เมื่อหมิงคุนจื่อได้ยินชื่อที่หวังเป่าเล่อเรียกตน รอยยิ้มของเขาก็อ่อนโยนขึ้นอีก หมิงคุนจื่อดีใจที่หวังเป่าเล่อจำตนเองได้ จนความดีใจนั้นฉายออกทางแววตา เสียงแก่ชราของเขาเจือความรู้สึกว่างเปล่า เหมือนเสียงสะท้อนที่เดินทางมาจากอดีตและจักรวาลอันไกลโพ้นและตอนนี้ก็ก้องอยู่ในตำหนักหมื่นศิลป์และจิตใจของหวังเป่าเล่อ
“เจ้ารู้ด้วยหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ขึ้น เขาตระหนักแล้วว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้น่าจะเป็นเพียงความฝัน ความทรงจำเรื่องเรื่องสหพันธรัฐต่างหากที่อาจเป็นเรื่องจริง กระนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่หมิงคุนจื่อเอ่ย ชายหนุ่มก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี
“ข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะมองอาคารต่างๆ รอบตัว ทุกสิ่งกำลังค่อยๆ จางหายไปเช่นเดียวกับตัวของหมิงคุนจื่อจนสามารถมองทะลุได้ เขาเห็นขุนเขาและปราสาทที่อยู่ในโลกภายนอก เขาเห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและปุยเมฆสีขาว เขาเห็นร่างของศิษย์ที่คุ้นตามากมายจากสำนักแห่งความมืดกำลังเดินขวั่กไขว่อยู่ในอากาศ
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงระฆังของสำนักแห่งความมืดลอยมาแต่ไกล แต่เสียงนั้นช่างบางเบาเหลือเกิน ชายหนุ่มเห็นกระทั่งภาพครั้งที่ตนเองวาดใบหน้าซากศพ และความทรงจำอันแสนคุ้นเคยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักแห่งความมืด
สักพักใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อก็ถามเสียงแผ่ว “ท่านอาจารย์ นี่คือนิมิตมืดหรอกหรือ…”
หมิงคุนจื่อไม่ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่ยิ้มด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนมากขึ้นอีก ร่างทั้งร่างของชายชราบางเบาลงเรื่อยๆ เมื่อเขายกมือขวาขึ้น ก้อนแสงสีดำสว่างจ้าสามก้อนก็พุ่งออกมาจากปลายแขนเสื้อ ลอยอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
ก้อนแสงสีดำแต่ละก้อนมีขนาดเท่ากำปั้น แต่พลังงานที่แผ่ออกมาจากแต่ละก้อนทรงพลังรุนแรง พลังงานนั้นแผ่ออกมาท่วมบรรยากาศโดยรอบ และอัดแน่นไปด้วยอำนาจของธรรมชาติ
เมื่อมองใกล้ๆ หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าภายในก้อนแสงสีดำแต่ละก้อนนั้น… มีเรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียงอยู่ภายใน!
“ศิษย์ของสำนักแห่งความมืดจะได้รับสมญานามว่าบุตรแห่งความมืด หลังจากที่บรรลุปราณระดับจิตวิญญาณอมตะ และจะได้รับวัตถุเวทแห่งความมืดสามชิ้นด้วยกัน เพื่อใช้ส่งวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในจักรวาลแห่งนี้… ตอนนี้เวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว เต๋าสวรรค์ล่มสลาย กฎแห่งจักรวาลนี้จึงใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
หมิงคุนจื่อพูดเสียงเบา เสียงชราของเขาฟังดูห่างไกลขึ้นอีก เขาสะบัดแขนเสื้อ ก้อนแสงสีดำทั้งสามก็ลอยเข้าไปในกายของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะผนึกรวมกับแก่นในแห่งความมืดของเขา และกลายสภาพเป็นผนึกแห่งความมืดสามผนึก!
“ข้า อาจารย์ของเจ้าได้หลอมรวมดวงวิญญาณสามดวงที่เจ้าชำระบาปเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืด และเปลี่ยนทั้งสามเป็นวิญญาณวุธให้เจ้าเรียบร้อย… แม้ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นในนิมิตมืด แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นนิมิตมืด… ที่ข้าสร้างไว้ให้เจ้าเพียงผู้เดียว!
“เมื่อเจ้าตื่นขึ้นสู่โลกแห่งความจริง เจ้าเพียงต้องปลดปล่อยพลังของแก่นในแห่งความมืด เพื่อถ่ายทอดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิตมืดให้กับดวงวิญญาณทั้งสามดวงนี้ ความทรงจำก่อนหน้านี้ของดวงวิญญาณทั้งสามจะแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำในนิมิตมืดนี้ทันที แล้วดวงวิญญาณทั้งสามก็จะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์!”
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยิน เขาเข้าใจดีว่าถึงเวลาแห่งการจากลาแล้ว ความทรงจำของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นในนิมิตมืดฉายขึ้นในแววตา พร้อมความลังเลที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ
“ท่านอาจารย์ ท่าน… อยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารเช่นนั้นหรือ ใบหน้าที่ร้องเรียกข้ามาตลอด คือท่านหรือขอรับ”
หมิงคุนจื่อรู้สึกได้ว่าหวังเป่าเล่อไม่อยากจากโลกแห่งนี้ไป เขายกมือที่พร่าเลือนขึ้นตบศีรษะหวังเป่าเล่อเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แววตาอ่อนโยนขณะถอนหายใจเสียงเบา
“ผู้ที่ร้องเรียกเจ้าใช่ข้า แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ข้าเช่นกัน
“เป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงดวงจิตของข้าเท่านั้น และแม้แต่ดวงจิตยังแทบเอาชีวิตไม่รอดในสำนักแห่งความมืดบ้านเกิดของเรา… ตอนที่เจ้าได้เปลวไฟสีดำดวงแรกมาครอบครอง จิตของข้าสัมผัสได้จึงตื่นขึ้นมา ตั้งแต่นั้นข้าก็เฝ้าดูเจ้ามาตลอด วันนี้ข้าได้ถ่ายทอดศาสตร์แห่งความมืดให้เจ้าผ่านนิมิตมืด… แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าการรับเจ้าเข้าสู่สำนักแห่งความมืดเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่
“แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี… ว่าในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่ถูกหรือผิดตายตัว สำนักแห่งความตายอาจล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้จากไปด้วยความดี ความชั่ว ความเกลียดชัง หรือความอาฆาตแค้นแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นผลของสงครามระหว่างมหาเต๋าเท่านั้น!
“สำนักแห่งความมืดของเราปวารณาตนเป็นข้ารับใช้แห่งเต๋าสวรรค์ เนื่องจากนี่คือเจตจำนงแห่งเต๋าของสำนักแห่งความมืด!
“การล่มสลายของเต๋าสวรรค์ส่งผลให้เจตจำนงแห่งเต๋าของสำนักแห่งความมืดสูญสิ้นลง และด้วยเหตุนี้ สำนักของเราจึงกลายเป็นเพียงอดีต… เจ้าคงเป็นบุตรแห่งความมืดคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของรุ่นนี้ จงทำตามความต้องการในหัวใจของตนเองเถิด!”
หมิงคุนจื่อประกาศเจตจำนงของตนอย่างชัดเจน แม้หวังเป่าเล่อจะได้รับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักแห่งความมืด แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดเพียงเคล็ดเวทกับกระบวนเวทเท่านั้น ยังไม่มีสิทธิ์ประกอบกิจตามเจตจำนงแห่งเต๋าของสำนักแห่งความมืด ก่อนหน้านี้หมิงคุนจื่อได้พูดสิ่งเดียวกันนี้ขณะที่ต่อสู้กับจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น เขาเอ่ยถึงอดีตและปัจจุบัน แต่ไม่ได้พูดถึงอนาคตเลยแม้แต่คำเดียว!
ชายชราถอนหายใจ แววตาของเขาดูห่างไกลออกไป ราวกับกำลังย้อนรำลึกความหลังอยู่ เขาพึมพำต่อ “ข้ามีศิษย์ที่เปี่ยมล้นด้วยพรสวรรค์อยู่คนหนึ่งในอดีต น่าเสียดายยิ่งนัก ที่การทำตามความต้องการในหัวใจตนเอง เป็นสิ่งที่ข้าเพิ่งเรียนรู้หลังจากที่สำนักของเราล่มสลาย มิเช่นนั้นข้าคงเฉลยให้ศิษย์ผู้นั้นได้รู้แจ้งแล้ว…” หมิงคุนจื่อส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจเบาอีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักอก ร่างของเขาจางลงจนแทบมลายหายไป และกำลังจะโบกมือเพื่อยุตินิมิตมืด หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน และพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงศิษย์พี่เฉินชิงเช่นนั้นหรือขอรับ”
คำถามนั้นดูแสนธรรมดา หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ยินสิ่งที่หมิงคุนจื่อพูด เขาก็พอเดาได้ว่าอาจารย์หมายถึงใคร เขาไม่คาดคิดว่าหมิงคุนจื่อจะเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคอันแสนเรียบง่ายนั้น แววตาของหมิงคุนจื่อตกใจยิ่ง เขาเริ่มหายใจถี่ โลกนิมิตมืดทั้งใบสั่นไหวราวกับจะล่มสลายลงต่อหน้าต่อตา!
ทั้งหมดเป็นเพราะคำถามของหวังเป่าเล่อ คำถามที่ทำให้หมิงคุนจื่อตกใจจนทำตัวไม่ถูก!
“เป่าเล่อ… เจ้ารู้จักเฉินชิงได้อย่างไร มีผู้ใดบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ หรือว่าเจ้า… เห็นเขา” หมิงคุนจื่อจ้องหน้าหวังเป่าเล่อและพูดด้วยเสียงเบาราวกระซิบ
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทา จิตใจยุ่งเหยิงกว่าเดิมด้วยความสับสน
“ใช่ขอรับ ข้าเห็นเขา ท่านไม่เห็นเขาหรอกหรือ ท่านอาจารย์…” ทันทีที่พูดออกมา ดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง ความคิดน่าตกใจวาบเข้ามาในสมอง
“เจ้าเห็นเขาจริงด้วยสินะ…” หมิงคุนจื่อพึมพำ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบกาย
“ช่างน่าสนใจเสียจริง แต่เป่าเล่อ นี่เป็นนิมิตมืดที่อาจารย์สร้างมาให้เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในนิมิตนี้มีทั้งความจริงและมายาปะปนกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ภายในนิมิตนี้… ไม่ควรมีคนชื่อเฉินชิงอยู่!”
คำเฉลยของหมิงคุนจื่อทำให้หวังเป่าเล่อหายใจสะดุดอย่างรุนแรง ความตระหนกตกใจยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก เป็นไปตามที่เขาคาดไว้จริงๆ เสียด้วย
“หากไม่มีคนผู้นั้น… แล้วชายที่ข้าเจอเล่า… ศิษย์พี่เฉินชิงสอนวิชาใบหน้าซากศพให้ข้าด้วยซ้ำ แถมยังบอกความลับของเขากับข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ส่วนหมิงคุนจื่อกลับระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เป่าเล่อ ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ข้าสร้างนิมิตมืดให้เจ้า ส่วนเขา… ก็สร้างนิมิตมืดให้ข้าอีกทีหนึ่ง!” หมิงคุนจื่อดูเหมือนจะคิดบางสิ่งออก เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะของเขาเจือด้วยความทรงจำมากมายและความรู้สึกเอ่อล้น ในที่สุดเขาก็ยกมือขวาขึ้นแตะหน้าผากหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ชะตากำหนดมาแล้วว่าเราทั้งสองมีวาสนาได้เจอกันเพียงเท่านี้ ต่อจากนี้จงทำตามหัวใจของเจ้าเถิด ได้เวลา… ตื่นจากความฝันแล้ว!”
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทา เขารู้สึกเหมือนสวรรค์และพื้นพิภพพลิกกลับตาลปัตร ทุกสิ่งพร่าเลือนพร้อมเสียงกระจกแตกที่ดังสะท้อนอยู่ในหู ดวงจิตของเขาออกจากร่างนี้ไป ก่อนพุ่งขึ้นไปยังจักรวาลที่พร่างพรายด้วยดวงดารา ขณะที่ดวงจิตกำลังเดินทางนั้น เวลาก็หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน เวลาหนึ่งพันปีอัดแน่นเข้าด้วยกัน กลายเป็นเวลาเพียงชั่วอึดใจ!
หวังเป่าเล่อเห็นพิกัดดาวที่สำนักแห่งความมืดเคยตั้งอยู่ หลายปีต่อมา การต่อสู้ครั้งใหญ่อุบัติขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เขาเห็นจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นและผู้ฝึกตนผู้ทรงพลังมากมายกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสงครามดาราจักร
สงครามนั้นเป็นเพียงภาพสีเลือนในสายตาเขา จากนั้นสำนักแห่งความมืดทั้งสำนัก… ก็แหลกสลายกลายเป็นเพียงเถ้าธุลี
เสียงกระจกในหูเขาดังขึ้นอีกจนแทบทนรับไม่ไหว ดวงตาของหวังเป่าเล่อมืดมิด ในตอนนั้นเอง… ณ ระบบสุริยะ ใต้ดินสีแดงของดาวอังคาร และโลกใต้ดินที่วัตถุเวทแห่งความมืดสถิตอยู่ ร่างของหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธินอนหลับอยู่ในเรือเดียวดายสีดำ ลอยอ้างว้างอยู่ในความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด ร่างนั้นสั่นสะท้าน ก่อนลืมตาตื่นขึ้น!
ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา เปลวไฟสีดำในกายเขาก็สั่นไหว ก่อนปล่อยไอเย็นออกมาไม่ขาดสาย ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิตมืดได้ติดตัวเขามายังโลกแห่งนี้ด้วย! ภายในพริบตา เปลวไฟสีดำในกายของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มจำนวนขึ้นหลายสิบเท่า และอัดแน่นรวมกันเป็นแก่นในแห่งความมืด พลังปราณระเบิดออกจากร่างของชายหนุ่ม!
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ จุดหนึ่งในจักรวาลไร้ขอบเขต ห่างจากระบบสุริยะไปไกลแสนไกล มีดินแดนที่ถูกตราว่าเป็นหนึ่งในดินแดนต้องห้ามทั้งสิบในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้! ดินแดนนั้นเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง เศษกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน และพายุร้ายที่ทำลายได้แม้ดวงดาว สิ่งมีชีวิตใดที่ย่างกรายเข้ามาคงไม่มีวันได้กลับออกไปพร้อมลมหายใจ!
เศษซากที่เหลืออยู่ของอนุสาวรีย์ศิลาลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศ ท่ามกลางซากกระดูกภายในดินแดนต้องห้ามนี้
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างซากอนุสาวรีย์ศิลา เขาเอามือไพล่หลัง ขณะมองไปที่อนุสาวรีย์นั้นอย่างเงียบๆ ชุดคลุมทรงโบราณของเขาเป็นสีดำสนิท ขั้นปราณเป็นปริศนา ทันทีที่เศษซากมหึมาพุ่งเข้าชนร่างของชายผู้นี้ เศษซากนั้นก็พลันระเบิดออกเป็นจุณ ภาพที่เห็นสื่อได้ว่าขั้นปราณของเขาย่อมสูงส่งจนยากจะหยั่งถึง!
อนุสาวรีย์ศิลาตรงหน้าชายผู้นี้ปล่อยรัศมีความเก่าแก่ออกมา ดูเหมือนว่ามันจะอยู่มานานเกินไปจนเหนือกาลเวลาไปเสียแล้ว บนอนุสาวรีย์ศิลานั้นมีนามมากมายสลักอยู่ แต่ในตอนนี้นามเหล่านั้นล้วนอับแสงลงเสียสิ้น มีเพียงนามเดียวที่ยังทอแสงประหลาดอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด
นามนั้นก็คือ… เฉินชิง!
หากหวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น เขาย่อมจำได้ว่าอนุสาวรีย์ศิลาแห่งนี้นี้คืออนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด และชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือศิษย์พี่เฉินชิงที่เขาเจอในนิมิตมืด คนผู้นี้ดูเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน เว้นก็แต่ริ้วรอยแห่งวัยที่เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา
ชายปริศนาผู้นี้คือเฉินชิงนั่นเอง!
เฉินชิงยืนมองอนุสาวรีย์ศิลาและชื่อของตนที่เรืองแสงอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้น สลักนามอีกนามหนึ่งที่มีสามพยางค์ลงไปข้างชื่อตนด้วยนิ้วมือทีละเส้น
ชื่อใหม่นั้นเขียนว่า… หวังเป่าเล่อ!
ทันทีที่ชื่อนั้นปรากฏขึ้นบนอนุสาวรีย์ศิลา มันก็เรืองแสงอยู่ครู่หนึ่งก่อนดับวูบลง ราวกับว่าอนุสาวรีย์ศิลาไม่เห็นด้วยและไม่อนุมัติชื่อนั้น ในตอนที่ชื่อของหวังเป่าเล่อกำลังจะเลือนหายไปนั้นเอง เฉินชิงก็พูดออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“ตอนนั้นเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าเป็นบุตรแห่งความมืด ข้าจึงทำลายอนุสาวรีย์ศิลานี่ไปเสียครึ่งหนึ่ง ตอนนี้หากเจ้าคิดจะลบนามของศิษย์น้องข้าอีก เราจะได้เห็นกันว่าเจ้าจะยังเหลือซากอยู่อีกหรือไม่!”
ทันทีที่เฉินชิงพูดจบ อนุสาวรีย์ศิลาก็สั่นสะท้าน หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก มันก็เลือกประนีประนอมด้วยความรู้สึกชิงชัง ชื่อของหวังเป่าเล่อไม่อับแสงลงอีกต่อไป แต่กลับสว่างเจิดจ้าอยู่ในความมืดมิด!