หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 552 ต่างคนต่างเตรียมตัว!

แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะแก้ไขปัญหาเรื่องข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อได้สำเร็จ แต่นางก็ยังกลุ้มใจไม่หาย ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อเสนอของนาง นางเองก็ยังตกที่นั่งลำบากอยู่ดี

แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อได้รับการยอมรับ ก็เท่ากับว่าจะไม่เหลือทางออกสำหรับนาง เพราะฉะนั้น ข้อเสนอล่าสุดของนางที่ให้คนหกร้อยคนมาประลองกันจึงเป็นทางที่ดีที่สุดที่นางจะคิดได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้

กระแสความคิดวิ่งวนอยู่ในใจขณะที่เฟิ่งชิวหรันพยายามวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของสถานการณ์ หญิงสาวยังคิดไปถึงว่าจะมีวิธีใดบ้างที่ผลักดันให้สถานการณ์ไปอยู่ในจุดที่นางได้เปรียบ

แต่เป็นที่แน่ชัดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อไม่ยอมให้เวลาเฟิ่งชิวหรันได้คิดไปมากกว่านี้ เมื่อเขาแค่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วก็เปลี่ยนเรื่องหนีจากเรื่องใบต้นเฟิงซิ่นไปคุยเรื่องที่สองต่อทันที!

“ข้ายังไม่เห็นด้วยกับการต้อนรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง พวกเขาไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ กับเราเลย ทั้งในแง่ความสามารถหรือปัจจัยอื่นใด การมาอยู่บนสำนักวังเต๋าไพศาลของพวกเขาเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอันจำกัดโดยใช่เหตุ!”

“ทรัพยากรเหล่านั้นควรจะนำไปให้บรรดาศิษย์ที่มีความสามารถมากกว่าพวกเขาจะเหมาะควรกว่า!” เมี่ยเลี่ยจื่อพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่เฟิ่งชิวหรันไม่อาจเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนั้นได้ นางพูดออกมาหลังจากหัวเราะเสียงเย็น

“บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐสามารถพัฒนาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่มากล้นในตัวพวกเขา ขณะเดียวกัน ปริมาณประชากรของสหพันธรัฐก็มีมากกว่า แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเริ่มฝึกปราณ แต่พวกเขาก็จะเจริญเติบโตไปจนถึงจุดที่จะเป็นประโยชน์แก่เราในไม่ช้าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้พวกเราตัดสินใจไปนานแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองจะมาที่นี่ตามที่เราได้ตกลงกันไว้แน่นอน!”

“เฟิ่งชิวหรัน!” เมี่ยเลี่ยจื่อค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของเขาถูกปลดปล่อยออกมาในบัดดล สายตามีความโหดร้ายฉาบเคลือบอยู่ ดูราวกับว่าเขาพร้อมจะจู่โจมนางหากได้ยินสิ่งที่ไม่เห็นด้วยอีกครั้ง

แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะมีนิสัยโอนอ่อน แต่นางก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่มีอยู่แต่เดิม อย่างไรเสียสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอุปสรรคให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างนางและสหพันธรัฐเท่านั้น แต่จะเท่ากับเป็นการทำลายสถานะพันธมิตรลงโดยสิ้นเชิง ดังนั้นพลังปราณของนางก็ถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน รัศมีของนางแผ่ซ่านออกมาขณะที่แววตาเยือกเย็นปรากฏให้เห็น

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองต่างก็เลือดร้อนไม่แพ้กัน ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันจึงผุดลุดขึ้นยืนตรงกลางระหว่างทั้งคู่ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขื่นๆ พลางส่ายศีรษะดิก

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว พวกเจ้าทั้งคู่ ศิษย์น้องชิวหรัน เอาอย่างนี้เป็นไร หากเจ้าคิดว่าพวกเด็กจากสหพันธรัฐทำได้ดี เช่นนั้นมาลองดูผลงานของพวกเขาในการประลองครั้งนี้สักหน่อยดีหรือไม่

“พวกเราตัดสินใจไปแล้วว่าจะมีผู้ฝึกตนเข้าร่วมการประลองทั้งสิ้นหกร้อยคน แม้ว่าจะมีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ แต่ข้าก็จำได้ว่าในบรรดาพันธุ์กล้าเองก็มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้นก็ ให้พวกเขาเข้าร่วมด้วย หากใครสักคนสามารถชนะได้ตราประจำตัวไปครอง ก็แปลว่าพวกเขายังมีคุณค่าอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วเราก็จะอนุญาตให้พันธุ์กล้ารุ่นที่สองขึ้นมาได้!

“แต่หากพวกเขาทำไม่ได้เลย…ศิษย์น้องชิวหรัน ไม่นานมานี้ มีคนจำนวนมากมาบอกข้าว่าพวกเขาเริ่มไม่มั่นใจในตัวเจ้า พอข้ามาคิดดูแล้ว ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าจุดยืนของศิษย์น้องเมี่ยเลี่ยจื่อเองก็อาจไม่ได้ผิดนัก” เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เฟิ่งชิวหรันก็ถึงกับตกตะลึง หัวใจหยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาของนางหดแคบเมื่อมองไปทางศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน

จากการหารือกันเรื่องแรก นางก็รู้สึกได้แล้วว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นเอนเอียงไปทางเมี่ยเลี่ยจื่อ มาบัดนี้ ในเรื่องที่สอง แม้ว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะพูดราวกับพยายามปรองดอง แต่ความหมายภายใต้คำพูดของเขาก็ส่งสัญญาณว่าเขากำลังเข้าข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ!

เมี่ยเลี่ยจื่อฉีกยิ้มและไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ทั้งคู่หันไปมองเฟิ่งชิวหรันเป็นตาเดียว

โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบสงัด เฟิ่งชิวหรันรู้สึกขมขื่นในใจ นางอยากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่แต่ก็จนปัญญา…

สามวันต่อมา คำสั่งที่บรรดาศิษย์ต่างรอคอยอยู่แต่ก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นก็ถูกประกาศออกมาจากโถงหลักโดยตรง

“การทดสอบจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง ผู้ฝึกตนสามอันดับแรกจะได้รับใบเฟิงซิ่นคนละหนึ่งใบ!”

เมื่อข่าวนั้นแพร่ออกไป ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนเป็นการใหญ่ ทุกคนต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปมาหวังจะได้รับรายละเอียดเพิ่มเติม บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐก็ทุ่มเถียงกันเป็นการใหญ่ หวังเป่าเล่อเองก็ให้ความสนใจใบไม้ทั้งสามอยู่เช่นกัน หลังจากที่ได้รู้ว่าผลไม้แห้งเหี่ยวในความครอบครองของเขาคือผมของต้นเฟิงซิ่น

ชายหนุ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้รับข่าวจากสำนัก เขากลับมาเปิดห้องสนทนากลุ่มและอ่านข้อความในนั้น แถมยังติดต่ออวิ๋นเพียวจื่อไปเพื่อขอรายละเอียดอีกด้วย

ในฐานะผู้ฝึกตนท้องถิ่นของสำนักวังเต๋าไพศาล ผนวกเข้ากับภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ทำให้อวิ๋นเพียวจื่อรู้เรื่องต่างๆ มากกว่าคนจากสหพันธรัฐไม่น้อย หากเป็นใครคนอื่นมาถาม เขาก็คงไม่บอก แต่เมื่อเป็นหวังเป่าเล่อ อวิ๋นเพียวจื่อจึงบอกอีกฝ่ายจนหมดไส้หมดพุง

“ครั้งนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามจะส่งตัวแทนไปคนละสองร้อยคนเพื่อเข้ารับการทดสอบ การแข่งขันจะต้องเข้มข้นมากแน่นอนเพราะทุกคนล้วนต้องอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเป็นอย่างน้อย แต่ไม่มีการกำหนดระดับของขั้นกำเนิดแก่นในเอาไว้ แปลว่าในการแข่งขันครั้งนี้จะมีทั้งผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นไปจนถึงชั้นปลาย!”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“แล้วจุดประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้คืออะไร”

อวิ๋นเพียวจื่อหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะส่งข้อความเสียงมาอีกครั้ง

“จุดประสงค์น่ะหรือ ไม่มีหรอก ศิษย์ส่วนมากไม่มีโอกาสผ่านการทดสอบได้เลย ดังนั้นในแง่หนึ่ง การทดสอบนี้จึงไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ข้าเดาว่าทุกอย่างคงมีการตัดสินใจกันไปแล้วอย่างลับๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็แค่ไปร่วมเป็นฉากหน้าของการแสดงเท่านั้นเอง”

“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ความอยุติธรรมนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามยังได้ตระเตรียมทางเลือกเอาไว้อีก ส่วนรายละเอียดนั้นจะประกาศในวันทดสอบ”

อวิ๋นเพียวจื่อรู้เพียงเท่านี้ เขาไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ หวังเป่าเล่อส่งข้อความเสียงไปถึงเซี่ยไห่หยางด้วยและได้รับคำตอบเดียวกัน เซี่ยไห่หยางไม่รู้รายละเอียดเรื่องการยุติความอยุติธรรมแต่อย่างใด แถมยังเรียกค่าใช้จ่ายมาจำนวนมากอีกด้วย

แม้ว่าเขาจะลดให้หวังเป่าเล่อเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่ว่าเคยทำการค้าด้วยกันมามาก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าเซี่ยไห่หยางนั้นละโมบเกินไปจึงได้ตอบปฏิเสธ

“ห้าหมื่นแต้มการรบเพื่อข่าวชิ้นเดียวน่ะหรือ…ขูดรีดกันชัดๆ!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ขณะที่วางแหวนสื่อสารลง ชายหนุ่มทำใจจ่ายไม่ลง เพราะอย่างไรเสีย ข้อมูลนี้ก็จะถูกเปิดเผยออกมาหากรออีกเพียงเจ็ดวัน

แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบหากได้รู้ล่วงหน้า แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าไม่คุ้ม ดังนั้นเขาจึงหันความสนใจมายังเฟิ่งชิวหรันแทน คิดว่าทำอย่างไรจึงจะไปพบนางได้ อย่างไรเสียเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ภายใต้การนำของนาง หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและก็ควรจะได้อยู่ในตัวแทนสองร้อยคนนั้นด้วย

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เฟิ่งชิวหรันอยู่ในถ้ำที่พักของนาง กำลังรู้สึกสิ้นหวัง นางไม่มีความสุขมากหลายวันแล้ว เพราะการร่วมมือกันระหว่างศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกับเมี่ยเลี่ยจื่อในครั้งนี้ทำให้นางไม่มีทางต่อต้าน หลังจากมาคิดทบทวนสถานการณ์โดยละเอียดแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อได้เปรียบอยู่ตลอดในการเจรจาต่อรองครั้งนั้น

ขณะนี้มีปัญหาใหญ่สำหรับนาง หากนางต้องการรักษาความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐไว้ หนึ่งในศิษย์จากสหพันธรัฐก็ควรจะได้รับใบเฟิงซิ่น

แต่มีความท้าทายในเรื่องนี้อยู่สองประการ ประการแรกคือบรรดาผู้ติดตามของนางอาจไม่พอใจมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้มีคนเอาใจออกหากขึ้นไปอีก ไหนจะปัญหาประการที่สองที่สำคัญอย่างยิ่ง…นั่นคือการที่คนจากสหพันธรัฐจะได้รับใบไม้นั้นเป็นเรื่องยากแสนยาก

แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะเชื่อมั่นในฝีมือของสหพันธรัฐมากเพียงใด แต่สิ่งที่นางเชื่อมั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มิใช่สภาพปัจจุบันของพวกเขา ในความเป็นจริงแล้ว นางคิดว่า ณ เวลานี้ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐยังไม่อาจเทียบผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลได้ จากการคาดคะเนของนาง ไม่น่าจะมีใครติดหนึ่งในสามจากผู้ฝึกตนหกร้อยคนได้เลย!

เพราะอย่างไรเสีย ในกลุ่มนี้ก็ยังมีศิษย์เอกอีกหลายคน ความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเขาที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐจะรับมือได้

ดังนั้น เพื่อจะทำประการที่สองให้สำเร็จผล หญิงสาวจึงจำเป็นต้องให้ศิษย์เอกของนางยอมแพ้…เมื่อคิดเช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็ทอดถอนใจ ก่อนจะมองไปยังปากทางเข้าถ้ำที่พักของนางเอง ในไม่นานนัก เสียงทักทายก็ดังมาจากหน้าถ้ำ ผู้ฝึกตนสองคนเดินเข้ามา

ทั้งคู่อายุยังน้อย คนหนึ่งเป็นชายที่สะสวยราวสตรี เขาแสดงท่าทีสง่างามและอ่อนโยนออกมา หากชายหนุ่มถือพัดอยู่ในมือแล้วละก็ จะต้องดูเหมือนนายน้อยอย่างแน่นอน หลังเข้ามาในถ้ำที่พัก ชายหนุ่มก็ยกมือคำนับเฟิ่งชิวหรันทันที

“ศิษย์เอกสวีหมิงคารวะอาจารย์”

“ศิษย์เอกลู่อวิ๋นคารวะอาจารย์!” อีกคนหนึ่งดูอาวุโสกว่าและแข็งแกร่งกว่าในเชิงกายภาพ สายตามุ่งมั่นราวขุนเขา กระทั่งซุ่มเสียงของเขายังฟังดูมีพลัง

เมื่อมองเห็นทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันก็มีรอยยิ้มออกมา ทั้งคู่เป็นศิษย์ที่นางโปรดปรานที่สุด ทั้งยังเป็นศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในชื่อดังของสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้!

เรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่นางฝากความหวังไว้มากที่สุดในบรรดาศิษย์ของนางทุกคน!

“หมิงเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ามีงานให้เจ้าทั้งสองคนทำ!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset