หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 993 เสาะหากองทัพทำสงคราม!

พื้นพสุธาดังสนั่นหวั่นไหว สร้างรอยร้าวขึ้นบนแผ่นดินดาวอังคารอย่างฉับพลัน รอยแตกระแหงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ใจกลางของมันคือ…นครดาวอังคารใหม่!

แม้จะมองจากท้องฟ้าก็สามารถเห็นแผ่นดินที่มีนครดาวอังคารใหม่เป็นศูนย์กลางได้ ขณะนี้ บริเวณที่แตกขยายเป็นวงกว้างไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวอังคารในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม การแตกกระจายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พื้นดินพังทลาย แม้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารจะรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน อีกทั้งไม่ได้ทำร้ายใครแม้แต่น้อย

ทว่ากลับมีเส้นสายพลังลมปราณสีดำจำนวนหนึ่ง เกิดขึ้นทันทีจากในรอยแยกของดาวอังคาร พุ่งตรงไปยังจักรวาล เมื่อพินิจดูใกล้ๆ จะพบว่ามีอนุภาคเล็กละเอียดในสายหมอกเหล่านี้จำนวนมาก

ท่ามกลางจิตใจที่สั่นไหวของผู้คนบนดาวอังคาร พวกเขาแลเห็นสายหมอกและอนุภาคผสานกันอยู่กลางอากาศ จนสุดท้ายได้ก่อตัวเป็นพายุ แผ่ซ่านไอสังหาร หลังทะยานสู่อวกาศกลายเป็นสายธารที่ทอดยาว มันก็พุ่งตรงไปยังปลายกระบี่สำริดโบราณ

มันเคลื่อนตัวได้อย่างว่องไว ในชั่วพริบตา…ก็พุ่งมารวมกันตรงปลายกระบี่สำริดโบราณ ทันทีที่มาถึง เสียงแซ่ซ้องดังก้องในใจของหวังเป่าเล่อ สายหมอกและอนุภาคเหล่านั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเรือที่…เหมือนจะไม่ใหญ่นัก เรือเดียวดายที่นั่งได้เพียงคนเดียว!

ยิ่งไปกว่านั้นเรือเดียวดายลำนี้ มาพร้อมกับการผสานของอนุภาคที่เหลือของมัน ก่อตัวเป็นชุดคลุมสีดำครอบศีรษะตัวหนึ่ง และไม้พายตะเกียงมายาที่ห้อยส่องแสงอยู่!

ต่อมาปรากฏว่า รัศมีของอาวุธเทพที่เหนือกว่ากริชเหาะเหินโลหิตของสหพันธรัฐ รวมถึงชุดคลุมสีดำนี้และตะเกียงบนเรือเดียวดายนั้น กลับระเบิดออกดังกึกก้อง

มันคือวัตถุเวทแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด!

แม้ว่าระดับของมันจะไม่ดีเท่ากระบี่สำริดโบราณ และก็ยังห่างชั้นกันอยู่ อีกทั้งความห่างชั้นนั้นใหญ่มากจนหวังเป่าเล่อไม่อาจมองข้ามได้ ทว่า…หากเป็นเขาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้วละก็ ภายใต้การควบคุมนี้ แม้จะยังไม่สามารถสั่นคลอนกระบี่สำริดโบราณได้มากนัก แต่คงทะลวงเข้าสู่วงแหวนปราณของมันได้ ในไม่ช้าก็จะคุกคามผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งวังเต๋าไพศาลคนนั้นเข้าจนได้!

นี่ก็คือ…การสกัดกั้นของหวังเป่าเล่อ

ก่อนอื่นเขาจะขยายเกราะกำบังที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ตน จากนั้นจะสั่นคลอนกระบี่โบราณด้วยฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วบอกอีกฝ่ายว่าเขาไม่สามารถจัดการแทรกแซงได้ ในเวลาเดียวกันจะให้แม่นางน้อยปรากฏตัวเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เดิมที่ตัวเองมีกับวังเต๋าไพศาล ซึ่งไม่ควรใช้สงครามแก้ปัญหา!

หลังจากนั้น เขาจะเรียกวัตถุเวทแห่งความมืดให้มาปรากฏตัว พร้อมดำเนินการคุกคามครั้งสุดท้าย แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็แสดงออกมาอย่างขัดเจน นั่นคือ…หวังเป่าเล่อคนนี้ครอบครองผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่รักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้ ทำได้แค่ทำร้ายหรือสังหารเท่านั้น

ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความสั่นสะพรึงของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สาม ด้วยแรงปะทะที่ซัดมาเป็นระลอก ส่งผลให้ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง ทั่วทั้งร่างสงบนิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นความจริงที่ว่าไม่ว่าเขาจะชั่งน้ำหนักเท่าไร ก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำให้แย่ไปมากกว่านี้ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงนัก

นี่ทำให้เขาต้องให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อมากขึ้น ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มดารานิรันดร์ผู้นั้น ที่บัดนี้สีหน้าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมๆ กับลมหายใจถี่ระรัว แววตาของเขายังคงตื่นตระหนก เขาไม่ได้โง่จนไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะเหตุนี้เขาจึงกำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยจิตใจที่สั่นสะพรึง

ทว่าก่อนที่คำพูดของเขาจะได้เอื้อนเอ่ยออกไป นัยน์ตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สามก็ได้เผยความมาดมั่น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถยั่วยุปรมาจารย์แห่งไฟได้ แต่เขายังมีเกราะป้องกันของกระบี่สำริดโบราณ อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็สามารถสั่นคลอนกระบี่โบราณได้ สิ่งนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไหนจะวัตถุเวทแห่งความมืดสุดพิสดารที่โผล่มา รวมถึง…ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมีภูมิหลังอันน่าสะพรึงกลัว

ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักอีกต่อไป ดังนั้นในเวลาต่อมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมา ยกมือขวาขึ้นโบกสะบัดพร้อมทั้งแผดเสียงคำราม ทันใดนั้นแรงกดดันมหาศาลก็พุ่งตรงมายังชายหนุ่มดารานิรันดร์

ส่งผลให้ชายหนุ่มกระอักเลือดและกรีดร้องออกมา

“ปรมาจารย์…”

“หุบปาก!” สิ้นเสียงคำพูดผะแผ่วของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้น ชายหนุ่มดารานิรันดร์ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ตัวเขาที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บซ้ำซ้อน ส่งผลให้การฟื้นตัวของเขาในหลายปีก่อนหน้านี้เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ขณะที่ทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้ม เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะฉายสายตาอาฆาตแค้น คนที่ทั้งร่างกายและวิญญาณอ่อนเพลียอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนเคยสลบไสลไปนาน แม้ว่าจะสามารถค่อยๆ ฟื้นตัวได้เมื่ออยู่บนแท่นสังเวยนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะฟื้นคืนสู่การฝึกตนขั้นต้น เว้นเสียแต่จะมีความโชคดีอื่นๆ หากอยากฟื้นตัวเต็มที่…เกรงว่าคงใช้เวลานับพันปี

เมื่อเป็นเช่นนั้น สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยลำดับสาม จึงจับจ้องไปยังตัวหวังเป่าเล่อซึ่งกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ในตอนนี้ เขาพยายามระงับความโกรธแค้นชิงชังบนใบหน้า แล้วคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ขอทำความเคารพศิษย์พี่ ขอบคุณศิษย์พี่ทำให้ความยุติธรรมขอรับ!”

ก้นบึ้งจิตใจผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก เขาพ่นลมออกจมูกด้วยความขุ่นเคือง อดไม่ได้ที่จะมองไปยังธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักตัวเองที่อยู่ด้านข้าง แล้วแววตาจึงอ่อนลง เมื่อกำลังจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เปล่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ศิษย์น้องนับถือในสติปัญญาของศิษย์พี่ และยิ่งเลื่อมใสศิษย์พี่ในการยึดถือคุณธรรม ในขณะเดียวกันตัวข้าก็เคยได้รับความกรุณาจากวังเต๋าไพศาล อีกทั้งเต็มใจอุทิศตนเพื่อเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ศิษย์พี่ร่วมสำนักฝึกตน ฉะนั้น…ศิยย์น้องจึงวางแผนที่จะจัดงานใหญ่หลังจากนี้ภายในเวลาหนึ่งเดือนขอรับ ท่านปรมาจารย์แห่งไฟของข้าต้องการให้มีหนึ่งดาราจักรแห่งอารยธรรมดารานิรันดร์มาเข้าร่วมในระบบสุริยะด้วย!”

“ด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่จะได้บ่มเพาะฟื้นฟูพลังปราณไปพร้อมๆ กัน ซ้ำยังช่วยยกระดับอารยธรรมระบบสุริยะของข้าอีก!”

เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวออกมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งสำนักเต๋าที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้วก็ตาเบิกโพลงขึ้นทันควัน พลันหันไปมองหวังเป่าเล่อทันที

“เจ้าต้องการรวมดาราจักรแห่งอารยธรรมมาไว้ด้วยกันอย่างนั้นรึ?”

หวังเป่าเล่าพยักหน้านิ่งๆ

“นี่เป็นเพียงขั้นแรกขอรับ ต่อไปศิษย์น้องยังมีแผนที่จะดึงดารานิรันดร์มารวมเข้ากับระบบสุริยะอีกมาก เพื่อให้การฝึกตนของศิษย์พี่คนอื่นๆ ฟื้นคืนรวดเร็วยิ่งขึ้น!”

หวังเป่าเล่อแย้มรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าในใจลึกๆ ของเขากลับนิ่งเฉย เขารู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจริงๆ แล้วอาจไม่ได้เป็นศัตรู ความเกลียดชังระหว่างอีกฝ่ายกับตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้ตัวเขากลายเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยาย

ถึงแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นคงจะไม่ใช่พันธมิตร แต่เป็นผู้ถูกกดขี่

ดังนั้นเขาจึงต้องวางท่า เพราะหากเขาสามารถเป็นพันธมิตรที่ทัดเทียมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้จริง มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสหพันธรัฐ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้วิธีที่จะเจรจากับผู้คน ถ้าต้องการบรรลุเป้าหมายบางอย่าง จำเป็นต้องแลกบางสิ่งเพื่อกระตุ้นจิตใจอีกฝ่าย ซึ่งอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สั่นคลอนผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ได้ แต่หวังเป่าเล่อลองคิดไปคิดมา สิ่งที่จะช่วยได้คือการรวมกับอารยธรรมดวงเนตรสววรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถทำการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้

ถ้าเขาเสนอของกำนัลที่ว่านี้ตั้งแต่แรก ผลย่อมไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะสถานะของพวกมันไม่เท่ากัน หากเขาใช้สิ่งนี้บีบคั้นเพื่อจะลงทัณฑ์ดารานิรันดร์ ก็จะส่งผลเสียตามมาอยู่ดี

ดังนั้นทันทีที่เขาปรากฏตัว จึงได้สังหารศิษย์พี่เต๋ออวิ๋นจื่อด้วยพลังที่เหนือชั้น จากนั้นก็แสดงทักษะนักฆ่าด้วยความอุกอาจ เพื่อที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพจะลงทัณฑ์ชายหนุ่มดารานิรันดร์

จนถึงตอนนี้ เขาได้รับสถานภาพที่ทัดเทียมกันในระดับหนึ่งแล้ว ทันทีที่อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาก็จะทำทีเสนอของกำนัลชิ้นใหญ่แบบนี้ให้ ห้าวก่อนแล้วขอขมาทีหลังแบบนี้ ปัญหาที่โผล่ขึ้นมาในมือก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายด้วยความชำนาญของเขา

ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งอยู่บนแท่นสังเวยย่อมหยั่งรู้ได้ทันที ทำให้สายตายามที่เขามองหวังเป่าเล่อนั้นล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าจุดสำคัญในการรวมดารานิรันดร์ของอีกฝ่าย คือการยกระดับอารยธรรม ณ ที่แห่งนี้ แต่เขาต้องยอมรับว่าเมื่อยกระดับอารยธรรมในระบบสุริยะให้สูงขึ้น เขาและคนอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์มากมายจากการฟื้นฟูการฝึกตนของพวกเขาเช่นกัน

คำพูดสุดท้ายของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาอุ่นใจมากไปพร้อมๆ กัน เมื่อใดที่อีกฝ่ายสามารถยกระดับความเจริญรุ่งเรืองของสหพันธรัฐได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ดารานิรันดร์แข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นหลังจากเงียบไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จักพิภพผู้นั้นก็ทอดสายตาไปที่หวังเป่าเล่อด้วยท่าทีที่สงบลง แล้วพยักหน้า

“ขอบคุณมากสหายหนุ่ม ชิงหลิงจื่อช่างไร้ไหวพริบจนเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำลายพันธมิตรระหว่างวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขามีความผิดจริงในเรื่องนี้ วังเต๋ากับสหพันธรัฐไม่ควรเป็นปรปักษ์กัน เพราะเรามีศัตรูร่วมกัน…” พูดถึงตรงนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ก็เหลือบมองวัตถุเวทแห่งความมืดด้านนอก พลันตระหนักได้ว่าดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาเอาอาวุธเวทนี้ออกมาด้วยพลังลมปราณของสำนักแห่งความมืด จุดประสงค์ก็เพื่อเตือนตัวเองว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดและศัตรูของทุกฝ่าย…คือคนเดียวกัน!

“ช่างเป็นผู้ฝึกตนที่มีความรอบคอบ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนี้…” เมื่อนึกถึงศิษย์รุ่นน้องของวังเต๋าไพศาลของตัวเอง ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่ออีกครั้ง

“จากนี้ไป วังเต๋าไพศาลจะไม่ยุ่งกับกิจการภายในใดๆ ของสหพันธรัฐ จะข้องเกี่ยวกันที่การฝึกตนเท่านั้น และเมื่อศัตรูต่างถิ่นบุกเข้ามา ก็จะรวมตัวกับภายนอก เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน!

“ขอบคุณขอรับศิษย์พี่” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคารวะด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง

…………………………………….

พื้นพสุธาดังสนั่นหวั่นไหว สร้างรอยร้าวขึ้นบนแผ่นดินดาวอังคารอย่างฉับพลัน รอยแตกระแหงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ใจกลางของมันคือ…นครดาวอังคารใหม่!

แม้จะมองจากท้องฟ้าก็สามารถเห็นแผ่นดินที่มีนครดาวอังคารใหม่เป็นศูนย์กลางได้ ขณะนี้ บริเวณที่แตกขยายเป็นวงกว้างไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวอังคารในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม การแตกกระจายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พื้นดินพังทลาย แม้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารจะรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน อีกทั้งไม่ได้ทำร้ายใครแม้แต่น้อย

ทว่ากลับมีเส้นสายพลังลมปราณสีดำจำนวนหนึ่ง เกิดขึ้นทันทีจากในรอยแยกของดาวอังคาร พุ่งตรงไปยังจักรวาล เมื่อพินิจดูใกล้ๆ จะพบว่ามีอนุภาคเล็กละเอียดในสายหมอกเหล่านี้จำนวนมาก

ท่ามกลางจิตใจที่สั่นไหวของผู้คนบนดาวอังคาร พวกเขาแลเห็นสายหมอกและอนุภาคผสานกันอยู่กลางอากาศ จนสุดท้ายได้ก่อตัวเป็นพายุ แผ่ซ่านไอสังหาร หลังทะยานสู่อวกาศกลายเป็นสายธารที่ทอดยาว มันก็พุ่งตรงไปยังปลายกระบี่สำริดโบราณ

มันเคลื่อนตัวได้อย่างว่องไว ในชั่วพริบตา…ก็พุ่งมารวมกันตรงปลายกระบี่สำริดโบราณ ทันทีที่มาถึง เสียงแซ่ซ้องดังก้องในใจของหวังเป่าเล่อ สายหมอกและอนุภาคเหล่านั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเรือที่…เหมือนจะไม่ใหญ่นัก เรือเดียวดายที่นั่งได้เพียงคนเดียว!

ยิ่งไปกว่านั้นเรือเดียวดายลำนี้ มาพร้อมกับการผสานของอนุภาคที่เหลือของมัน ก่อตัวเป็นชุดคลุมสีดำครอบศีรษะตัวหนึ่ง และไม้พายตะเกียงมายาที่ห้อยส่องแสงอยู่!

ต่อมาปรากฏว่า รัศมีของอาวุธเทพที่เหนือกว่ากริชเหาะเหินโลหิตของสหพันธรัฐ รวมถึงชุดคลุมสีดำนี้และตะเกียงบนเรือเดียวดายนั้น กลับระเบิดออกดังกึกก้อง

มันคือวัตถุเวทแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด!

แม้ว่าระดับของมันจะไม่ดีเท่ากระบี่สำริดโบราณ และก็ยังห่างชั้นกันอยู่ อีกทั้งความห่างชั้นนั้นใหญ่มากจนหวังเป่าเล่อไม่อาจมองข้ามได้ ทว่า…หากเป็นเขาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้วละก็ ภายใต้การควบคุมนี้ แม้จะยังไม่สามารถสั่นคลอนกระบี่สำริดโบราณได้มากนัก แต่คงทะลวงเข้าสู่วงแหวนปราณของมันได้ ในไม่ช้าก็จะคุกคามผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งวังเต๋าไพศาลคนนั้นเข้าจนได้!

นี่ก็คือ…การสกัดกั้นของหวังเป่าเล่อ

ก่อนอื่นเขาจะขยายเกราะกำบังที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ตน จากนั้นจะสั่นคลอนกระบี่โบราณด้วยฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วบอกอีกฝ่ายว่าเขาไม่สามารถจัดการแทรกแซงได้ ในเวลาเดียวกันจะให้แม่นางน้อยปรากฏตัวเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เดิมที่ตัวเองมีกับวังเต๋าไพศาล ซึ่งไม่ควรใช้สงครามแก้ปัญหา!

หลังจากนั้น เขาจะเรียกวัตถุเวทแห่งความมืดให้มาปรากฏตัว พร้อมดำเนินการคุกคามครั้งสุดท้าย แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็แสดงออกมาอย่างขัดเจน นั่นคือ…หวังเป่าเล่อคนนี้ครอบครองผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่รักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้ ทำได้แค่ทำร้ายหรือสังหารเท่านั้น

ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความสั่นสะพรึงของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สาม ด้วยแรงปะทะที่ซัดมาเป็นระลอก ส่งผลให้ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง ทั่วทั้งร่างสงบนิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นความจริงที่ว่าไม่ว่าเขาจะชั่งน้ำหนักเท่าไร ก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำให้แย่ไปมากกว่านี้ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงนัก

นี่ทำให้เขาต้องให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อมากขึ้น ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มดารานิรันดร์ผู้นั้น ที่บัดนี้สีหน้าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมๆ กับลมหายใจถี่ระรัว แววตาของเขายังคงตื่นตระหนก เขาไม่ได้โง่จนไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะเหตุนี้เขาจึงกำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยจิตใจที่สั่นสะพรึง

ทว่าก่อนที่คำพูดของเขาจะได้เอื้อนเอ่ยออกไป นัยน์ตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สามก็ได้เผยความมาดมั่น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถยั่วยุปรมาจารย์แห่งไฟได้ แต่เขายังมีเกราะป้องกันของกระบี่สำริดโบราณ อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็สามารถสั่นคลอนกระบี่โบราณได้ สิ่งนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไหนจะวัตถุเวทแห่งความมืดสุดพิสดารที่โผล่มา รวมถึง…ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมีภูมิหลังอันน่าสะพรึงกลัว

ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักอีกต่อไป ดังนั้นในเวลาต่อมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมา ยกมือขวาขึ้นโบกสะบัดพร้อมทั้งแผดเสียงคำราม ทันใดนั้นแรงกดดันมหาศาลก็พุ่งตรงมายังชายหนุ่มดารานิรันดร์

ส่งผลให้ชายหนุ่มกระอักเลือดและกรีดร้องออกมา

“ปรมาจารย์…”

“หุบปาก!” สิ้นเสียงคำพูดผะแผ่วของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้น ชายหนุ่มดารานิรันดร์ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ตัวเขาที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บซ้ำซ้อน ส่งผลให้การฟื้นตัวของเขาในหลายปีก่อนหน้านี้เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ขณะที่ทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้ม เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะฉายสายตาอาฆาตแค้น คนที่ทั้งร่างกายและวิญญาณอ่อนเพลียอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนเคยสลบไสลไปนาน แม้ว่าจะสามารถค่อยๆ ฟื้นตัวได้เมื่ออยู่บนแท่นสังเวยนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะฟื้นคืนสู่การฝึกตนขั้นต้น เว้นเสียแต่จะมีความโชคดีอื่นๆ หากอยากฟื้นตัวเต็มที่…เกรงว่าคงใช้เวลานับพันปี

เมื่อเป็นเช่นนั้น สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยลำดับสาม จึงจับจ้องไปยังตัวหวังเป่าเล่อซึ่งกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ในตอนนี้ เขาพยายามระงับความโกรธแค้นชิงชังบนใบหน้า แล้วคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ขอทำความเคารพศิษย์พี่ ขอบคุณศิษย์พี่ทำให้ความยุติธรรมขอรับ!”

ก้นบึ้งจิตใจผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก เขาพ่นลมออกจมูกด้วยความขุ่นเคือง อดไม่ได้ที่จะมองไปยังธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักตัวเองที่อยู่ด้านข้าง แล้วแววตาจึงอ่อนลง เมื่อกำลังจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เปล่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ศิษย์น้องนับถือในสติปัญญาของศิษย์พี่ และยิ่งเลื่อมใสศิษย์พี่ในการยึดถือคุณธรรม ในขณะเดียวกันตัวข้าก็เคยได้รับความกรุณาจากวังเต๋าไพศาล อีกทั้งเต็มใจอุทิศตนเพื่อเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ศิษย์พี่ร่วมสำนักฝึกตน ฉะนั้น…ศิยย์น้องจึงวางแผนที่จะจัดงานใหญ่หลังจากนี้ภายในเวลาหนึ่งเดือนขอรับ ท่านปรมาจารย์แห่งไฟของข้าต้องการให้มีหนึ่งดาราจักรแห่งอารยธรรมดารานิรันดร์มาเข้าร่วมในระบบสุริยะด้วย!”

“ด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่จะได้บ่มเพาะฟื้นฟูพลังปราณไปพร้อมๆ กัน ซ้ำยังช่วยยกระดับอารยธรรมระบบสุริยะของข้าอีก!”

เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวออกมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งสำนักเต๋าที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้วก็ตาเบิกโพลงขึ้นทันควัน พลันหันไปมองหวังเป่าเล่อทันที

“เจ้าต้องการรวมดาราจักรแห่งอารยธรรมมาไว้ด้วยกันอย่างนั้นรึ?”

หวังเป่าเล่าพยักหน้านิ่งๆ

“นี่เป็นเพียงขั้นแรกขอรับ ต่อไปศิษย์น้องยังมีแผนที่จะดึงดารานิรันดร์มารวมเข้ากับระบบสุริยะอีกมาก เพื่อให้การฝึกตนของศิษย์พี่คนอื่นๆ ฟื้นคืนรวดเร็วยิ่งขึ้น!”

หวังเป่าเล่อแย้มรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าในใจลึกๆ ของเขากลับนิ่งเฉย เขารู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจริงๆ แล้วอาจไม่ได้เป็นศัตรู ความเกลียดชังระหว่างอีกฝ่ายกับตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้ตัวเขากลายเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยาย

ถึงแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นคงจะไม่ใช่พันธมิตร แต่เป็นผู้ถูกกดขี่

ดังนั้นเขาจึงต้องวางท่า เพราะหากเขาสามารถเป็นพันธมิตรที่ทัดเทียมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้จริง มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสหพันธรัฐ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้วิธีที่จะเจรจากับผู้คน ถ้าต้องการบรรลุเป้าหมายบางอย่าง จำเป็นต้องแลกบางสิ่งเพื่อกระตุ้นจิตใจอีกฝ่าย ซึ่งอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สั่นคลอนผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ได้ แต่หวังเป่าเล่อลองคิดไปคิดมา สิ่งที่จะช่วยได้คือการรวมกับอารยธรรมดวงเนตรสววรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถทำการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้

ถ้าเขาเสนอของกำนัลที่ว่านี้ตั้งแต่แรก ผลย่อมไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะสถานะของพวกมันไม่เท่ากัน หากเขาใช้สิ่งนี้บีบคั้นเพื่อจะลงทัณฑ์ดารานิรันดร์ ก็จะส่งผลเสียตามมาอยู่ดี

ดังนั้นทันทีที่เขาปรากฏตัว จึงได้สังหารศิษย์พี่เต๋ออวิ๋นจื่อด้วยพลังที่เหนือชั้น จากนั้นก็แสดงทักษะนักฆ่าด้วยความอุกอาจ เพื่อที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพจะลงทัณฑ์ชายหนุ่มดารานิรันดร์

จนถึงตอนนี้ เขาได้รับสถานภาพที่ทัดเทียมกันในระดับหนึ่งแล้ว ทันทีที่อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาก็จะทำทีเสนอของกำนัลชิ้นใหญ่แบบนี้ให้ ห้าวก่อนแล้วขอขมาทีหลังแบบนี้ ปัญหาที่โผล่ขึ้นมาในมือก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายด้วยความชำนาญของเขา

ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งอยู่บนแท่นสังเวยย่อมหยั่งรู้ได้ทันที ทำให้สายตายามที่เขามองหวังเป่าเล่อนั้นล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าจุดสำคัญในการรวมดารานิรันดร์ของอีกฝ่าย คือการยกระดับอารยธรรม ณ ที่แห่งนี้ แต่เขาต้องยอมรับว่าเมื่อยกระดับอารยธรรมในระบบสุริยะให้สูงขึ้น เขาและคนอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์มากมายจากการฟื้นฟูการฝึกตนของพวกเขาเช่นกัน

คำพูดสุดท้ายของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาอุ่นใจมากไปพร้อมๆ กัน เมื่อใดที่อีกฝ่ายสามารถยกระดับความเจริญรุ่งเรืองของสหพันธรัฐได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ดารานิรันดร์แข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นหลังจากเงียบไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จักพิภพผู้นั้นก็ทอดสายตาไปที่หวังเป่าเล่อด้วยท่าทีที่สงบลง แล้วพยักหน้า

“ขอบคุณมากสหายหนุ่ม ชิงหลิงจื่อช่างไร้ไหวพริบจนเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำลายพันธมิตรระหว่างวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขามีความผิดจริงในเรื่องนี้ วังเต๋ากับสหพันธรัฐไม่ควรเป็นปรปักษ์กัน เพราะเรามีศัตรูร่วมกัน…” พูดถึงตรงนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ก็เหลือบมองวัตถุเวทแห่งความมืดด้านนอก พลันตระหนักได้ว่าดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาเอาอาวุธเวทนี้ออกมาด้วยพลังลมปราณของสำนักแห่งความมืด จุดประสงค์ก็เพื่อเตือนตัวเองว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดและศัตรูของทุกฝ่าย…คือคนเดียวกัน!

“ช่างเป็นผู้ฝึกตนที่มีความรอบคอบ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนี้…” เมื่อนึกถึงศิษย์รุ่นน้องของวังเต๋าไพศาลของตัวเอง ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่ออีกครั้ง

“จากนี้ไป วังเต๋าไพศาลจะไม่ยุ่งกับกิจการภายในใดๆ ของสหพันธรัฐ จะข้องเกี่ยวกันที่การฝึกตนเท่านั้น และเมื่อศัตรูต่างถิ่นบุกเข้ามา ก็จะรวมตัวกับภายนอก เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน!

“ขอบคุณขอรับศิษย์พี่” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคารวะด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง

…………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset