หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1043 ภูเขาแห่งโชคชะตา!

“ผู้ที่ระลึกชาติได้…จึงมีสิทธิ์ได้พลิกดูหน้าสมุดแห่งโชคชะตา สามารถเห็นเคราะห์ร้ายในอนาคตได้…ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้าสามารถดูเหตุการณ์ในอีกหกสิบแปดปีได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อเผยแววตาแวววามประหลาด ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สนใจวาสนาที่ท่านอาจารย์เล่าเอาไว้อย่างยิ่ง

“ไม่รู้ว่า…ชาติก่อนของข้าเป็นเช่นใด? ข้าเกิดมากี่ชาติแล้ว?” หวังเป่าเล่อในใจสงสัย ก่อนหน้ากราบเข้าสำนักแห่งความมืด เขาไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าแม้แต่น้อย แต่ประสบการณ์ที่สำนักแห่งความมืดกลับทำให้เขาเข้าใจ สรรพชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีชาติก่อนทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในฝันอนธการยามเริ่มแรก ที่เขาได้เป็นผู้นำส่งวิญญาณผู้วายชนม์มากมาย มีแม้กระทั่งยังเคยแต่งหน้าผีให้แก่วิญญาณใหม่อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ในห้วงฝันอนธการนั้น เขาไม่มีโอกาสได้เสาะหาวิชาเทพในชาติที่แล้วของตนเองเลย

ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่กับความคิด พี่ชายเกาที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพอใจในความมีเมตตาของตนเองอย่างมาก ทว่าเขาก็คิดออกอีกเรื่องด้วยความรวดเร็ว จึงรีบเอ่ยปากเสียงเบา

“แต่ว่าพี่ต้าลู่ งานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ ท่านต้องระวังคนพวกนี้สักหน่อย…”

“เอ๋?” หวังเป่าเล่อมองพี่ชายเกา

“งูยักษ์ลอกคราบตัวที่พวกเราอยู่นี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในสามสิบเก้าอสูรดึกดำบรรพ์เท่านั้น หมายความว่าในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ชะตาดวงนี้ ยังมีอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวที่กำลังมุ่งไปยังเขตกลาง”

“เห็นได้ว่าผู้ที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้มีจำนวนมากนัก อีกทั้ง…บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวก็มีเหล่าผู้คนซึ่งมีพลังปราณสะท้านสะะเทือน คนพวกที่มีพลังน่าหวาดหวั่นอีกด้วย!”

“แม้ว่าพี่ต้าลู่จะหลอมรวมดาวเคราะห์เต๋าแล้วก็ตาม การต่อสู้กับสวี่อินหลินบนท้องฟ้าท่านก็เผยให้เห็นพละกำลังที่ไม่ด้อย แต่ท่านยังต้องระวังคนอยู่อีก 4 คน!”

“4 คนที่ว่านี้ ในบรรดานั้น ก็คือนายน้อยลำดับเก้า สายเลือดลำดับแรกของราชันเทวะไกก้าจากตระกูลไม่รู้สิ้น คนนี้ดูเพียงผิวเผิน เหมือนจะมีพลังฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ อีกทั้งดาวเคราะห์ที่เขาหลอมรวมเองก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์เต๋า แต่เป็นดาวเคราะห์บรรพกาล ทว่าในเรื่องจำนวน…ก็เป็นเก้าดวงเช่นเดียวกัน เก้านั้นคือจำนวนสูงสุด และเส้นทางที่เขาเลือกใช้ในยามนั้นว่ากันว่าเหมือนเส้นทางเต๋าของพี่ต้าลู่ไม่ผิดเพี้ยน น่าเสียดาย…เขากลับทำไม่สำเร็จ!”

“ดังนั้นแล้วในครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะมาลองเชิง หรือว่าจะมาแย่งดาวเคราะห์เต๋าของท่าน เขาจะต้องมาหาท่านเพื่อสู้กันสักคราเป็นแน่!” ในเวลาที่พี่ชายเกาเอ่ยถึงนายน้อยที่เก้านั้น แววตาไม่อาจปิดบังความจริงจัง เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นขุมกำลังของตระกูลเขาก็หวั่นเกรงคนผู้นี้

“ตระกูลไม่รู้สิ้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา

“แล้วอีกสามคนเล่า?”

“สำนักต้นกำเนิดของสวี่อินหลิน จักรพิภพสำนักเสริมเก้าวิหคเพลิง สำนักนี้ถูกจัดให้อยู่ที่สามของลำดับสำนักในจักรพิภพ ในส่วนของลำดับสองนั้นก็คือสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักนี้ไม่เหมือนกับสำนักอื่น เพราะมีกันแค่ 77 คน ส่วนลำดับชั้นนั้นวุ่นวายนัก เพราะเปลี่ยนตามพลังฝึกปรือ อีกทั้งทุกคนในนั้น…ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่กลับชาติมาฝึกปรือใหม่ทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่มาในงานอวยพรฉลองอายุครั้งนี้ ก็คือศิษย์คนที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!”

“คนผู้นี้เคยเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ลำดับหนึ่งแห่งจักรพิภพ หลังเขากลับชาติมาเกิดใหม่ แม้ว่าร่างใหม่ในยามนี้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ฝีมือกลับฉกาจฉกรรจ์ อีกทั้งยังเก่งกล้าด้านการต่อสู้จนน่าตื่นตะลึง ว่ากันว่าในบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้!”

“กลับชาติมาฝึกใหม่หลายต่อหลายครั้ง? สำนักที่มีคนแค่เจ็ดสิบเจ็ดคน? แล้วสำนักลำดับแรกเล่าเป็นใคร?” หวังเป่าเล่อได้ฟังก็สงสัยอย่างยิ่ง ถามขึ้นมา

“ไม่มีสำนักอันดับหนึ่ง สำนักศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ประหลาดยิ่งนัก เพราะไม่มีสำนักลำดับแรก เห็นได้ชัดว่าสำนักเจ็ดวิญญาณคือสำนักลำดับแรกแล้ว แต่พวกเขากลับถูกจัดให้อยู่ลำดับสอง ส่วนตัวของสำนักเก้าวิหคเองก็เช่นกัน พวกเขายินยอมถูกจัดเป็นที่สาม”

“ดังนั้นหากสำนักลำดับหนึ่งมีอยู่จริง ก็คงจะเร้นลับมาก บางทีต้นตระกูลเกาของพวกข้าอาจจะรู้ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกข้า” พี่ชายเกาโบกมือ ในเรื่องนี้ เขาเองก็อัศจรรย์ใจจริงๆ

“ท่านเคยได้ยินเรื่องสำนักดาราจันทร์หรือไม่?” หวังเป่าเล่อพลันถามขึ้น

“ข้าเคยได้ยิน หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นคนของสำนักนี้มิใช่หรือ แต่ว่าสำนักนี้มีลำดับในบรรดาสำนักทั้งหลายลำดับค่อนข้างต่ำไป ไม่ติดหนึ่งในร้อยอันดับด้วยซ้ำ ไม่ได้รับการจัดอันดับ” พี่ชายเกานำสิ่งที่ตนรู้บอกแก่หวังเป่าเล่อหมดแล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก แต่เท่าที่เขาทราบมานั้นเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ตรงกัน

ท่ามกลางความเงียบ พี่ชายเกาก็เอ่ยรายนามคนอีกสองคนซึ่งหวังเป่าเล่อต้องระวังออกมา

“ในบรรดาเต๋าเก้ารัฐแห่งสำนักที่หนึ่ง จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย เฉินหรูซิวยังไม่มีสถานภาพเป็นผู้ฝึกตนเต๋า เพราะในจักรวรรดิดาวตกเขาได้รับแค่ดาวเคราะห์พิเศษ ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้รับการเลื่อนลำดับ แต่ข้าว่าเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนเต๋าอยู่ดี อย่างไรก็ดีคนที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ กลับเป็นผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดของเต๋าเก้ารัฐ!”

“ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ ระดับพลังฝึกปรือดาวพระเคราะห์ขั้นสมบูรณ์ แม้ว่าดาวที่หลอมรวมจะเป็นดาวเคราะห์พิเศษ แต่ว่าพลังแห่งกฎนั้นสะท้านผู้คนยิ่งนัก นั่นก็คือพลังกลืนกิน กลืนกินทุกสิ่ง และเพราะกฎนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ นิสัยโหดเหี้ยมเป็นที่สุด!”

“คนสุดท้าย เจ้าเองก็เคยพบ นั่นก็คือ…ในจักรวรรดิดาวตก คนที่สวมชุดคลุมสีดำผู้นั้น สหายที่สะพายกระบี่เต๋าอันยักษ์!”

“เจ้าหมอนี่มีชื่อว่าซิงจิงจื่อ ไม่สังกัดสำนัก เป็นผู้ฝึกตนฝึกปรืออิสระ แต่หลังเกิดเรื่องในจักรวรรดิดาวตก เขาได้หลอมรวมดาวเคราะห์พิเศษแล้ว แต่ตนเองเนื่องด้วยไม่มีขุมอำนาจใดๆ หนุนหลัง ดังนั้นจึงถูกขุมกำลังน้อยใหญ่ตามฆ่า วางแผนช่วงชิงดาวพระเคราะห์ของเขา ทว่าจนถึงบัดนี้ก็หลายปีแล้ว ผู้ฝึกปรือดาวพระเคราะห์ที่ถูกเขาสังหารกลับมีหลายร้อย ขุมกำลังระดับเล็กที่แหลกสลายก็นับเป็นสิบ กล่าวได้ว่าเขาฆ่าล้างเบิกทางให้ตัวเองมหาศาล แม้ว่าระดับดาวพระเคราะห์จะอยู่เพียงระดับกลาง แต่ฝีมือฆ่าฟันของเขานั้นเกินระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ไปแล้ว!”..ไอรีนโนเวล

“หลังๆ มานี้มีคนมองออก กระบี่เล่มนั้นของเขาเป็นดาบมารเล่มหนึ่ง เป็นดาบมารที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาไม่น้อย เพราะในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด ดาบมารทั้งหมดกลับมาจากสถานที่เดียวกันนั่นคือ…สำนักมารสูงสุด!”

“สำนักมารสูงสุด ไม่มีที่ตั้งสำนักถาวร มันเพียงแต่ลอยไปมาทั่วอาณาจักรดาราไม่รู้สิ้น แต่ขุมกำลังของสำนักนั้นกล้าแกร่งนัก ไม่แพ้…สำนักศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แห่งสำนักเต๋าฝั่งซ้าย หรือเหล่าสำนักสามลำดับแรก บางทีพวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”

“นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักลำดับที่สอง ผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และซิงจิงจื่อ!” เมื่อได้ยินพี่ชายเกาอธิบาย หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้จักเหล่าผู้เยี่ยมยุทธิ์ที่มาจากขุมกำลังต่างๆ ในงานฉลองอายุครั้งนี้บ้างแล้ว

“ในส่วนของสวี่อินหลิน ก่อนหน้านี้นางปิดบังตัวตนได้ดี คนอื่นกลบแสงนางเสียมิด แต่หลังจากข้าสู้กับนางแล้ว นางถึงค่อยเผยพลังออกมาทั้งหมด ข้าถือว่านางเป็นศัตรูตัวฉกาจและเป็นเป้าหมายของคนอื่นเช่นกัน”

“แล้วก็ยังมี…หลี่หว่านเอ๋อร์ แม้ว่าพลังดาวพระเคราะห์ของนางจะธรรมดา แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่า นางน่าจะเป็นคนที่มีไพ่ตายเยอะที่สุด!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขานิ่งเงียบฟังคำพูดทั้งหมดของพี่ชายเกาจนกระทั่งท้องนภาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและแสงจันทร์สว่างถูกเมฆดำกลบมิดไป พี่ชายเกาถึงค่อยบอกลา

หลังจากมองส่งอีกฝ่ายไปไกลแล้ว หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่นั้น เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้วก็หลับตารอให้เวลาผันผ่าน ในส่วนของเซี่ยไห่หยางและผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้เขานักแต่ก็ไม่ได้ไปไหนกัน ยังคงเฝ้าพิทักษ์เขาอยู่

เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลังจากผ่านไปหลายวันหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ สงบจิตใจลง แม้จะมีคนแวะเข้ามาทักทายบ้าง แต่ก็ถูกเซี่ยไห่หยางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ในส่วนของคนรู้จักที่จักรวรรดิดาวตกนั้น แม้จะมีอยู่ส่วนหนึ่งบนงูยักษ์นี้เช่นกัน แต่ส่วนมากพวกเขาก็สนิทกับหวังเป่าเล่อเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้แวะมา

เวลาหมุนผ่าน งูยักษ์ที่พวกเขาอยู่ตรงนี้ ก็เคลื่อนผ่านแผ่นทวีปไปไม่หยุดหย่อน ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นทุกที ทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนไปหลายครั้ง สถานที่และสรรพสัตว์แปลกประหลาดล้วนค่อยๆ โผล่มาให้หวังเป่าเล่อได้ยลกาย เขาจึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจแบบครั้งแรกแล้ว

ครึ่งเดือนให้หลังใกล้จะผ่านพ้น งูยักษ์ที่พวกเขาโดยสารนี้ ในที่สุดก็พาพวกเขามาถึงยังศูนย์กลางของดาวเคราะห์ชะตา ห่างออกไปนั้นแลเห็นภูเขาไฟขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสะท้อนภาพเข้าสู่ดวงตาของหวังเป่าเล่อ

ภูเขาไฟลูกนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ แทบจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หากเทียบไปแล้วเจ้างูยักษ์ใต้เท้าของพวกเขาดูเล็กไปถนัดตา ในเวลานี้หากทอดสายตามองจะเห็นเมฆหมอกสีดำปกคลุมบริเวณยอดเขาครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้เล็กน้อย ถึงสายฟ้าจำนวนมากและแสงเพลิงในนั้น ใจกลางเมฆมีแสงสว่างวาบ ทั้งยังมีเสียงดังกัมปนาทลอยออกมา ราวกับว่าด้านในภูเขากำลังโห่คำราม แล้วก็ยังมี….สิ่งที่ออกมาจากใจกลางภูเขานี้ คลื่นพลังสะท้านฟ้าสะท้านดิน!

แม้ว่าคลื่นพลังดังกล่าวจะถูกกักเก็บอยู่ภายใน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ ดวงตาของเขาหรี่เล็ก นี่มันเป็นภูเขาไฟเสียที่ไหนเล่า เห็นได้ชัดว่านี่คือยอดเขาดาราอมตะที่นำพลังดาราอมตะจำนวนมากมารวมกันต่างหาก!

หลังจากที่งูยักษ์เคลื่อนตัวเข้าใกล้ยอดเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าขนาดของภูเขาใหญ่มาก กระทั่งว่าตอนสุดท้ายที่ส่วนหางของเจ้างูยักษ์ปีนป่ายขึ้นภูเขานั้น แรงกดดันที่มาจากตัวภูเขานี้ก็ยิ่งแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศอย่างรุนแรง!

และหากว่าในยามนี้ใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงไปเห็นสภาพโดยรอบทั้งหมด ย่อมมองเห็นเจ้างูยักษ์และอสูรดึกดำบรรพ์ทั้ง 39 ตัวกระจายอยู่แต่ละตำแหน่งในภูเขาพร้อมภาพของเหล่าผู้ฝึกตน ผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งขี่พวกมันและปีนป่ายขึ้นมา เป้าหมายของพวกเขานั้น…ก็คือยอดเขาแห่งนี้!

ยอดเขาสูงสุด

……………………………………….

“ผู้ที่ระลึกชาติได้…จึงมีสิทธิ์ได้พลิกดูหน้าสมุดแห่งโชคชะตา สามารถเห็นเคราะห์ร้ายในอนาคตได้…ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้าสามารถดูเหตุการณ์ในอีกหกสิบแปดปีได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อเผยแววตาแวววามประหลาด ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สนใจวาสนาที่ท่านอาจารย์เล่าเอาไว้อย่างยิ่ง

“ไม่รู้ว่า…ชาติก่อนของข้าเป็นเช่นใด? ข้าเกิดมากี่ชาติแล้ว?” หวังเป่าเล่อในใจสงสัย ก่อนหน้ากราบเข้าสำนักแห่งความมืด เขาไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าแม้แต่น้อย แต่ประสบการณ์ที่สำนักแห่งความมืดกลับทำให้เขาเข้าใจ สรรพชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีชาติก่อนทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในฝันอนธการยามเริ่มแรก ที่เขาได้เป็นผู้นำส่งวิญญาณผู้วายชนม์มากมาย มีแม้กระทั่งยังเคยแต่งหน้าผีให้แก่วิญญาณใหม่อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ในห้วงฝันอนธการนั้น เขาไม่มีโอกาสได้เสาะหาวิชาเทพในชาติที่แล้วของตนเองเลย

ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่กับความคิด พี่ชายเกาที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพอใจในความมีเมตตาของตนเองอย่างมาก ทว่าเขาก็คิดออกอีกเรื่องด้วยความรวดเร็ว จึงรีบเอ่ยปากเสียงเบา

“แต่ว่าพี่ต้าลู่ งานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ ท่านต้องระวังคนพวกนี้สักหน่อย…”

“เอ๋?” หวังเป่าเล่อมองพี่ชายเกา

“งูยักษ์ลอกคราบตัวที่พวกเราอยู่นี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในสามสิบเก้าอสูรดึกดำบรรพ์เท่านั้น หมายความว่าในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ชะตาดวงนี้ ยังมีอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวที่กำลังมุ่งไปยังเขตกลาง”

“เห็นได้ว่าผู้ที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้มีจำนวนมากนัก อีกทั้ง…บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวก็มีเหล่าผู้คนซึ่งมีพลังปราณสะท้านสะะเทือน คนพวกที่มีพลังน่าหวาดหวั่นอีกด้วย!”

“แม้ว่าพี่ต้าลู่จะหลอมรวมดาวเคราะห์เต๋าแล้วก็ตาม การต่อสู้กับสวี่อินหลินบนท้องฟ้าท่านก็เผยให้เห็นพละกำลังที่ไม่ด้อย แต่ท่านยังต้องระวังคนอยู่อีก 4 คน!”

“4 คนที่ว่านี้ ในบรรดานั้น ก็คือนายน้อยลำดับเก้า สายเลือดลำดับแรกของราชันเทวะไกก้าจากตระกูลไม่รู้สิ้น คนนี้ดูเพียงผิวเผิน เหมือนจะมีพลังฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ อีกทั้งดาวเคราะห์ที่เขาหลอมรวมเองก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์เต๋า แต่เป็นดาวเคราะห์บรรพกาล ทว่าในเรื่องจำนวน…ก็เป็นเก้าดวงเช่นเดียวกัน เก้านั้นคือจำนวนสูงสุด และเส้นทางที่เขาเลือกใช้ในยามนั้นว่ากันว่าเหมือนเส้นทางเต๋าของพี่ต้าลู่ไม่ผิดเพี้ยน น่าเสียดาย…เขากลับทำไม่สำเร็จ!”

“ดังนั้นแล้วในครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะมาลองเชิง หรือว่าจะมาแย่งดาวเคราะห์เต๋าของท่าน เขาจะต้องมาหาท่านเพื่อสู้กันสักคราเป็นแน่!” ในเวลาที่พี่ชายเกาเอ่ยถึงนายน้อยที่เก้านั้น แววตาไม่อาจปิดบังความจริงจัง เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นขุมกำลังของตระกูลเขาก็หวั่นเกรงคนผู้นี้

“ตระกูลไม่รู้สิ้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา

“แล้วอีกสามคนเล่า?”

“สำนักต้นกำเนิดของสวี่อินหลิน จักรพิภพสำนักเสริมเก้าวิหคเพลิง สำนักนี้ถูกจัดให้อยู่ที่สามของลำดับสำนักในจักรพิภพ ในส่วนของลำดับสองนั้นก็คือสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักนี้ไม่เหมือนกับสำนักอื่น เพราะมีกันแค่ 77 คน ส่วนลำดับชั้นนั้นวุ่นวายนัก เพราะเปลี่ยนตามพลังฝึกปรือ อีกทั้งทุกคนในนั้น…ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่กลับชาติมาฝึกปรือใหม่ทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่มาในงานอวยพรฉลองอายุครั้งนี้ ก็คือศิษย์คนที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!”

“คนผู้นี้เคยเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ลำดับหนึ่งแห่งจักรพิภพ หลังเขากลับชาติมาเกิดใหม่ แม้ว่าร่างใหม่ในยามนี้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ฝีมือกลับฉกาจฉกรรจ์ อีกทั้งยังเก่งกล้าด้านการต่อสู้จนน่าตื่นตะลึง ว่ากันว่าในบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้!”

“กลับชาติมาฝึกใหม่หลายต่อหลายครั้ง? สำนักที่มีคนแค่เจ็ดสิบเจ็ดคน? แล้วสำนักลำดับแรกเล่าเป็นใคร?” หวังเป่าเล่อได้ฟังก็สงสัยอย่างยิ่ง ถามขึ้นมา

“ไม่มีสำนักอันดับหนึ่ง สำนักศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ประหลาดยิ่งนัก เพราะไม่มีสำนักลำดับแรก เห็นได้ชัดว่าสำนักเจ็ดวิญญาณคือสำนักลำดับแรกแล้ว แต่พวกเขากลับถูกจัดให้อยู่ลำดับสอง ส่วนตัวของสำนักเก้าวิหคเองก็เช่นกัน พวกเขายินยอมถูกจัดเป็นที่สาม”

“ดังนั้นหากสำนักลำดับหนึ่งมีอยู่จริง ก็คงจะเร้นลับมาก บางทีต้นตระกูลเกาของพวกข้าอาจจะรู้ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกข้า” พี่ชายเกาโบกมือ ในเรื่องนี้ เขาเองก็อัศจรรย์ใจจริงๆ

“ท่านเคยได้ยินเรื่องสำนักดาราจันทร์หรือไม่?” หวังเป่าเล่อพลันถามขึ้น

“ข้าเคยได้ยิน หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นคนของสำนักนี้มิใช่หรือ แต่ว่าสำนักนี้มีลำดับในบรรดาสำนักทั้งหลายลำดับค่อนข้างต่ำไป ไม่ติดหนึ่งในร้อยอันดับด้วยซ้ำ ไม่ได้รับการจัดอันดับ” พี่ชายเกานำสิ่งที่ตนรู้บอกแก่หวังเป่าเล่อหมดแล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก แต่เท่าที่เขาทราบมานั้นเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ตรงกัน

ท่ามกลางความเงียบ พี่ชายเกาก็เอ่ยรายนามคนอีกสองคนซึ่งหวังเป่าเล่อต้องระวังออกมา

“ในบรรดาเต๋าเก้ารัฐแห่งสำนักที่หนึ่ง จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย เฉินหรูซิวยังไม่มีสถานภาพเป็นผู้ฝึกตนเต๋า เพราะในจักรวรรดิดาวตกเขาได้รับแค่ดาวเคราะห์พิเศษ ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้รับการเลื่อนลำดับ แต่ข้าว่าเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนเต๋าอยู่ดี อย่างไรก็ดีคนที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ กลับเป็นผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดของเต๋าเก้ารัฐ!”

“ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ ระดับพลังฝึกปรือดาวพระเคราะห์ขั้นสมบูรณ์ แม้ว่าดาวที่หลอมรวมจะเป็นดาวเคราะห์พิเศษ แต่ว่าพลังแห่งกฎนั้นสะท้านผู้คนยิ่งนัก นั่นก็คือพลังกลืนกิน กลืนกินทุกสิ่ง และเพราะกฎนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ นิสัยโหดเหี้ยมเป็นที่สุด!”

“คนสุดท้าย เจ้าเองก็เคยพบ นั่นก็คือ…ในจักรวรรดิดาวตก คนที่สวมชุดคลุมสีดำผู้นั้น สหายที่สะพายกระบี่เต๋าอันยักษ์!”

“เจ้าหมอนี่มีชื่อว่าซิงจิงจื่อ ไม่สังกัดสำนัก เป็นผู้ฝึกตนฝึกปรืออิสระ แต่หลังเกิดเรื่องในจักรวรรดิดาวตก เขาได้หลอมรวมดาวเคราะห์พิเศษแล้ว แต่ตนเองเนื่องด้วยไม่มีขุมอำนาจใดๆ หนุนหลัง ดังนั้นจึงถูกขุมกำลังน้อยใหญ่ตามฆ่า วางแผนช่วงชิงดาวพระเคราะห์ของเขา ทว่าจนถึงบัดนี้ก็หลายปีแล้ว ผู้ฝึกปรือดาวพระเคราะห์ที่ถูกเขาสังหารกลับมีหลายร้อย ขุมกำลังระดับเล็กที่แหลกสลายก็นับเป็นสิบ กล่าวได้ว่าเขาฆ่าล้างเบิกทางให้ตัวเองมหาศาล แม้ว่าระดับดาวพระเคราะห์จะอยู่เพียงระดับกลาง แต่ฝีมือฆ่าฟันของเขานั้นเกินระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ไปแล้ว!”..ไอรีนโนเวล

“หลังๆ มานี้มีคนมองออก กระบี่เล่มนั้นของเขาเป็นดาบมารเล่มหนึ่ง เป็นดาบมารที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาไม่น้อย เพราะในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด ดาบมารทั้งหมดกลับมาจากสถานที่เดียวกันนั่นคือ…สำนักมารสูงสุด!”

“สำนักมารสูงสุด ไม่มีที่ตั้งสำนักถาวร มันเพียงแต่ลอยไปมาทั่วอาณาจักรดาราไม่รู้สิ้น แต่ขุมกำลังของสำนักนั้นกล้าแกร่งนัก ไม่แพ้…สำนักศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แห่งสำนักเต๋าฝั่งซ้าย หรือเหล่าสำนักสามลำดับแรก บางทีพวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”

“นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักลำดับที่สอง ผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และซิงจิงจื่อ!” เมื่อได้ยินพี่ชายเกาอธิบาย หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้จักเหล่าผู้เยี่ยมยุทธิ์ที่มาจากขุมกำลังต่างๆ ในงานฉลองอายุครั้งนี้บ้างแล้ว

“ในส่วนของสวี่อินหลิน ก่อนหน้านี้นางปิดบังตัวตนได้ดี คนอื่นกลบแสงนางเสียมิด แต่หลังจากข้าสู้กับนางแล้ว นางถึงค่อยเผยพลังออกมาทั้งหมด ข้าถือว่านางเป็นศัตรูตัวฉกาจและเป็นเป้าหมายของคนอื่นเช่นกัน”

“แล้วก็ยังมี…หลี่หว่านเอ๋อร์ แม้ว่าพลังดาวพระเคราะห์ของนางจะธรรมดา แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่า นางน่าจะเป็นคนที่มีไพ่ตายเยอะที่สุด!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขานิ่งเงียบฟังคำพูดทั้งหมดของพี่ชายเกาจนกระทั่งท้องนภาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและแสงจันทร์สว่างถูกเมฆดำกลบมิดไป พี่ชายเกาถึงค่อยบอกลา

หลังจากมองส่งอีกฝ่ายไปไกลแล้ว หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่นั้น เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้วก็หลับตารอให้เวลาผันผ่าน ในส่วนของเซี่ยไห่หยางและผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้เขานักแต่ก็ไม่ได้ไปไหนกัน ยังคงเฝ้าพิทักษ์เขาอยู่

เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลังจากผ่านไปหลายวันหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ สงบจิตใจลง แม้จะมีคนแวะเข้ามาทักทายบ้าง แต่ก็ถูกเซี่ยไห่หยางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ในส่วนของคนรู้จักที่จักรวรรดิดาวตกนั้น แม้จะมีอยู่ส่วนหนึ่งบนงูยักษ์นี้เช่นกัน แต่ส่วนมากพวกเขาก็สนิทกับหวังเป่าเล่อเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้แวะมา

เวลาหมุนผ่าน งูยักษ์ที่พวกเขาอยู่ตรงนี้ ก็เคลื่อนผ่านแผ่นทวีปไปไม่หยุดหย่อน ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นทุกที ทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนไปหลายครั้ง สถานที่และสรรพสัตว์แปลกประหลาดล้วนค่อยๆ โผล่มาให้หวังเป่าเล่อได้ยลกาย เขาจึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจแบบครั้งแรกแล้ว

ครึ่งเดือนให้หลังใกล้จะผ่านพ้น งูยักษ์ที่พวกเขาโดยสารนี้ ในที่สุดก็พาพวกเขามาถึงยังศูนย์กลางของดาวเคราะห์ชะตา ห่างออกไปนั้นแลเห็นภูเขาไฟขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสะท้อนภาพเข้าสู่ดวงตาของหวังเป่าเล่อ

ภูเขาไฟลูกนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ แทบจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หากเทียบไปแล้วเจ้างูยักษ์ใต้เท้าของพวกเขาดูเล็กไปถนัดตา ในเวลานี้หากทอดสายตามองจะเห็นเมฆหมอกสีดำปกคลุมบริเวณยอดเขาครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้เล็กน้อย ถึงสายฟ้าจำนวนมากและแสงเพลิงในนั้น ใจกลางเมฆมีแสงสว่างวาบ ทั้งยังมีเสียงดังกัมปนาทลอยออกมา ราวกับว่าด้านในภูเขากำลังโห่คำราม แล้วก็ยังมี….สิ่งที่ออกมาจากใจกลางภูเขานี้ คลื่นพลังสะท้านฟ้าสะท้านดิน!

แม้ว่าคลื่นพลังดังกล่าวจะถูกกักเก็บอยู่ภายใน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ ดวงตาของเขาหรี่เล็ก นี่มันเป็นภูเขาไฟเสียที่ไหนเล่า เห็นได้ชัดว่านี่คือยอดเขาดาราอมตะที่นำพลังดาราอมตะจำนวนมากมารวมกันต่างหาก!

หลังจากที่งูยักษ์เคลื่อนตัวเข้าใกล้ยอดเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าขนาดของภูเขาใหญ่มาก กระทั่งว่าตอนสุดท้ายที่ส่วนหางของเจ้างูยักษ์ปีนป่ายขึ้นภูเขานั้น แรงกดดันที่มาจากตัวภูเขานี้ก็ยิ่งแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศอย่างรุนแรง!

และหากว่าในยามนี้ใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงไปเห็นสภาพโดยรอบทั้งหมด ย่อมมองเห็นเจ้างูยักษ์และอสูรดึกดำบรรพ์ทั้ง 39 ตัวกระจายอยู่แต่ละตำแหน่งในภูเขาพร้อมภาพของเหล่าผู้ฝึกตน ผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งขี่พวกมันและปีนป่ายขึ้นมา เป้าหมายของพวกเขานั้น…ก็คือยอดเขาแห่งนี้!

ยอดเขาสูงสุด

……………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset