หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1007 ศิษย์พี่ชายสองที่ไม่เหมือนผู้ใด!

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น จึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกัน สิ่งที่วัวแก่เคยเล่าให้เขาฟังพลันผุดขึ้นมาในหัว ที่ดาราจักรไฟแห่งนี้ จำไว้ว่าต้องพูดตามความเป็นจริง อย่าได้คิดที่จะหลอกลวง

ทว่าเวลานี้ สีหน้าเขายิ่งเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ก่อนกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น

“ศิษย์พี่สิบห้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์มีความฉลาดหลักแหลม ข้าไม่กล้าคิดหรอกว่าที่เขาทำเช่นนั้นจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง”

เมื่อศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างได้ฟังเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก

“น้องสิบหกไม่จริงใจเอาเสียเลย คิดสิ่งใดกลับไม่พูดออกมาตามจริงเช่นนี้ อีกไม่นานพอได้พบกับศิษย์พี่เจ็ด เจ้าจะได้รู้ถึงผลลัพธ์ของคำพูดที่ไม่จริงใจ”

ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะงุนงงเล็กน้อย ศิษย์สิบห้าจึงไม่กล่าวอะไรอีก แม้ว่าเขาจะกระโดดเด้งดึ๋งเหมือนเห็ดเข็มทองไปตลอดทาง แต่กลับไม่พูดจากับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพาเขาไปทำความเคารพศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดและสิบสอง

หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ไปคารวะศิษย์พี่หญิงสิบสอง ในที่สุดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตั้งแต่มาถึงดาราจักรไฟอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่เขาเห็นว่าดูเหมือนคนปกติ ระดับการฝึกตนไปถึงระดับดารานิรันดร์แล้ว ศิษย์พี่หญิงสิบสองไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงดงามเลอค่า กิริยามารยาทก็สง่างามไร้ที่ติ ตอนอยู่ในหอคอยนางยังสุภาพอ่อนโยนกับหวังเป่าเล่อ หลังจากได้ซักถามเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังกำชับบางอย่างในเรื่องของการฝึกตน สุดท้ายจึงได้ลุกขึ้นฝากฝังเขาไว้กับศิษย์สิบห้าด้วยตัวเอง

นอกจากการฝากฝังแล้ว นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโอสถบำรุงขวดหนึ่งออกมายื่นให้แก่หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์น้องสิบหก โอสถนี้มีนามว่ายาผสานวิญญาณ มีทั้งหมดเจ็ดเม็ด เจ้าสามารถใช้มันได้ก็ต่อเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส มันสามารถทำให้กายและจิตของเจ้าฟื้นตัวได้เร็วเป็นอย่างมากภายในเวลาหนึ่งก้านธูป”

ศิษย์พี่สิบสองดูปกติกว่าศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่เป็นอย่างมาก นอกจากบุคลิกของพวกเขาดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับศิษย์พี่สิบสอง ไม่ใช่แค่ไม่อ่อนโยนหรือสง่างาม แต่กลับเอาแต่ใจตัวเองสุดๆ โดยเฉพาะร่างกายที่พร้อมปล่อยพลังรุนแรงราวกับภูเขาไฟที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ เนื่องด้วยระดับการฝึกตนขั้นดารานิรันดร์ของพวกเขา ก็สามารถจินตนาการได้ถึงยามที่มันระเบิดจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง!

วาจาสอดคล้องกับบุคลิกของเขา หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ ประโยคแรกที่เอ่ยถามก็ตรงไปตรงมาอย่างอย่างไม่น่าเชื่อ

“ศิษย์น้องสิบหก เนื่องจากเจ้าได้เห็นหน้าค่าตาศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกนั้นแล้ว อีกทั้งยังอยากที่จะทำความเข้าใจบางสิ่งเกี่ยวกับดาราจักรไฟของข้า ถ้าอย่างนั้นบอกข้าทีว่าหลังจากเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อการกระทำของท่านอาจารย์อาวุโส?”

คำถามนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตอบได้ยากเย็นนัก แม้ศิษย์สิบห้าจะเคยถามคำพูดคล้ายๆ กันมาก่อน แต่ด้วยบุคลิกของศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดอีกทั้งระดับการฝึกตน ล้วนสร้างความกดดันให้แก่หวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทำเอาหวังเป่าเล่อลังเล เขาจึงทำเพียงยกมือคารวะขณะพูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

“ข้าขอตอบศิษย์พี่สิบเอ็ดว่า ท่านอาจารย์นั้นซับซ้อนจนยากที่จะคาดเดา ระดับการฝึกตนของข้ายังไม่เพียงพอจึงไม่สามารถมองได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ข้าพอจะสัมผัสได้ถึงความรักและความหวังดีที่ท่านอาจารย์มีต่อลูกศิษย์ของท่าน”

หวังเป่าเล่อพูดไปตามมารยาท ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงจากใจ ถึงแม้วัวแก่จะเตือนเขามาล่วงหน้าแล้วว่าอยู่ที่นี่ไม่ต้องประจบสอพลออะไรมาก ให้พูดไปตามความเป็นจริง แต่เขารู้สึกว่าไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่ชอบฟังคำพูดเยินยอ จะจริงหรือไม่จริงก็ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาของคนที่พูด

ตั้งแต่หวังเป่าเล่อได้เดินทางมาถึงดาราจักรไฟแห่งนี้ มันทำให้เขาคลางแคลงใจกับเรื่องไร้สาระอยู่เรื่อยๆ เพราะมักจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเห็น และด้านในดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ตัวเองปะติดปะต่อได้ในตอนนี้

เสมือนมีผ้าบางๆ ที่มองไม่เห็นบดบังทุกอย่างไว้ ทำให้ตัวเขามองไม่เห็นและไม่เข้าใจเสียที ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงต้องระวังคำพูดของตัวเองสักหน่อย

เมื่อศิษย์พี่หญิงที่สิบเอ็ดได้ฟังคำตอบของหวังเป่าเล่อ ท่าทีของนางยังคงเหมือนเดิม ไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ชัดเจนแต่อย่างใด นางเพียงมองลึกเข้าไปในตาของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดเบาๆ

“นิสัยแบบเจ้าไม่ควรมาที่ดาราจักรไฟเลยนะ” ศิษย์พี่สิบเอ็ดพูดพลางโบกมือ ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อและศิษย์สิบห้าที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่มาถึง ได้ถูกคลื่นความร้อนม้วนตัวเขาออกจากหอคอยของศิษย์พี่สิบเอ็ดอย่างรวดเร็ว

หลังจากมาถึงด้านนอก ศิษย์สิบห้าเหลือบมองหวังเป่าเล่อก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง

“สิ่งที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดเกลียดที่สุดคือคำพูดไม่จริงใจ”

หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พลันหันหน้ากลับไปมองหอคอยศิษย์พี่สิบเอ็ด ได้แต่ส่ายหัวโดยที่ไม่กล่าวอะไร หลังจากศิษย์สิบห้าพูดกับตัวเองแบบนั้น เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แล้วพาหวังเป่าเล่อไปทำความเคารพศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะไม่ได้สนทนากันมากนัก ด้วยเหตุนั้นขั้นตอนการพบปะจึงเร็วขึ้นไปโดยปริยาย

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ศิษย์สิบห้าก็พาหวังเป่าเล่อไปทำความเคารพศิษย์พี่สิบจนถึงศิษย์พี่สามเสร็จสิ้น ในบรรดาแปดคนนี้มีคนปกติอยู่มาก ซึ่งช่วยลดความรู้สึกแปลกๆ ในใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่อดาราจักรไฟได้ไม่น้อย

เนื่องจากศิษย์พี่สิบเป็นชายร่างใหญ่ราวกับยักษ์ อีกทั้งพลังในร่างกายก็แกร่งกล้า จนเลือดไหลเวียนได้อย่างดีเยี่ยม การเข้าหาเขาก็เหมือนกับการเข้าใกล้เตาไฟ แม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่สิบผู้นี้พูดไม่เก่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนและพลังการต่อสู้นั้นก็ดูเหมือนจะสูงกว่าศิษย์พี่สิบเอ็ดมาก

เขาใจดีกับหวังเป่าเล่อมาก เพราะก่อนที่หวังเป่าเล่อจะคารวะเสร็จแล้วจากไป เขายังได้มอบเลือดอสูรขวดหนึ่งตามที่ได้แนะนำ ซึ่งนี่เป็นเลือดของอสูรร้ายระดับดารานิรันดร์ หากทาให้ทั่วร่าง มันก็จะสามารถช่วยเพิ่มพลังของชั้นกายเนื้อให้เป็นอมตะได้

ส่วนศิษย์พี่เก้านั้นก็ดูปกติเช่นกัน แม้ร่างกายของนางจะสูญเสียพละกำลังมากไปหน่อย แต่สำหรับศิษย์พี่หญิงห้าและศิษย์พี่ชายหก หวังเป่าเล่อก็ยังเห็นว่าสองคนนี้เป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ปกติที่สุดเช่นเดียวกับศิษย์พี่หญิงสิบสอง ระดับการฝึกตนก็ยังอยู่ในขั้นดารานิรันดร์ อีกทั้งยังแสดงความโอบอ้อมอารีต่อหวังเป่าเล่อด้วยการมอบของขวัญในการพบปะกัน

สำหรับศิษย์พี่ชายสี่ที่ไม่ได้อยู่ในดาราจักรไฟ เพราะไปทดสอบพลังฝึกปรืออยู่ต่างดาว ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้พบเขา ทว่านอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกสองสามคนที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน

อย่างเช่นศิษย์พี่ชายแปดเป็นคนแคระ ส่วนสูงของเขาอยู่แค่ระดับเอวของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ประกอบกับร่ายกายที่อาจสร้างความปั่นป่วนต่อจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มของเขารวมถึงฟันสีดำเต็มปาก ตอนที่เห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อรู้สึกขนลุกเกรียว สัญชาตญาณร้องเตือนถึงปัญหารุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีศิษย์พี่ชายเจ็ดที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้…

ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกว่าปกติหรือไม่ปกติก็ได้เช่นกัน ที่บอกว่าปกตินั่นเพราะว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนทั้งคำพูดและการกระทำ ราวกับสุภาพบุรุษทั่วไป เขายังชงชาบำรุงวิญญาณให้แก่หวังเป่าเล่ออีกด้วย คำพูดก็อธิบายได้ครอบคลุมทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของเขาต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก

ส่วนที่บอกว่าไม่ปกตินั้นคือร่างกายของเขาบวมไปทั้งตัว รวมถึงจมูกและใบหน้าที่ปูดบวม ดูแล้วน่าอับอาย หลังจากได้ทำการคารวะแล้วจึงรีบเดินทางออกมา ศิษย์สิบห้าไม่ได้สนทนาอะไรกับหวังเป่าเล่อมาตลอดทาง ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยพูดกับหวังเป่าเล่อพูด

“ศิษย์น้องสิบหกเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ศิษย์พี่เจ็ดเป็นบุรุษรูปงามเพียงใด นั่นเพราะเขาชอบประจบสอพลอท่านอาจารย์ ไม่พูดตามความเป็นจริง หลังจากนั่นน่ะเหรอ…เจ้ารู้ไว้ว่า ท่านอาจารย์ไม่ชอบใจก็เลยทุบตีเขา…เป็นกิจวัตรเลยล่ะ ศิษย์พี่เจ็ดถูกทุบตีทุกเดือน จนตอนนี้ข้าเองก็ลืมรูปลักษณ์เดิมของเขาไปแล้ว”

“นี่มัน…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจหลังจากได้ยินเรื่องนี้

“ข้าบอกเจ้าไว้นะน้องสิบหก เจ้าต้องพึงระลึกไว้เสมอ สิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรทำก็คือความไม่จริงใจ ต้องพูดทุกอย่างตามความจริง”

ใจหวังเป่าเล่อรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ต่อมาศิษย์สิบหกได้พาเขาไปที่หอคอยของศิษย์พี่ชายที่สาม ศิษย์พี่สาม…ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่ปกติ พูดได้เพียงว่าภาพลักษณ์ดูฉุนเฉียวเกินไป

รูปลักษณ์ดูเมือนวัวไฟ ดูอย่างไรก็คล้ายกับวัวแก่เหยียนหลิง หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เหนือสิ่งอื่นใด มารยาทของศิษย์สิบห้าขณะได้เห็นศิษย์พี่สิบสามรวมไปถึงโทนเสียงตอนทำความเคารพ ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจในการคาดการณ์ของตัวเองมากขึ้น

ศิษย์พี่สามมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่พูดอะไรกับหวังเป่าเล่อสักคำ ซ้ำยังผลุนผลันออกไป ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจอะไรได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงทำเพียงตามศิษย์สิบห้าไปทำความเคารพศิษย์พี่ชายที่สอง

หลังจากได้เห็นศิษย์พี่สอง ตลอดทางที่หวังเป่าเล่อได้ผ่านมา การที่ได้ประสบพบเจอศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงมากมายมาก่อนหน้านี้ล้วนทำให้รู้สึกประหลาดใจ อีกด้านหนึ่งคือหวังเป่าเล่อไม่สามารถมองออกถึงระดับการฝึกตนของศิษย์พี่สอง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับดารานิรันดร์ และไม่เหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่ตัวเขาเคยพบเจอมา ไม่เหมือนแม้กระทั่งผู้ฝึกตน!

ในทางกลับกัน แม้ว่าศิษย์พี่สองจะดูเหมือนชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาเป็นพิเศษ อีกทั้งดวงตาของเขาเปรียบเสมือนดวงดารา ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงกระบวนเวทที่ไม่ธรรมดา ทว่าหวังเป่าเล่อมีความรู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายดูราวกับไม่มีชีวิตอยู่จริง

ดูเหมือนว่ามีความแตกต่างในการรับรู้ระหว่างสิ่งที่ตาและดวงจิตมองเห็นอยู่นั้นคือศิษย์พี่สองตัวจริง ราวกับว่า…สิ่งที่เขาเห็นคือรูปลักษณ์ที่ศิษย์พี่สองต้องการให้เห็นด้วยตัวเขาเอง

ความรู้สึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอึดอัดมาก หลังจากศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างกันรับรู้สถานการณ์นี้ แม้เขาจะอยู่ต่อหน้าศิษย์พี่สอง แต่ก็ยังกระซิบออกมา

“ศิษย์น้องสิบหก การฝึกตนของศิษย์พี่สองนั้นแตกต่างกับข้า สิ่งที่เขาฝึกคือเคล็ดวิชาธูปศักดิ์สิทธิ์ จะกล่าวได้ว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในโลกก็ย่อมได้ เพราะเกิดมาจากในธูป…ส่วนหนึ่ง ศิษย์พี่สองจึงเสมือนเป็นเทพที่เป็นอมตะตนหนึ่งมากกว่า!”

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset