“ผีดิบถือกำเนิดมาจากการรวมตัวของไอมรณะ อีกทั้งก่อนตายพวกมันมักจะแบกรับความคับข้องใจมากมาย เช่นนั้นจึงฟื้นจากความตาย เพราะกฎของจักรวาลนี้เปลี่ยนเป็นวิญญาณศพ เมื่อกวาดสายตาไปครั้งแรกเป็นการทำเครื่องหมายไว้ ครั้งที่สองจึงกลายเป็นผีดิบ!”
“ยิ่งกว่านั้นตัวเองยังไม่ถือว่าตาย แต่ร่างกายที่ยังมีชีวิตแปรสภาพเป็นไอมรณะแล้ว ศพเหล่านี้มักมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ใครก็ตามที่ไม่ถูกกำจัดทิ้งจะสามารถกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้!”
ฮุยซานนั่งเงียบๆ บนสุสาน ในมือถือแผ่นหินสีดำอยู่แผ่นหนึ่ง เหลือบมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึน ก่อนจะก้มศีรษะลงอ่านทุกอย่างที่บันทึกไว้บนแผ่นหินสีดำ
ชื่อฮุยซานนี้เขาไม่ใช่คนตั้ง แต่เป็นชื่อที่หัวหน้าตั้งให้ ดูเหมือนว่าในวันที่เขาตื่นขึ้นมาจะมีสหายศพทั้งหมดด้วยกันสามคนที่ตื่นขึ้น และเขาเป็นคนที่สามจึงมีคำว่าซาน (สาม) ในชื่อ
ส่วนฮุย (สีเทา)…เป็นความใฝ่ฝันของหัวหน้าที่อยากจะกลายเป็นผีดิบสีเทา
ฮุยซานไม่ชอบชื่อนี้ ช่วงหนึ่งเขาเคยคิดอยู่ตลอดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นตนชื่ออะไร แต่น่าเสียดายที่เขาจำไม่ได้ เขาจึงค่อยๆ ยอมรับชื่อฮุยซาน
อีกทั้งเวลาในร่างกายของเขาดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเกินไป ความเร็วนี้…ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางร่างกาย ขนของเขายังเป็นสีเขียวอ่อนและไม่มีการพัฒนาใด
หากแต่ความเร็วนี้สะท้อนอยู่ในความคิดของเขา บ่อยครั้งเมื่อเขาคิดถึงปัญหาหนึ่ง มันก็จะผ่านไปเนิ่นนาน และแม้จะไม่ได้คิดสิ่งใดให้ชัดเจน ทว่าเวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
ตัวอย่างเช่นอสูรเฒ่าลี่หลิงข้างบ้าน ขณะที่ตนกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงได้ถูกสกัดน้ำมันศพ อสูรเฒ่าลี่หลิงก็ได้กลายเป็นนายหญิงและฐานการฝึกฝนเพิ่มเป็นสองเท่าของหัวหน้าแล้ว
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเขามีความคิดบางอย่างในใจ จนปัจจุบันเขาเป็นผีดิบมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังครุ่นคิดไม่เสร็จ
และในฐานะผีดิบที่อ่อนแอที่สุดเช่นนี้จึงย่อมไม่มีสถานะใดๆ หากไม่ใช่เพราะความดูแลของฮุยเอ้อร์ เขาคงจะแตกสลายไปนานแล้ว และคงไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียกและให้ความกระจ่างแก่สหายศพที่เพิ่งตื่นขึ้นใหม่
ขณะนี้ตรงหน้าเขามีศพอยู่ 8 ศพ และเขาต้องสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งเดือนจนกว่าจะดึงดูดสายตาของวิญญาณศพ เพื่อทำให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้ง
ศพเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ทั้งคนแก่และเด็ก พวกเขาตายมานานแล้ว ทว่าน่าประหลาด เพราะศพกลับไม่เน่าเปื่อย จนกระทั่งตอนที่ฮุยซานอ่านคำพูดที่จารึกอยู่ในหินสีดำ ไอมรณะของศพเหล่านี้ก็ปั่นป่วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ซากศพเหล่านี้ หากแต่ไปอยู่ที่ด้านข้างซากศพเป็นครั้งคราว ตรงนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องตนด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หญิงสาวนางนี้สวยมาก สวมชุดในวัง แม้ว่านางจะอายุเพียง 16-17 ปีเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าขาวผ่องหรือดวงตาดำขลับที่ไร้รูม่านตาล้วนทำให้ร่างของนางดูราวกับกลายเป็นกระแสน้ำวนดึงดูดทุกสิ่งของฮุยซาน
นั่นทำให้หลังจากที่เขาก้มหน้าลง ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอีกครั้ง
“สวยไหม?” เสียงของหญิงสาวเย็นชา
“สวย” ฮุยซานก้มศีรษะลงอีกครา ทว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นการเสียดสีและการดูถูกที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว บางทีแม้ว่าเขาจะเห็นมัน แต่ด้วยสติปัญญาของฮุยซานในตอนนี้ก็คงมองไม่ออกอยู่ดี
“บอกข้าที วิญญาณศพคืออะไร” ความเย้ยหยันบนใบหน้าของหญิงสาวจางหาย ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“วิญญาณศพคือกฎสูงสุดของจักรวาลที่เปลี่ยนไป และสิ่งมีชีวิตที่สายตามองเห็นจะถูกเปลี่ยนเป็นเผ่าศพ” ฮุยซานก้มศีรษะลงและพูดพึมพำ
“แล้ววิญญาณศพจะมองเห็นที่นี่เมื่อไร” หญิงสาวถามต่อ
“วิญญาณศพไม่สามารถคิดวิเคราะห์เองได้ ทำได้เพียงสวดมนต์ต่อไปและนำทางด้วยความจริงใจเท่านั้นถึงจะทำให้วิญญาณศพมาได้ หากภายในสามเดือนยังไม่มีสายตาลงมา ซากศพก็จะเน่าเปื่อย” ฮุยซานพึมพำ สิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในแผ่นหินสีดำ เขาเพียงแค่อ่านข้อความเหล่านี้และตัวเขาเองไม่รู้ว่าใน 30 ปีที่ผ่านมา ตนได้อ่านไปทั้งหมดกี่รอบแล้ว
“น่าเบื่อ!” สิ่งที่ตอบสนองเขาคือน้ำเสียงไร้ความอดทนของหญิงสาว รวมถึงภาพที่ฮุยซานไม่อาจลืมได้เป็นเวลานาน
หญิงสาวยืนขึ้น แหงนมองท้องนภามืดมิด ก่อนจะกางแขนออกแล้วเอ่ย
“วิญญาณศพ เวลาของข้ามีจำกัด รอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ!”
หลังจากประโยคนี้ ฮุยซานก็เห็นท้องฟ้าในขณะนั้นพลันม้วนกลิ้งมาบรรจบกันเป็นดวงตาขนาดใหญ่ ดวงตานี้เต็มไปด้วยเส้นไหมสีดำ จ้องมองลงมา ปกคลุม…ร่างของหญิงสาวผู้นั้น
ในสายตาของฮุยซาน ร่างกายของหญิงสาวมีขนงอกออกมาอย่างรวดเร็ว จากสีเขียวในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แล้วก็เป็นสีดำ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับทั้งหมด แต่ก็เป็นสีน้ำเงินดำอย่างละครึ่ง
ส่วนศพอื่นๆ ตอนนี้ได้สลายกลายเป็นเถ้าลอยฟุ้งอย่างรวดเร็วไปแล้ว ส่วนหญิงสาว…นางหันหลังจากไป ฮุยซานจ้องมองนางหายวับไปกับตา
กระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ฮุยซานจึงพึมพำออกมาพร้อมสายตาว่างเปล่า
“ที่แท้วิญญาณศพก็สามารถเรียกได้”
หญิงสาวจากไปแล้ว ชีวิตของฮุยซานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงสวดมนต์เพื่อซากศพและเฝ้าดูพวกเขา บางส่วนเน่าเปื่อย บางส่วนฟื้นคืนชีพและกลายเป็นเผ่าศพ
กาลเวลาวนเวียนซ้ำซ้อน ผ่านไปอย่างเนิบช้า จะนานเพียงใด ฮุยซานก็ไม่สนใจ เขายังคงชอบครุ่นคิดคำตอบที่ไม่เคยมีอยู่ในใจ ยังคงชอบแหงนมองดูท้องนภาอันมืดมิดอย่างนิ่งงันโดยไม่กะพริบตา
และหญิงสาวที่เขาจดจำฝังลึกอยู่ในความทรงจำ กลับมาที่นี่ 5 ครั้งในรอบหลายปีมานี้
ครั้งแรกที่มา นางได้รับบาดเจ็บ แต่ขนของนางกลายเป็นสีดำแล้ว นางนั่งบนหลุมฝังศพไม่ไกลจากฮุยซานโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำราวกับกำลังพักผ่อน ก่อนจากไปนางถึงได้หันมาถามหวังเป่าเล่ออยู่คำถามหนึ่ง
“ดูเหมือนเจ้าจะครุ่นคิดอะไรอยู่ทุกวัน บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และทำไมเจ้าถึงเอาแต่มองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา”
นี่เป็นสหายศพคนแรกที่ถามเขาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฮุยซานจึงตอบอย่างจริงจัง
“ข้ากำลังคิดว่าทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีดำ ข้าชอบสีขาว ข้าเลยคิดว่าจะมีสักวันไหมที่ข้าจะได้เห็นท้องฟ้าสีขาว”
“โง่เง่า!” หญิงสาวเงียบเสียง หลังจากนั้นไม่นานนางก็พ่นลมหายใจ แล้วหันหลังเดินจากไป
เมื่อหญิงสาวมาครั้งที่สอง นางได้รับบาดเจ็บเช่นเดิม แต่สีบนตัวนางเริ่มกลายเป็นสีเทาแล้ว นางยังนั่งอยู่ที่เดิมที่เคยนั่ง ครั้งนี้นางไม่เงียบ แต่กำลังเอ่ยบางสิ่งมากมายราวกับเอ่ยกับตัวเอง
ในวาจาเหล่านั้น นางบอกฮุยซานว่านางได้ฆ่าหัวหน้า ฆ่านายหญิง และเนินเขาทั่วทุกสารทิศและรวมทุกเขาเข้าด้วยกัน
ฮุยซานพยักหน้าและยังคงมองท้องฟ้า ยังคงครุ่นคิด ส่วนหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ หลังจากพูดเสร็จ นางก็นั่งพักครู่หนึ่ง ทว่าก่อนจะจากไป ตอนนั้นเองก็เอ่ยถามขึ้น
“หากท้องฟ้าไม่มีวันเป็นสีขาว เจ้าจะทำอย่างไร นั่งมองต่อไป รอคอยต่อไปจนเน่าเปื่อยหรือ”
ฮุยซานเงียบ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน หญิงสาวเองก็ไม่รอคำตอบและจากไป ครั้งที่สามและสี่ที่นางมาก็ไม่ได้ถามคำถามหรือคำตอบ นางเพียงแค่พูดกับตนเองและบอกฮุยซานว่านางพิชิตภูเขาทั้ง 7-8 ลูกในแถบนี้ได้แล้ว นางวางแผนที่จะจัดระเบียบกองกำลังนี้และเปิดสงครามล้างแค้นกับสถานที่ที่เรียกว่าบ่อเมฆา!
การจากไปครั้งนี้กินเวลานานมาก กว่านางจะมาปรากฏตัวต่อหน้าฮุยซานอีกรอบ ฮุยซานก็เห็นว่าขนบนตัวของนางเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว และยังเห็นว่าใบหน้าของนางเน่าเปื่อยไปแล้วเสียครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของนางแผ่ไอมรณะเข้มข้นออกมา เผยให้เห็นถึงความอัปลักษณ์
หลังจากมาถึง นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับสังเกตเห็นสายตาของฮุยซาน นางจึงยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าเน่าเปื่อยของตน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะ เสียงนั้นแหบพร่าเล็กน้อย
“ฮุยซาน ข้ายังสวยอยู่ไหม?”
“สวย” ฮุยซานตอบกลับจริงจัง
นางคลี่ยิ้ม ยิ้มด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณาได้ จากนั้นก็เงียบเสียงไปอีกครา ไม่กล่าวสิ่งใดจนกระทั่งในท้องฟ้าอันไกลโพ้นมีเสียงคร่ำครวญสะเทือนฟ้าดินดังมา นางจึงลุกขึ้นและมองฮุยซานเงียบๆ
“เจ้าคือเผ่าศพที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอ…ข้าไปก่อนนะ บางที…อาจไม่กลับมาแล้ว”
ฮุยซานชะงักไปชั่วขณะ มองไปยังหญิงสาวในความทรงจำ ความรู้สึกสูญเสียที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนปรากฏขึ้นในร่างกาย เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร
กระทั่งครู่ต่อมา หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า นางเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนนั้น ในกระแสน้ำวนมีดวงตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับกำลังร้องเรียกนาง
“ลาก่อน” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว และเมื่อมือขวาของนางยกขึ้น หน้ากากสีดำก็ปรากฏขึ้นในมือของนางมือนั้นค่อยๆ สวมหน้ากากลงบนใบหน้า ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ฮุยซานมองแผ่นหลังของหญิงสาว ยามนี้แม้นางจะเต็มไปด้วยไอมรณะ แม้ขนสีม่วงของนางจะกลายเป็นคลื่น ทว่านางก็ยัง…สง่างามและน่าหลงใหลอย่างมาก ขณะที่มองดูภาพนั้นครั้งสุดท้าย ฮุยซานก็พึมพำ
“ลาก่อน”
………………………………………………………………..