หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1035 ดาวชะตา!

ภายในเรือบินอวกาศตระกูลเซี่ย หลังจากวันนั้นมีแต่คนเข้ามาทักทายหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่ของตระกูลเซี่ยหรือผู้ฝึกตนบนเรือบินลำนี้ที่มุ่งหน้าไปดาวชะตาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุประมุขกฎสวรรค์ต่างก็แสดงความเป็นมิตรมีน้ำใจต่อหวังเป่าเล่อ

นี่เป็นผลพวงมาจากภูมิหลังของหวังเป่าเล่อและแน่นอนว่าเป็นเพราะความสามารถที่แท้จริงของเขาด้วย ไม่ว่าอย่างไรพลังของเทพวัวก็ได้สั่นสะเทือนไปทั่วแล้วทั้งยังมีเคล็ดวิชากฎแห่งใยไหม วิชากลายเป็นกระดาษก่อนหน้านั้น รวมทั้งกระบวนท่าต่างๆ ที่เขาใช้กฎแห่งบรรพกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนล้วนทำให้ผู้คนแตกตื่นได้

ทุกอย่างรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวยิ่งทำให้คนผู้นี้เป็นที่ยำเกรงเป็นที่จับตามองของผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คุ้มครองที่ไม่ธรรมดาของเขาเลย นี่ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าปรมาจารย์แห่งไฟให้ความสำคัญและหวงแหนลูกศิษย์คนนี้ขนาดไหน

ในเวลาเดียวกัน แม้สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นจากหวังเป่าเล่อคือความแข็งแกร่งและวางอำนาจแต่ก็ยังฉลาดและมีไหวพริบ จากเรื่องเหล่านี้ก็สามารถรับรู้ได้คร่าวๆ แม้จะไม่ชัดเจนเท่าเซี่ยไห่หยางที่เป็นคนในเหตุการณ์ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความคิดแยบยลของหวังเป่าเล่อได้ไม่มากก็น้อย

และในเวลาเดียวกัน ขณะที่หวังเป่าเล่อมีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่บนเรือบิน หลังจากที่กลับไปแล้วก็แทบจะไร้คนเยี่ยมเยือน แม้จะพูดไม่ได้ว่าไร้คนเยี่ยมเยียนเลยแต่ก็มีน้อยมากจริงๆ กระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เมื่อเรือบินตระกูลเซี่ยแล่นมาใกล้ดาวชะตา เซี่ยอวิ๋นเถิงไม่รอเรือบินจอดสนิทก็รีบแจ้นออกไปทันที ตรงดิ่งเข้าดาราบัญชาสวรรค์ไปก่อน

“เดินเร็วจริงนะเนี่ย!” บนเรือบิน ตระกูลเซี่ยได้จัดเตรียมที่พักให้แก่หวังเป่าเล่อใหม่ บนระเบียงที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่านั้น หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางกำลังยืนอยู่ที่นั่น ที่พักแห่งใหม่นี้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของเรือบินลำนี้ เมื่อยืนมองจากจุดนี้จะสามารถมองเห็นเรือบินลำนี้ได้เกินครึ่ง เมื่อแหงนหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นอวกาศสุดลูกหูลูกตาได้

หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางยืนตรงนี้ยิ่งทำให้มองเห็นกลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงที่จากไปได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เวลานี้เซี่ยไห่หยางที่มองเงาร่างเซี่ยอวิ๋นเถิงเหยียดยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยว่า

“อาจารย์อา ข้าได้รับข่าวจากตระกูลแล้ว เป็นเพราะเมื่อก่อนพ่อข้าได้ล่วงเกินท่านเฉินชิงจื่อเข้า ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในตระกูลจึงตัดสัมพันธ์กับเขาหนำซ้ำยังมีคนคอยรอเหยียบให้จม ถือโอกาสที่ปรมาจารย์เก็บตัวผนึกพ่อข้าไว้ให้ไม่ให้ออกมาเพื่อเตรียมส่งตัวเขาให้ท่านเฉินชิงจื่อจัดการต่อ”

“ส่วนข้า ก็อย่างที่เห็น ถูกกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลยึดคุ้มครองสายเลือดคืนแล้วก็ตัดออกจากรายชื่อนายน้อย ถึงแม้เป็นเพราะอาจารย์อายื่นมือช่วย ข้าถึงได้กลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ว่า…” เซี่ยไห่หยางพูดถึงตรงนี้ พูดยังไม่ทันจบพลันมีเสียงราวกับระฆังล่องหนแว่วมาจากทางอวกาศเบื้องหน้า!

เสียงนี้คล้ายกับระฆังและละม้ายคล้ายกระดิ่ง เสียงกังวานใสแว่วยาว กลายเป็นคลื่นเสียงที่ทำให้อวกาศดูราวกับผิวน้ำ เกิดระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขต

เมื่อเสียงนี้แว่วเข้ามา หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นขัดการพูดของเซี่ยไห่หยางในฉับพลัน

เซี่ยไห่หยางหยุดชะงักไม่พูดต่อ ส่วนหวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังอวกาศที่ราวกับผิวน้ำ เส้นทางที่กลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงเดินไป ที่นั่น…เป็นดาวที่ประหลาดมากดวงหนึ่ง

ที่ว่าประหลาดก็เพราะรอบนอกของดาวดวงนี้ มีวงแหวนที่ปล่อยแสงสีม่วงอยู่เป็นชั้นๆ ออกมา วงแหวนเหล่านี้หมุนวนเป็นชั้นๆ ชั้นล่างมีขนาดใหญ่สุด ยิ่งขยับขึ้นสูงขนาดก็ยิ่งเล็กลง เมื่อมองพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ารูปร่างมันคล้ายกับระฆังขนาดมหึมา!

และดวงดาวที่แท้จริงก็คือลูกกลมๆ ที่อยู่ในระฆังนั่น!!

เจ้าลูกนี้ได้เคลื่อนไหว หมุนวนอยู่ภายในตัวระฆังตามความถี่บางอย่าง บางคราก็กระทบโดนผิวภายในระฆังส่งเสียงกังวานใสกระจายไปทั่วทิศ ทำให้ผู้ที่ได้ยินพลันนิ่งสงบลงในพริบตา

“ดาวชะตา” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย ในระหว่างที่พึมพำ ขณะที่เสียงระฆังกำลังเลือนหาย ผู้คนบนเรือบินก็เริ่มทยอยได้สติกลับคืนก่อนตามด้วยเสียงถกเถียงกันต่างๆ นาๆ

“ดาวชะตา!”

“ในที่สุดก็ถึงแล้ว!”

“ดาราจักรที่ประมุขกฎสวรรค์อยู่ประหลาดดังคาด!”

ในขณะที่ผู้คนบนเรือกำลังใจชื้น เซี่ยไห่หยางก็จิตใจสงบนิ่งลงไปไม่น้อย ถึงเขาจะรู้ความลับต่างๆ มากกว่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาดาวชะตาแห่งนี้ ขณะที่กำลังมองดูดาววงแหวนที่คล้ายระฆัง นัยน์ตาเขาก็ค่อยๆ เผยร่อยรอยแห่งความหวัง

“ไห่หยาง เรื่องที่ตระกูลเจ้าผนึกพ่อเจ้าไว้เพื่อรอส่งให้เฉินจื่อชิงจัดการ ก่อนหน้าไม่ดำเนินการ มาลงมือเอาตอนนี้ ดูท่าเฉิงชิงจื่อจะหมดปัญหาแล้วล่ะ ”หวังเป่าเล่อพูดยิ้มๆ ในใจรู้สึกรอคอย สำหรับศิษย์พี่ก็ไม่ได้เจอกันนาน เขารู้สึกคิดถึงอยู่เหมือนกัน

เพียงแต่เพราะเซี่ยไห่หยางอยู่ตรงนี้ จึงไม่แสดงออกชัดเจนว่ารอคอย คำเรียกขานแน่นอนว่าก็ไม่ใช้ศิษย์พี่สองคำนี้ให้คนเกิดความสงสัย

“รบกวนอาจารย์อาสิบหกช่วยข้าด้วย!” สิ่งที่เซี่ยไห่หยางรอคอยก็คือประโยคนี้ รีบดึงสายจากออกจากดาวชะตา ขณะที่หันมองหวังเป่าเล่อ ความจริงใจของเขาแทบจะคุกเข่าลงแล้ว

“ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อไม่รับคำนับของเซี่ยไห่หยาง ยื่นมือประคองแขนเขาลุกขึ้นก่อน

“เรื่องนี้ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าจะช่วยเจ้า เอาอย่างนี้ละกัน เจ้าไปบอกพ่อเจ้า หากเฉินชิงจื่อไปหา ช่วยถ่ายทอดคำพูดข้าให้เฉินชิงจื่อสักประโยค”

“อะไรหรือ?” เซี่ยไห่หยางรีบถามกลับ

“บอกว่า…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาไปมา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่านี่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะขู่เซี่ยไห่หยางแล้ว เพื่อที่ต่อไปเขาจะได้จงรักภักดีไม่มีโอกาสให้กล้าคิดเป็นอื่นอีก

“ก็บอกไปว่าข้าเตรียมสุราดีไว้กาหนึ่ง ให้เขารีบมาชิมเร็วๆ ถ้าเกิดมาช้าข้าจะดื่มเองหมด” หวังเป่าเล่อมือไพล่หลัง วางท่าทางสบายๆ พูดขึ้นเรียบๆ

ประโยคนี้ลอยเข้าโสตประสาทเซี่ยไห่หยางพลันทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง จากน้ำเสียงประโยคนี้เขารับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและเฉิงชิงจื่อว่าต้องไม่อยู่ในระดับธรรมดาแน่นอน และในเวลาเดียวกันความรู้สึกยากจะหยั่งที่แผ่มาจากตัวหวังเป่าเล่อก็ได้ลอยเข้าไปในจิตใจเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขากำมือคาราวะขอบคุณแล้วก็รีบควักป้ายหยกออกมา ถ่ายทอดเสียงไปยังตระกูลให้พวกพ้องในตระกูลถ่ายทอดประโยคนี้ให้แก่บิดา

และเมื่อถ่ายทอดเสร็จสิ้น เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อ ในหัวไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เปิดปากราวกับมีผีบังคับให้ทำ

“อาจารย์อาสิบหก ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อเซี่ยเถาเถา หน้าตาสะสวย งดงามเปล่งปลั่ง…”

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ขณะที่กำลังจะตั้งใจฟัง ในหัวพลันมีเสียงพ่นลมเย็นชาของแม่นางน้อยลอยแว่วมา หลังจากที่ได้ยินเสียงเย็นชานี้หัวคิ้วก็พลันขมวด ปรายตามองเซี่ยไห่หยางคล้ายไม่สบอารมณ์

“ไห่หยาง ข้าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนแบบนั้นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องพรรค์นี้ต่อไปอย่าได้พูดถึงอีก จะทำให้ข้าดูถูกเจ้า!”

เซี่ยไห่หยางหัวใจกระตุก ท่าทางไม่พอใจของหวังเป่าเล่อนี้ไม่เหมือนการแสดง ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ผิดพลาดไปจริงๆ หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ไม่ใช่คนอย่างที่ตนคิดแน่นอน ดังนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก คาราวะอีกครั้ง ในใจตั้งมั่นต่อไปจะไม่เอ่ยถึงเรื่องพรรค์นี้อีกเด็ดขาด

ทว่าหวังเป่าเล่อกลับกระแอมไอทีหนึ่ง เมื่อเรือบินเข้าใกล้ดาวชะตามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงนอกดาวชะตาและจอดนิ่งสนิท เขาขยับร่างกายเหาะออกไปก่อน

เซี่ยไห่หยางตามติดไป ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เส้นทางของแต่ละคนกลายเป็นแสงทางยาวออกจากเรือบินไป มุ่งหน้าสู่ดาวชะตา!

เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองตาก็เห็นวงแหวนก็มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วของพวกเขา และเมื่อย่างเข้าสู่บริเวณวงแหวน ณ นาทีนี้บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรืออาจเป็นเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าเพราะเหตุใด แต่ในวินาทีนี้อวกาศเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว นกยูงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากอากาศกะทันหัน พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

นกยูงตัวนี้มีขนาดประมาณสามเมตรได้ ท่าทางองอาจ สีเขียวมรกตทั่วร่าง สยายปีกไปมา ส่วนหลังมีขนนกกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ขนนกเหล่านี้สีสันหลากหลายสะท้อนไปทั่วอวกาศ ระยิบระยับตระการตา

ยิ่งในนาทีที่มันปรากฏตัว มวลอากาศเย็นเยียบที่น่าตกตะลึงได้แผ่กระจายไปทั่วทิศในชั่วพริบตาและจุดที่กลุ่มของหวังเป่าเล่ออยู่ก็เป็นเส้นทางของเจ้านกยูงตัวนี้พอดี ในวินาทีที่ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมนั้นราวกับถูกแช่แข็งเลยทีเดียว

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงนัยน์ตาวาววับปล่อยพลังปราณขึ้นตามๆ กัน ขยายพลังดารานิรันดร์แผ่ปกป้องหวังเป่าเล่อ ทางด้านหวังเป่าเล่อ เขาหรี่ตาลงไม่ใส่ใจความหนาวเย็นรอบกายและก็ไม่ได้ให้ความสนใจนกยูงนี่เท่าไรนัก สายตาจับจ้องบนหัวนกยูง ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น

หญิงผู้นี้สวมชุดสีแดง ศีรษะประดับมงกุฎหงส์ หว่างคิ้วแต้มชาดรูปข้าวหลามตัด ดูงดงามยิ่งนัก เครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ต่างหูหรือสร้อยข้อมือล้วนมีกระพรวนประดับอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วๆ ไป

และในบางครั้งก็ส่งเสียงคล้ายกับดาวชะตา!

แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมองขึ้นไป ผู้หญิงคนนี้ก็ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่มองหวังเป่าเล่อนัยน์ตาเขาปรากฏแววอาฆาตวาบผ่าน ด้านหลังผุดดาวดวงหนึ่งขึ้นราวกับมีเครื่องเป่าลม…ดาวกระดาษ!

นางก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์เก้าวิหกเพลิงที่สามแห่งจักรพิภพสำนักเสริม ผู้ที่ได้รับดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งจากสุสานดวงดารา แม่นางกระพรวน สวี่อินหลิง!

“พี่เป่าเล่อ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ สวี่อินหลิงพลันหัวเราะร่าราวกับดอกไม้บาน น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูผนวกกับรูปลักษณ์พลันส่งผลให้เสน่ห์เปล่งประกายออกมาทั่วเรือนร่าง

“แม่นางน้อย มีคนยั่วยวนข้า!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ในใจรีบฟ้องแม่นางน้อยทันที

“คนต่ำช้า” สิ่งที่ตอบกลับเขาคือภายในหัว แม่นางน้อยดูคล้ายแค่นเสียงเย็นเบาๆ

……………………………………….

ภายในเรือบินอวกาศตระกูลเซี่ย หลังจากวันนั้นมีแต่คนเข้ามาทักทายหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่ของตระกูลเซี่ยหรือผู้ฝึกตนบนเรือบินลำนี้ที่มุ่งหน้าไปดาวชะตาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุประมุขกฎสวรรค์ต่างก็แสดงความเป็นมิตรมีน้ำใจต่อหวังเป่าเล่อ

นี่เป็นผลพวงมาจากภูมิหลังของหวังเป่าเล่อและแน่นอนว่าเป็นเพราะความสามารถที่แท้จริงของเขาด้วย ไม่ว่าอย่างไรพลังของเทพวัวก็ได้สั่นสะเทือนไปทั่วแล้วทั้งยังมีเคล็ดวิชากฎแห่งใยไหม วิชากลายเป็นกระดาษก่อนหน้านั้น รวมทั้งกระบวนท่าต่างๆ ที่เขาใช้กฎแห่งบรรพกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนล้วนทำให้ผู้คนแตกตื่นได้

ทุกอย่างรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวยิ่งทำให้คนผู้นี้เป็นที่ยำเกรงเป็นที่จับตามองของผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คุ้มครองที่ไม่ธรรมดาของเขาเลย นี่ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าปรมาจารย์แห่งไฟให้ความสำคัญและหวงแหนลูกศิษย์คนนี้ขนาดไหน

ในเวลาเดียวกัน แม้สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นจากหวังเป่าเล่อคือความแข็งแกร่งและวางอำนาจแต่ก็ยังฉลาดและมีไหวพริบ จากเรื่องเหล่านี้ก็สามารถรับรู้ได้คร่าวๆ แม้จะไม่ชัดเจนเท่าเซี่ยไห่หยางที่เป็นคนในเหตุการณ์ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความคิดแยบยลของหวังเป่าเล่อได้ไม่มากก็น้อย

และในเวลาเดียวกัน ขณะที่หวังเป่าเล่อมีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่บนเรือบิน หลังจากที่กลับไปแล้วก็แทบจะไร้คนเยี่ยมเยือน แม้จะพูดไม่ได้ว่าไร้คนเยี่ยมเยียนเลยแต่ก็มีน้อยมากจริงๆ กระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เมื่อเรือบินตระกูลเซี่ยแล่นมาใกล้ดาวชะตา เซี่ยอวิ๋นเถิงไม่รอเรือบินจอดสนิทก็รีบแจ้นออกไปทันที ตรงดิ่งเข้าดาราบัญชาสวรรค์ไปก่อน

“เดินเร็วจริงนะเนี่ย!” บนเรือบิน ตระกูลเซี่ยได้จัดเตรียมที่พักให้แก่หวังเป่าเล่อใหม่ บนระเบียงที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่านั้น หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางกำลังยืนอยู่ที่นั่น ที่พักแห่งใหม่นี้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของเรือบินลำนี้ เมื่อยืนมองจากจุดนี้จะสามารถมองเห็นเรือบินลำนี้ได้เกินครึ่ง เมื่อแหงนหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นอวกาศสุดลูกหูลูกตาได้

หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางยืนตรงนี้ยิ่งทำให้มองเห็นกลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงที่จากไปได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เวลานี้เซี่ยไห่หยางที่มองเงาร่างเซี่ยอวิ๋นเถิงเหยียดยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยว่า

“อาจารย์อา ข้าได้รับข่าวจากตระกูลแล้ว เป็นเพราะเมื่อก่อนพ่อข้าได้ล่วงเกินท่านเฉินชิงจื่อเข้า ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในตระกูลจึงตัดสัมพันธ์กับเขาหนำซ้ำยังมีคนคอยรอเหยียบให้จม ถือโอกาสที่ปรมาจารย์เก็บตัวผนึกพ่อข้าไว้ให้ไม่ให้ออกมาเพื่อเตรียมส่งตัวเขาให้ท่านเฉินชิงจื่อจัดการต่อ”

“ส่วนข้า ก็อย่างที่เห็น ถูกกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลยึดคุ้มครองสายเลือดคืนแล้วก็ตัดออกจากรายชื่อนายน้อย ถึงแม้เป็นเพราะอาจารย์อายื่นมือช่วย ข้าถึงได้กลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ว่า…” เซี่ยไห่หยางพูดถึงตรงนี้ พูดยังไม่ทันจบพลันมีเสียงราวกับระฆังล่องหนแว่วมาจากทางอวกาศเบื้องหน้า!

เสียงนี้คล้ายกับระฆังและละม้ายคล้ายกระดิ่ง เสียงกังวานใสแว่วยาว กลายเป็นคลื่นเสียงที่ทำให้อวกาศดูราวกับผิวน้ำ เกิดระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขต

เมื่อเสียงนี้แว่วเข้ามา หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นขัดการพูดของเซี่ยไห่หยางในฉับพลัน

เซี่ยไห่หยางหยุดชะงักไม่พูดต่อ ส่วนหวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังอวกาศที่ราวกับผิวน้ำ เส้นทางที่กลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงเดินไป ที่นั่น…เป็นดาวที่ประหลาดมากดวงหนึ่ง

ที่ว่าประหลาดก็เพราะรอบนอกของดาวดวงนี้ มีวงแหวนที่ปล่อยแสงสีม่วงอยู่เป็นชั้นๆ ออกมา วงแหวนเหล่านี้หมุนวนเป็นชั้นๆ ชั้นล่างมีขนาดใหญ่สุด ยิ่งขยับขึ้นสูงขนาดก็ยิ่งเล็กลง เมื่อมองพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ารูปร่างมันคล้ายกับระฆังขนาดมหึมา!

และดวงดาวที่แท้จริงก็คือลูกกลมๆ ที่อยู่ในระฆังนั่น!!

เจ้าลูกนี้ได้เคลื่อนไหว หมุนวนอยู่ภายในตัวระฆังตามความถี่บางอย่าง บางคราก็กระทบโดนผิวภายในระฆังส่งเสียงกังวานใสกระจายไปทั่วทิศ ทำให้ผู้ที่ได้ยินพลันนิ่งสงบลงในพริบตา

“ดาวชะตา” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย ในระหว่างที่พึมพำ ขณะที่เสียงระฆังกำลังเลือนหาย ผู้คนบนเรือบินก็เริ่มทยอยได้สติกลับคืนก่อนตามด้วยเสียงถกเถียงกันต่างๆ นาๆ

“ดาวชะตา!”

“ในที่สุดก็ถึงแล้ว!”

“ดาราจักรที่ประมุขกฎสวรรค์อยู่ประหลาดดังคาด!”

ในขณะที่ผู้คนบนเรือกำลังใจชื้น เซี่ยไห่หยางก็จิตใจสงบนิ่งลงไปไม่น้อย ถึงเขาจะรู้ความลับต่างๆ มากกว่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาดาวชะตาแห่งนี้ ขณะที่กำลังมองดูดาววงแหวนที่คล้ายระฆัง นัยน์ตาเขาก็ค่อยๆ เผยร่อยรอยแห่งความหวัง

“ไห่หยาง เรื่องที่ตระกูลเจ้าผนึกพ่อเจ้าไว้เพื่อรอส่งให้เฉินจื่อชิงจัดการ ก่อนหน้าไม่ดำเนินการ มาลงมือเอาตอนนี้ ดูท่าเฉิงชิงจื่อจะหมดปัญหาแล้วล่ะ ”หวังเป่าเล่อพูดยิ้มๆ ในใจรู้สึกรอคอย สำหรับศิษย์พี่ก็ไม่ได้เจอกันนาน เขารู้สึกคิดถึงอยู่เหมือนกัน

เพียงแต่เพราะเซี่ยไห่หยางอยู่ตรงนี้ จึงไม่แสดงออกชัดเจนว่ารอคอย คำเรียกขานแน่นอนว่าก็ไม่ใช้ศิษย์พี่สองคำนี้ให้คนเกิดความสงสัย

“รบกวนอาจารย์อาสิบหกช่วยข้าด้วย!” สิ่งที่เซี่ยไห่หยางรอคอยก็คือประโยคนี้ รีบดึงสายจากออกจากดาวชะตา ขณะที่หันมองหวังเป่าเล่อ ความจริงใจของเขาแทบจะคุกเข่าลงแล้ว

“ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อไม่รับคำนับของเซี่ยไห่หยาง ยื่นมือประคองแขนเขาลุกขึ้นก่อน

“เรื่องนี้ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าจะช่วยเจ้า เอาอย่างนี้ละกัน เจ้าไปบอกพ่อเจ้า หากเฉินชิงจื่อไปหา ช่วยถ่ายทอดคำพูดข้าให้เฉินชิงจื่อสักประโยค”

“อะไรหรือ?” เซี่ยไห่หยางรีบถามกลับ

“บอกว่า…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาไปมา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่านี่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะขู่เซี่ยไห่หยางแล้ว เพื่อที่ต่อไปเขาจะได้จงรักภักดีไม่มีโอกาสให้กล้าคิดเป็นอื่นอีก

“ก็บอกไปว่าข้าเตรียมสุราดีไว้กาหนึ่ง ให้เขารีบมาชิมเร็วๆ ถ้าเกิดมาช้าข้าจะดื่มเองหมด” หวังเป่าเล่อมือไพล่หลัง วางท่าทางสบายๆ พูดขึ้นเรียบๆ

ประโยคนี้ลอยเข้าโสตประสาทเซี่ยไห่หยางพลันทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง จากน้ำเสียงประโยคนี้เขารับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและเฉิงชิงจื่อว่าต้องไม่อยู่ในระดับธรรมดาแน่นอน และในเวลาเดียวกันความรู้สึกยากจะหยั่งที่แผ่มาจากตัวหวังเป่าเล่อก็ได้ลอยเข้าไปในจิตใจเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขากำมือคาราวะขอบคุณแล้วก็รีบควักป้ายหยกออกมา ถ่ายทอดเสียงไปยังตระกูลให้พวกพ้องในตระกูลถ่ายทอดประโยคนี้ให้แก่บิดา

และเมื่อถ่ายทอดเสร็จสิ้น เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อ ในหัวไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เปิดปากราวกับมีผีบังคับให้ทำ

“อาจารย์อาสิบหก ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อเซี่ยเถาเถา หน้าตาสะสวย งดงามเปล่งปลั่ง…”

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ขณะที่กำลังจะตั้งใจฟัง ในหัวพลันมีเสียงพ่นลมเย็นชาของแม่นางน้อยลอยแว่วมา หลังจากที่ได้ยินเสียงเย็นชานี้หัวคิ้วก็พลันขมวด ปรายตามองเซี่ยไห่หยางคล้ายไม่สบอารมณ์

“ไห่หยาง ข้าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนแบบนั้นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องพรรค์นี้ต่อไปอย่าได้พูดถึงอีก จะทำให้ข้าดูถูกเจ้า!”

เซี่ยไห่หยางหัวใจกระตุก ท่าทางไม่พอใจของหวังเป่าเล่อนี้ไม่เหมือนการแสดง ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ผิดพลาดไปจริงๆ หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ไม่ใช่คนอย่างที่ตนคิดแน่นอน ดังนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก คาราวะอีกครั้ง ในใจตั้งมั่นต่อไปจะไม่เอ่ยถึงเรื่องพรรค์นี้อีกเด็ดขาด

ทว่าหวังเป่าเล่อกลับกระแอมไอทีหนึ่ง เมื่อเรือบินเข้าใกล้ดาวชะตามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงนอกดาวชะตาและจอดนิ่งสนิท เขาขยับร่างกายเหาะออกไปก่อน

เซี่ยไห่หยางตามติดไป ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เส้นทางของแต่ละคนกลายเป็นแสงทางยาวออกจากเรือบินไป มุ่งหน้าสู่ดาวชะตา!

เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองตาก็เห็นวงแหวนก็มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วของพวกเขา และเมื่อย่างเข้าสู่บริเวณวงแหวน ณ นาทีนี้บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรืออาจเป็นเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าเพราะเหตุใด แต่ในวินาทีนี้อวกาศเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว นกยูงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากอากาศกะทันหัน พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

นกยูงตัวนี้มีขนาดประมาณสามเมตรได้ ท่าทางองอาจ สีเขียวมรกตทั่วร่าง สยายปีกไปมา ส่วนหลังมีขนนกกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ขนนกเหล่านี้สีสันหลากหลายสะท้อนไปทั่วอวกาศ ระยิบระยับตระการตา

ยิ่งในนาทีที่มันปรากฏตัว มวลอากาศเย็นเยียบที่น่าตกตะลึงได้แผ่กระจายไปทั่วทิศในชั่วพริบตาและจุดที่กลุ่มของหวังเป่าเล่ออยู่ก็เป็นเส้นทางของเจ้านกยูงตัวนี้พอดี ในวินาทีที่ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมนั้นราวกับถูกแช่แข็งเลยทีเดียว

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงนัยน์ตาวาววับปล่อยพลังปราณขึ้นตามๆ กัน ขยายพลังดารานิรันดร์แผ่ปกป้องหวังเป่าเล่อ ทางด้านหวังเป่าเล่อ เขาหรี่ตาลงไม่ใส่ใจความหนาวเย็นรอบกายและก็ไม่ได้ให้ความสนใจนกยูงนี่เท่าไรนัก สายตาจับจ้องบนหัวนกยูง ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น

หญิงผู้นี้สวมชุดสีแดง ศีรษะประดับมงกุฎหงส์ หว่างคิ้วแต้มชาดรูปข้าวหลามตัด ดูงดงามยิ่งนัก เครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ต่างหูหรือสร้อยข้อมือล้วนมีกระพรวนประดับอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วๆ ไป

และในบางครั้งก็ส่งเสียงคล้ายกับดาวชะตา!

แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมองขึ้นไป ผู้หญิงคนนี้ก็ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่มองหวังเป่าเล่อนัยน์ตาเขาปรากฏแววอาฆาตวาบผ่าน ด้านหลังผุดดาวดวงหนึ่งขึ้นราวกับมีเครื่องเป่าลม…ดาวกระดาษ!

นางก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์เก้าวิหกเพลิงที่สามแห่งจักรพิภพสำนักเสริม ผู้ที่ได้รับดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งจากสุสานดวงดารา แม่นางกระพรวน สวี่อินหลิง!

“พี่เป่าเล่อ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ สวี่อินหลิงพลันหัวเราะร่าราวกับดอกไม้บาน น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูผนวกกับรูปลักษณ์พลันส่งผลให้เสน่ห์เปล่งประกายออกมาทั่วเรือนร่าง

“แม่นางน้อย มีคนยั่วยวนข้า!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ในใจรีบฟ้องแม่นางน้อยทันที

“คนต่ำช้า” สิ่งที่ตอบกลับเขาคือภายในหัว แม่นางน้อยดูคล้ายแค่นเสียงเย็นเบาๆ

……………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset