“สุดท้ายยังเป็นขิงแก่ที่เผ็ด” หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากนี้ด้วยตาตัวเองกลับมาถึงหอคอย รู้สึกว่าครั้งนี้ตนนับว่าได้เปิดประสบการณ์แล้ว
จากเหตุการณ์ต่างๆ ของปรมาจารย์แห่งไฟ และบทบาทต่างๆ ของร่างอวตารของท่าน ได้ขังเซี่ยไห่หยางในดาราจักรไฟไว้แล้วอย่างไม่รู้ตัว สำหรับตัวเซี่ยไห่หยางเองแล้ว แม้เขาจะยังไม่เข้าใจสาเหตุ แต่บนความเป็นจริงก็ไม่ได้เสียหายอะไร และในระดับหนึ่งก็กลับมีประโยชน์มหาศาล
เพียงแต่ปรมาจารย์แห่งไฟนำความสัมพันธ์ในทางการค้าที่เซี่ยไห่หยางเข้าใจ เปลี่ยนให้กลายเป็นความจงรักภักดีต่อสำนักอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามความจงรักภักดีก็เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อน ซาบซึ้ง ขัดแย้ง เย็นชา และสนิทสนมเป็นต้น ต่างก็เพิ่มความจงรักภักดีในระดับที่ต่างกัน และหากอารมณ์ครอบคลุมแล้ว ก็จะก่อให้เกิดสายใยนับพันหมื่นที่รัดพันจนยากจะแยกจากกันได้
“เบื้องหลังน่าจะเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่หรือท่านอาจารย์ หรืออาจจะเป็นศิษย์พี่เจ็ดและศิษย์สิบห้าลงมือช่วยเหลือ ในขณะที่เซี่ยไห่หยางประสบกับอันตราย จากนั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดก็จะประทับลงมาอย่างสมบูรณ์…จนกระทั่งวันหนึ่ง แม้ความจริงจะถูกไขออก แต่จะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ชนิดนี้ แต่กลับทำให้ความจงรักภักดีของเซี่ยไห่หยางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ในขณะที่หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ในใจของเขาก็เกิดความซาบซึ้ง เพราะเขาตระหนักว่าสิ่งที่อาจารย์ทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อตัวท่านเอง เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพื่อเขา!
“ถ่ายทอดคำสาปวิญญาณเพลิง แลัวยังจัดศิษย์หลานให้ผู้หนึ่ง อาจารย์นะอาจารย์ เหตุใดท่านจึงเตรียมไว้” หวังเป่าเล่ออยู่เงียบๆ ในฐานะผู้ดู หลังจากที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด
ความวิตกกังวลนี้ไม่ได้มาจากตนเอง แต่มาจากปรมาจารย์แห่งไฟ
แต่เห็นได้ชัดว่าจนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ไม่มีคำตอบ ดังนั้นเขาจึงถอนใจเบาๆ เขาทำได้เพียงกดความสงสัยไว้ในใจ แล้วเริ่มดำดิ่งในการฝึกคำสาปวิญญาณเพลิง เพื่อศึกษารายละเอียดของเวทคำสาปนี้
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปสามเดือน ในสามเดือนนี้หวังเป่าเล่อนับว่าได้ศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงจนเข้าใจในเบื้องต้นแล้ว ส่วนเซี่ยไห่หยางก็เรียนที่จะฉลาดแล้ว ไม่ว่าผู้ใดจะพยายามชักจูง เขาก็จะสรรเสริญอาจารย์ปู่อย่างเต็มปากเต็มคำ ขณะเดียวกันก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะเป็นผู้ติดตามหวังเป่าเล่อ
สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการในการฝึกตน แทบจะไม่ต้องไปรวบรวมด้วยตนเอง ขอเพียงเอ่ยปากเซี่ยไห่หยางเป็นต้องส่งมาให้ และการพูดคำเยินยอก็ยิ่งช่ำชองขึ้น ทุกครั้งล้วนทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเบิกบานใจ ดังนั้นด้วยอารมณ์ที่เป็นสุขของเขา จึงได้ไปขอกับท่านอาจารย์ให้เซี่ยไห่หยางติดตามตนไปอวยพรวันเกิดด้วย
หลังจากที่ปรมาจารย์แห่งไฟอนุญาตแล้ว ทั้งสองเตรียมตัวอยู่หลายวัน จากนั้นจึงนั่งเรือบินของดาราจักรไฟออกจากดาวเอกเพลิง โดยมีสายตาของศิษย์พี่หญิงใหญ่และคนอื่นๆ ตามส่งไป
ในฐานะที่เป็นนายน้อยของดาราจักรไฟ การเดินทางของหวังเป่าเล่อย่อมแตกต่างไปจากเดิม ด้านหลังเขายังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ในอารยธรรมอื่นภายในดาราจักรไฟติดตามมาเพื่อร่วมเดินทางไปคุ้มกัน
ทั้งหมดมีผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์แปดคนที่ออกเดินทางพร้อมหวังเป่าเล่อ หน้าที่ของพวกเขาคือดูแลความปลอดภัยของหวังเป่าเล่อตลอดทาง และมีดารานิรันดร์ของอารยธรรมวิญญาณเพลิงผู้นั้นเป็นหนึ่งในนั้น
อีกทั้งพลังป้องกันจากเซี่ยไห่หยาง อาจกล่าวได้ว่าพลังที่อยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อ เปรียบได้กับกำลังที่มหาศาลแล้ว
ไม่มีใครคิดว่าการโอ้อวดแบบนี้เกินจริง เพราะหวังเป่าเล่อในวันนี้เป็นตัวแทนของดาราจักรไฟ ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยดาราจักรไฟก็ต้องเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกจากดาราจักรไฟ แล่นไปในจักรวาล จำนวนเรือบินก็มีนับร้อย ภายในไม่ได้มีเพียงดารานิรันดร์แปดคน ยังมีผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ไม่น้อย ซึ่งเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้เกิดความผันผวนในจักรวาลขึ้นอย่างรุนแรงแล่นไปทางดาวชะตา ที่ที่ประมุขกฏสวรรค์สถิตอยู่..ไอลีนโนเวล
ภายในเรือหลักที่อยู่ตรงกลาง หวังเป่าเล่อสวมชุดคลุมยาวงดงามสีแดงและรองเท้ารบยาวสีทอง ทั้งร่างดูสง่างามและสูงส่ง ขณะนี้เขาถือแผ่นหยกอยู่ ดวงตาส่อแววครุ่นคิด
เซี่ยไห่หยางสวมชุดในแบบเดียวกัน แต่เครื่องแต่งกายมีสีสันที่อ่อนกว่า เขายืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อ เอ่ยเสียงเบา
“อาจารย์อา ประมุขแห่งชะตาผู้นี้ก็เป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ปู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อยากตอแยด้วย กระทั่งประมุขแห่งชะตาด้วยเพิ่มเติมความชำนาญ แต่ช่วยผู้คนเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งฟ้าดิน ดังนั้นจึงมีสหายผู้สูงส่งไปทั่วทั้งจักรพิภพ ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ ”
“ฐานการฝึกตนของเขาเป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ปู่ มีสมบัติลับชิ้นหนึ่งที่เรียกว่าร่องรอยแห่งชะตา ประมุขแห่งชะตาที่ครอบครองสมบัติลับนี้มีฐานการฝึกตนและพลังต่อสู้ที่ไร้ขอบเขต…มีผู้คาดเดาว่าถึงขั้นเปรียบได้กับระดับจักรพิภพ!”
“ดังนั้นสำนักทั้งหมดจะส่งคนไปงานฉลองวันเกิดของท่านผู้เฒ่า นอกจากจะเป็นพิธีการที่จำต้องมีแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งนั่นคืองานฉลองของประมุขกฎสวรรค์ในแต่ละครั้งจะจัดให้มีบททดสอบขึ้น บททดสอบนี้จะแตกต่างกันในทุกปี แต่ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบครั้งใด ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากท่านจะได้รับคุณสมบัติให้พลิกสมุดแห่งโชคชะตาได้หนึ่งครั้ง!”
“สมุดแห่งโชคชะตาหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ปรมาจารย์แห่งไฟได้เรียกเขามาพบ แจ้งให้ทราบว่าเขาได้ฝากโอกาสที่หวังเป่าเล่อจะได้สัมผัสร่องรอยแห่งชะตาไว้กับประมุขกฎสวรรค์!
เขาได้รู้จากปรมาจารย์แห่งไฟมาก่อนหน้านั้นแล้ว และเข้าใจที่เรียกว่าการรับรู้ร่องรอยแห่งชะตา ที่สามารถทำให้ตนเองก้าวข้ามนทีแห่งกาลเวลา รวบรวมภาพที่ผ่านไปในช่วงเวลานับไม่ถ้วนของตนเอง และรวบรวมในนาทีที่สัมผัส ทำให้พลังแห่งชีวิตของตนได้เพิ่มพูนและปะทุออกของบทสรุป!
การรับรู้ประเภทนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนธรรมชาติและศักยภาพ เป็นตัวกำหนดระยะเวลาที่จะติดตาม นี่คือพลังเทพสูงสุดของประมุขแห่งกฏสวรรค์ แต่ละครั้งที่สำแดง มันจะทำลายตัวเองอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
หากสามารถให้ประมุขแห่งกฏสวรรค์สำแดงเพื่อเขาสักครั้ง แม้จะไม่รู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟทุ่มเทสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน แต่ก็อาจคาดได้ว่าต้องสูงนัก
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ คำตอบของเซี่ยไห่หยางก็ขัดจังหวะความคิดของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาจารย์
“สมุดแห่งโชคชะตา เป็นของวิเศษที่ไม่มีใครรู้ที่มาของมัน ของสิ่งนี้ถือกำเนิดบนดาวชะตา และแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่สามารถเอามันไปได้ มีเพียงประมุขแห่งกฎสวรรค์ที่สามารถควบคุมสมุดเล่มนี้ได้อย่างจำกัด มีข่าวลือว่า…ประมุขแห่งกฎสวรรค์เองก็เป็นวิญญาณวุธของสมุดเล่มนี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร”
“เมื่อเปิดสมุดเล่มนี้ แต่ละหน้าหมายถึงห้าร้อยปี ที่จะสามารถเห็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ของอนาคตของตนเอง… พลังเทพแห่งการพยากรณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ยากที่จะอธิบายได้ หากไม่มีผู้ใดยืนยันภาพที่ปรากฏก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดของอนาคต ไม่เป็นการแน่นอน และไม่อาจยืนยันเนื้อหาที่ระบุหรือตรวจพบ เพียงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในเวลาเดียวกันแต่ละหน้าที่เปิด สิ่งที่สูญเสียล้วนเป็นพลังชีวิตของตน ดังนั้นจึงไม่อาจพลิกหามากเกินไปได้ ด้วยเกรงว่าพลังของตนจะยิ่งน่าเป็นห่วงกว่านี้!”
“ตรวจดูอนาคตหรือ” หวังเป่าเล่อลืมตากว้าง และการหายใจก็ไม่เป็นจังหวะมองไปทางเซี่ยไห่หยาง
เซี่ยไห่หยางพยักหน้า
“ผู้ฝึกตนอาวุโสของข้าล้วนเต็มไปด้วยความสับสนต่ออนาคต ด้วยไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ไม่รู้แตกดับเมื่อใดจุติเมื่อใด ไม่รู้ฐานฝึกตนจะสามารถทะลวงผ่านได้หรือไม่ในอนาคต ไม่รู้เรื่องราวมากมาย และเพราะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นบททดสอบของงานฉลองวันเกิดของประมุขแห่งกฎสวรรค์ ก็ยิ่งทำให้พวกเขามีความกระตือรือร้น ต่างก็หวังอยากได้รับคุณสมบัติเพื่อไปพลิกสมุดแห่งโชคชะตาให้เห็นอนาคตของตน…”
“แม้ว่าเงาแห่งอนาคตจะสำแดงไม่เลือกโอกาส แม้ว่ามันจะเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้นับพันนับหมื่น แต่มันก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในการชี้นำที่ยิ่งใหญ่ได้!”
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า เขาตื่นเต้นกับสมุดแห่งโชคชะตานี้มาก เขาก็ต้องการเห็นอนาคตของตนเองว่าจะเป็นเช่นไร
“อดีต อนาคต…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ สำหรับการเดินทางไปยังดาวชะตาในครั้งนี้ เขามีความคาดหวัง จนกระทั่งหลายวันต่อมา ขณะที่เรือเหาะแล่นไปในจักรวาล ขณะที่เดินทางไปยังดาวชะตาได้ร้อยละสามสิบ เรือสีน้ำเงินขนาดใหญ่หลายสิบลำได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขา!
เรือขนาดใหญ่แต่ละลำเหล่านี้ต่างเปรียบได้กับดวงดารา และดูน่าตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน เรือหลายสิบลำถูกจัดเรียงไว้ด้วยกัน ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปทำให้ผู้คนตระหนกมากขึ้น จักรวาลก็แปรปรวน
ยิ่งไปกว่านั้นบนเรือเหาะยังเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างเรือเหาะ ดูครึกครื้นมากในขณะเดียวกัน เรือเหาะแต่ละลำมีธงผืนใหญ่ บนนั้นมีอักษรเขียนว่า… เซี่ย!
“นี่เป็นตลาดอวกาศของตระกูลข้า ซึ่งใช้สำหรับการขนส่ง บรรทุกคนเดินทางรวมทั้งสินค้า!” เซี่ยไห่หยางหรี่ตาทันที ขณะที่เขาเห็นเรือเหาะเหล่านี้ หลังจากที่เขาค่อยๆ เอ่ยปากก็รีบนำแผ่นหยกออกมา หลังจากถ่ายทอดเสียงไปแล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมา มองไปทางหวังเป่าเล่อ
“อาจารย์อาสิบหก จุดหมายปลายทางของตลาดอวกาศนี้ห่างจากดาวชะตาไปไม่ไกล พวกเราขึ้นไปเดินเล่นดีหรือไม่ พวกมันเร็วกว่า และยังให้โอกาสศิษย์หลานได้แสดงความกตัญญูด้วย”
หวังเป่าเล่อเหลือบมองเซี่ยไห่หยางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ หากกล่าวว่าไม่ใช่เซี่ยไห่หยางเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า หวังเป่าเล่อย่อมไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ทำให้เขาสบายใจมาก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
“ไปกันเถอะ!”
…………………………………………………