หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1066 เป๋าเป่า

ข้าถือกำเนิดในวันที่เมฆาบนท้องนภาร่วงหล่น

ท่านแม่ของข้าบอกข้าว่า ในวันนั้นท้องนภามีเพลิงลุกท่วมเผาเหล่าเมฆ เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นดั่งทะเลเพลิงก็ไม่ปาน

ในวันนั้นเผ่าของข้าล้วนตายไปกว่าครึ่ง นั่นคือวันที่ข้าเกิดมา

ข้าไม่มีชื่อ ในฝูงของข้านั้น ชื่อเป็นเสมือนสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เพราะที่มีประโยชน์…มีเพียงว่าจะอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายนี้ต่อไปอย่างไรเท่านั้น!

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พวกข้าที่ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต กลับกลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่าโดยผู้อื่นเสียแทน เผ่ามนุษย์ชอบล่าพวกข้า ถลกหนังของพวกข้าแล้วเอาไปทำเสื้อผ้าของพวกมัน

เลือดที่ติดอยู่บนหนังนั้นล้างออกได้ แต่กลิ่นอายความตายใต้ร่มผ้าจะชะล้างได้หรือ…

พวกมันหักเขาของพวกข้า แล้วเอาไปทำสิ่งที่เรียกว่าของที่ระลึก

แต่พวกข้าที่อ่อนแอและเล็กกระจ้อยร้อยจะมีคุณสมบัติกลายเป็นของที่ระลึกได้เช่นไร?

พวกมันดื่มกินเลือดของพวกข้าราวกับว่าสิ่งนั้นจะสามารถรักษาอาการเจ็บไข้ของพวกมันได้

กริชที่ใช้แทงทะลุหัวใจของพวกข้าจนปล่อยให้โลหิตอุ่นร้อนไหลออกมาเพื่อแลกกับการรักษาชีวิตพวกมัน ทั้งหมดนี้แลกมาด้วยชีวิตของพวกข้า!

ดังนั้นตั้งแต่ที่เกิดมา ข้าก็กลัวมาตลอด หลบซ่อนมาตลอด บางครั้งยังต้องอยู่อย่างระแวดระวัง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอ…เพราะว่าบนโลกนี้เป็นของความแข็งแกร่ง เป็นของเหล่ามนุษย์ และเป็นของเหล่าปราการแห่งเมืองซึ่งถูกต่อขยายออกไปอย่างยิ่งใหญ่เหล่านั้น

และเป็นเพราะว่าตัวข้าค่อนข้างจะพิเศษอยู่บ้าง ขนบนตัวของข้าเป็นสีขาวไม่เหมือนกับขนของตัวอื่นๆ ในเผ่า เขาของข้าก็เป็นสีขาว กระทั่งดวงตาของข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน!

ส่วนที่ไม่เหมือนกันเหล่านี้ หลังจากสังเกตพบเป็นคราแรก นั่นก็นำพาเคราะห์ร้ายมาให้ข้าไม่หยุดหย่อน…

เพราะคราวเคราะห์ครั้งแรกทำให้ข้าได้เข้าใจ วันที่ข้าเกิดมานั้น สาเหตุของเพลิงบนท้องฟ้าที่ท่านแม่เล่าให้ข้าฟังก็คืออาวุธชิ้นหนึ่ง ตามที่เล่ามา…สิ่งนั้นเป็นอาวุธที่สามารถทำลายโลกใบนี้ได้

การได้ล่วงรู้เรื่องนี้ หนึ่งเป็นเพราะข้าไม่อาจหลีกหนีการจัดสรรของชะตาได้ คราวเคราะห์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็คือทั้งฝูงตัดสินใจละทิ้งข้า ท่านแม่ละทิ้งข้าเพราะการมีอยู่ของข้าคล้ายจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งเผ่าสิ้นสูญ

ข้าคิดอยากวิ่งตะบึงไล่ตามพวกเขากลับไปแต่ข้าก็ไม่กล้า…เพราะตั้งแต่ที่เกิดมาข้าก็ระมัดระวังตัวมาตลอด ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าตะโกนเสียงดัง และไม่กล้าวิ่งด้วยความเร็วนัก ด้วยเกรงว่าเสียงห้อตะบึงของข้าอาจทำให้ข้าตกสู่อันตรายมากกว่าเก่า

กระทั่งหลังจากถูกทอดทิ้งแล้ว ข้าก็ได้กลายเป็นของรางวัลชนะศึกของผู้ที่ไม่รู้จักชื่อคนหนึ่ง

สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่หนังที่มีกลิ่นอายความตาย ไม่ต้องการเลือดอุ่นๆ จากข้า ทว่าเป็นตัวข้า ตัวเป็นๆ ในฐานะของขวัญชิ้นหนึ่งซึ่งเขาหมายจะส่งมอบให้แก่เจ้าเมือง

ดังนั้น…หลังจากหิวโหยอยู่เนิ่นนาน ข้าก็ถูกส่งเข้าใจกลางเมือง ได้กลายเป็นหนึ่งในอสูรวิเศษที่อยู่หลังจวนเจ้าเมือง

บางครั้งข้าก็คิดว่าข้าโชคดีแล้ว แม้ข้าจะสิ้นไร้อิสรภาพสูญเสียฝูงไปแล้วถูกชุบเลี้ยงอยู่ที่นี่ แต่ข้าในที่นี้ไม่ต้องหลบซ่อน ไม่ต้องหวาดกลัว และไม่ต้องหาเวลาหลบหนี นอกจากนี้แล้ว…ข้าในที่นี้ยังมีสหายอยู่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย

ในบรรดาสหายของข้า มีลิงชราแสนฉลาด เสือน้อยที่ยั่วยุง่าย แล้วยังมีจิ้งจอกเปี่ยมเสน่ห์ ส่วนตัวอื่นๆ นั้น…ข้าไม่ชอบเพราะพวกมันดุเกินไป

ลิงชรานั้นประหลาดอย่างยิ่ง มันแก่มาก แก่จนกระทั่งทั้งตัวมีแต่รอยยับย่น มันชอบนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาจำลอง ชอบเหวี่ยงหินไปรอบด้าน ในทุกๆ วัน แน่นอนวันหนึ่งในแต่ละปี จะชอบเรียกให้พวกเราฉลองวันเกิดให้มัน

มันบอกว่า นี่คือการฉลองอายุ

แต่เหมือนกับว่ามันอยู่ที่นี่มานานมาก มากจริงๆ ราวกับว่ามันรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย มันกลายเป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่งในสวนหลังจวนนี้

ทว่าเสือน้อยไม่เหมือนกับมัน เสือน้อยชอบวิวาท ชอบทำตัวราวกับอยากจะเป็นผู้ปกครองหลังจวน แต่เพราะการมีอยู่ของมันทำให้ข้าอยู่ที่นี่ได้โดยไม่มีคนรังแก ในเวลาเดียวกันตัวมันก็มีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่ง มันชอบน้ำมาก มันเคยบอกไว้ว่า หากมันแก่แล้วสามารถฝังร่างเอาไว้ใต้ตาน้ำพุล่ะก็…เช่นนั้นคงไม่เลวทีเดียว

ในส่วนของเจ้าจิ้งจอก…แม้ว่าจะเป็นสหาย แต่ข้าก็ไม่ชอบบางอย่างในตัวนาง นางเป็นผู้ที่มาที่นี่หลังจากข้า มาที่นี่แล้ว นางชอบเอาขนของตนเองส่งให้อสูรวิเศษตนอื่น และทุกครั้งนั้นเหล่าอสูรที่ได้ขนของนางไปก็ดูดีใจมาก.ไอรีนโนเวล.

แต่ข้าเป็นกังวลเพราะสักวันนางคงจะโล้นเลี่ยนทั้งตัว นอกจากนั้นข้ายังพบความลับของนางอีกอย่าง เจ้าพวกที่ได้ขนของนางไปมากที่สุด กลับตายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากนั้นไม่นาน

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราเป็นสหายกัน ดังนั้นหากนางส่งขนของนางให้ข้า ข้าก็ไม่ต้องการล่ะ

ตอนแรกข้าเคยคิดว่า ในชีวิตนี้ของข้าบางทีอาจจะอยู่ในจวนนี้จนกว่าจะดับสลายและอาจจะมีสักวันหนึ่ง ข้าก็จะได้กลายเป็นผู้รอบรู้เหมือนเจ้าลิงชรา จนกระทั่งข้าพบกับ…นาง

นั่นคือเด็กผู้หญิงตัวน้อย อายุประมาณสามขวบห้าขวบเห็นจะได้ สีหน้าท่าทางน่ารักอยู่บ้าง นางชอบวางท่าราวผู้ใหญ่ เพียงแค่ว่า…มันดูน่ารักน่าชังนัก

อีกทั้งดวงตาของนางส่องสว่างนัก ราวกับดวงดาว

ข้างกายนางมีชายวัยกลางคนที่ผมขาวเต็มศีรษะผู้หนึ่ง พวกเขาสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนกับคนบนโลกนี้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะบรรยายเช่นไร แต่ลิงชราที่ฉลาดที่สุดในหลังจวนบอกแก่ข้าว่า คนพวกนี้เรียกว่า ‘เซียน’

ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือเซียน แต่ข้าทราบว่า หลังจากที่ชายวัยกลางคนนั้นมาถึง เจ้าเมืองที่ในสายตาข้าเป็นเหมือนดังฟ้าก็ไม่ปาน พลันคุกเข่าลงตัวสั่นสะท้าน กระทำตนเยี่ยงทาส

นี่ก็อาจไม่นับว่าเท่าไร แต่หากเขายอมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เช่นนั้นสถานภาพของเหล่าเจ้าเมืองที่เหลือทั้งหมดบนโลกนี้…ก็จะเปลี่ยนไป

“บุตรสาวของข้า อยากจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงพานางมาที่นี่ ลองหาวัตถุดิบดู” นี่คือคำพูดที่ชายผมขาวผู้นั้นกล่าวกับเจ้าเมืองที่โค้งคำนับไม่หยุด

ข้าเข้าใจว่าหนังสือคือสิ่งใด แต่วัตถุดิบนี่หมายความว่าอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ลิงชราผู้รอบรู้อธิบายทุกสิ่งแก่ข้าได้ แต่น่าเสียดาย…ไม่ว่าจะข้าจะพยายามมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยมากขนาดไหน ทว่านางที่เดินผ่านสวนนี้ ไม่สนใจการมีตัวตนของข้าเลยสักนิด

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเคียงข้างกันหนึ่งชีวิต เพราะว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่ข้าคิดว่าหายไปจากสายตาข้าแล้วนั้น กลับล้มลงระหว่างที่กระโดดโลดเต้นและวิ่งอย่างร่าเริงคราหนึ่ง

บิดาของนางไม่ได้เข้ามาช่วยพยุง แต่กลับจ้องมองนางอย่างอบอุ่น มองดูเด็กสาวตัวน้อยลุกขึ้นมาด้วยตนเอง แต่ข้าในยามนั้นไม่รู้เพราะพลังอะไรผลักดันหรือบางทีเพราะกายของเด็กหญิงตัวน้อยบริสุทธ์มาก หรืออาจเพราะเห็นน้ำตาของนางที่ฝืนกลั้นเอาไว้หลังจากลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดินเข้าไปท่ามกลางความตกใจของเหล่าสหายและท่ามกลางความตื่นตะลึงของเจ้าเมือง ข้าเดินมาข้างกายนางแล้วเลียน้ำตาจากหางตาของนาง

ราวกับว่าลิ้นของข้าทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้ ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ดวงตาเผยประกายสงสัย นางใช้มือเล็กๆ นั่นคว้าเอาขนบนศีรษะของข้าเอาไว้

นี่ช่างสบายยิ่งนัก

“ท่านพ่อ กวางน้อยสีขาวตัวนี้มอบให้ข้าได้หรือไม่?” เด็กหญิงหันหน้ามองไปยังชายผมขาวนั้น ข้าเองก็หันไปมองเช่นกัน

จากสายตาของชายกลางคนผมขาว ข้าเห็นเงาร่างของตนเอง กวางเยาว์วัยสีขาวตัวหนึ่ง

นี่ก็คือข้า บางทีการที่เกิดมาในยามนั้นตัวข้าคงได้รับผลกระทบจากอาวุธ ตัวข้า…หลังจากเติบโตระยะหนึ่งแล้ว ก็หยุดการเจริญเติบโตและคงอยู่ในรูปลักษณ์เยาว์วัยเช่นนี้ตลอดมา

แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด นัยน์ตาของชายวัยกลางคนผมขาวราวกับแฝงด้วยความคิดอย่างอื่นอยู่ ข้าไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่ไม่สำคัญ เพราะเขาพยักหน้าแล้ว

และนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในจวนแห่งนี้ ข้าได้ออกจากที่นี่

ตอนที่จากไป ข้าบอกลาลิงชรา ข้าบอกเขาว่า งานฉลองอายุคราวหน้าข้าอาจจะไม่กลับมา ลิงชราเอ่ยว่าไม่เป็นไร พวกเรายังจะได้พบกันอีก

ถึงแม้ว่าลิงชราจะกล่าวเช่นนี้ แต่ประกายตาของมันลึกล้ำนัก ราวกับว่ามันมองเห็นอนาคต อันไกลแสนไกล…ทว่าข้าไม่ได้สนใจ เพราะข้ารู้ว่าสายตาของมันไม่ค่อยดีนัก

ในส่วนของเสือน้อย เจ้านี่ไปสู้กับผู้อื่นอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกลามันได้สำเร็จ แต่ทางจิ้งจอกนั้นกลับร่ำไห้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ข้ากำลังจะจากไป นางมอบขนของนางแก่ข้าแต่ข้ากลับไม่รับไว้ ดังนั้นนางจึงยิ่งร้องไห้เสียใจยกใหญ่

แต่ข้าไม่ปวดใจ เพราะว่าตอนออกจากจวนเจ้าเมืองได้ติดตามเด็กหญิงตัวน้อยและบิดาของนาง ข้าที่ได้เดินทางออกท่องโลก ตอนนี้มีชื่อแล้ว

“เจ้ากวางขาวตัวน้อย ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน เจ้าจงชื่อ…เสี่ยวป๋ายป๋าย!”

ข้าชอบชื่อนี้อย่างมาก กำลังจะพยักหน้า แต่บิดาของนางที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยขัด

“ไม่ได้”

“ทำไมเล่าท่านพ่อ”

“…” ชายวัยกลางคนไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เด็กหญิงตัวน้อยถามไม่หยุด จนสุดท้ายเขาก็เอ่ยอย่างเสียไม่ได้คราหนึ่ง

“เพราะว่าพ่อไม่ชอบคำว่า ‘ป๋าย’ คำนี้”

“งั้นชื่อเป๋าเป่าเถอะ” เด็กหญิงทำปากยื่น แต่ไม่นานก็คิดชื่อใหม่ทันที นางจับหัวของข้าแล้วปากของนางก็พูดไม่หยุด

ดังนั้น ข้าก็เลยมีชื่อ ชื่อของข้าคือ ‘เป๋าเป่า’

………………………………………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset