางดาวเคราะห์เต๋า

“หากเลือกหลอมรวมกับข้า ข้าจะให้ท่านเป็นนาย ส่วนข้าเป็นรอง ช่วยกรุยทางเพื่อเกียรติยศของท่าน สร้างชื่อดาวเคราะห์เต๋า!”

เมื่อแม่สาวกระพรวนเอ่ยจบ แสงแห่งดาวเคราะห์เต๋านั้นสว่างโร่เจิดจ้าที่สุดเท่าที่มีมาในพริบตา แสงนี้ส่องสว่างกระจ่างหล้า แม้จะยังไม่ปรากฏตัวทั้งหมด แม้ร่างของมันยังอยู่ในสภาพมายาเลือนราง แต่คลื่นแห่งเจตนารมณ์นี้ ก็เหมือนจะประจักษ์ชัดเจน!

ฉากนี้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มชุดดำเปลี่ยนสี ดวงตานั้นแทบไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้สง่างามข้างกายเขานั้น ถึงกับหันหน้าไปมองแม่สาวกระพรวนในทันที

กระทั่งเหล่ากระดาษรูปมนุษย์จากทุกสารทิศในลานนี้เองก็หน้าเปลี่ยนสี พวกเขาหันไปมองแม่สาวกระพรวนพร้อมกัน รวมถึงตัวจักรพรรดิดาวตกเองด้วย ในพริบตานั้นดวงตาของเขาก็เผยแววคมปลาบขึ้นมา

“พวกเราเหล่าผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใด ย่อมต้องมีเส้นแบ่งและหลักการ หลอมรวมดาราฝึกปรือ แน่นอนว่าดาวเป็นรอง พวกเราเป็นนาย แม้กระทั่งดาวเคราะห์เต๋า ก็ไม่อาจยกเว้น จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” จักรพรรดิดาวตกส่ายหน้า ใครที่กล่าววาจาเช่นนี้ออกมา หากเป็นคนของจักรวรรดิเขาเอง เขาย่อมจะลงโทษให้หนัก แต่ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนจากต่างพิภพ เขาก็คร้านจะใส่ใจ แล้วดวงตาคมปลาบนั้นเปลี่ยนเป็นแววเหยียดหยาม

การเลือกของดาวเคราะห์เต๋า เหมือนจะไม่ได้สำแดงอะไรพิเศษมากนัก ในตอนนี้แสงของมันเจิดจ้า จนแทบจะระเบิดพร่างเมื่อมองด้วยตาเปล่า แสงที่เดิมทีส่องลงมากระทบชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้ผู้สง่างาม บัดนี้ได้หายไปสิ้น เหลือแต่แสงที่รวมอยู่ตรงร่างแม่สาวกระพรวนเท่านั้น

ในส่วนของหวังเป่าเล่อ… มันมองเขาเหมือนคนผ่านทางก็ไม่ปาน จนกระทั่งถึงบัดนี้ มันก็ยังคงเลือกที่จะไม่เหลือบแล

ความรู้สึกนี้ สำหรับผู้อื่นคงเป็นการกระทบกระทั่งครั้งใหญ่ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรกที่ดาวเคราะห์เต๋าทำเช่นนี้กับเขา แม้จะมีสีหน้าไม่สู้ดีให้เห็นบ้าง แต่เขาก็ก้มหน้ามองดูไม้กลองน้อมดาราในมือ หวังเป่าเล่อพลันยกมุมปากขึ้น แหงนหน้า แล้วประกายครุ่นคิดยึดติดในดวงตาก็สลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม

“นี่ ข้ายังตีกลองไม่จบนะ!”

……………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset