หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 467 ผลตอบแทนมหาศาล!

บทที่ 467 ผลตอบแทนมหาศาล!

สิ้นสุดคำพูดของหวังเป่าเล่อ แม่น้ำแห่งความมืดใต้เรือเดียวดายก็ขยายกว้างขึ้น ก่อนไหลบ่าจากท้องฟ้าลงไปสู่ชายร่างหนาที่พื้นพสุธา ตอนนั้นเองชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำก็ใช้เรือเดียวดายฝ่าแสงสีเทาเข้าไปหาชายหน้าตะขาบทันที!

ก่อนหน้านั้น สีหน้าของชายหน้าตะขาบดูกระวนกระวาย รูม่านตาหดแคบ ตั้งท่าเหมือนจะหนี แต่ทันทีที่แม่น้ำแห่งความมืดไหลผ่านแสงสีเทา จนทำให้หวังเป่าเล่อมาอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตาเดียวด้วยเรือลำน้อย ชายผู้นั้นก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธเกรี้ยว และตะโกนออกมาอย่างเคียดแค้น

“อยากตายก็ตายไปคนเดียวเถิด!” ชายหน้าตะขาบกู่ร้องคำรามพร้อมวาดมือเพื่อโจมตี ทันใดนั้น กระบี่บินนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากใต้ดินภายในรัศมีหลายร้อยเมตรรอบกายเขา ก่อนก่อตัวเป็นยานที่สร้างมาจากกระบี่!

ไม่เพียงเท่านั้น แสงสว่างเรืองรองปะทุออกจากใต้ดินเบื้องล่างยานกระบี่ แสงนั้นพุ่งเข้าเกี่ยวประสานกัน แปรสภาพกลายเป็นแผนผังวงแหวนปราณ พลังของวงแหวนปราณระเบิดออกทันทีที่ก่อเป็นรูปเป็นร่าง

นอกจากนั้น ร่างที่เหมือนชายหน้าตะขาบอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก็ปรากฏขึ้นทุกมุมของวงแหวนปราณภายในพริบตา ทำให้ดูไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เป็นชายหน้าตะขาบตัวจริง เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้นจากทุกทิศทาง เสียงนั้นทรงพลังเสียจนอาจทำให้ศิลาระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ได้!

พื้นดินเบื้องล่างปริแตก ตะขาบยักษ์พุ่งออกจากรอยแตก หมายกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว ปากใหญ่ของมันดูน่าสยดสยอง ส่วนตัวก็ปกคลุมด้วยหนามแหลมมากมายที่ไม่ว่าใครได้เห็นคงต้องขวัญหนีดีฝ่อ

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วภายในพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวทะลุแสงสีเทามา!

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้รวดเร็วราวฟ้าแลบ!

ทว่าไม่ว่าชายหน้าตะขาบจะเตรียมการดีเพียงใด ไม่ว่าเขาจะใช้ทุกวิถีทางที่มีในการโจมตี ทั้งกระบี่สมบัติเวทมากมาย ทั้งตะขาบหน้าตาน่ากลัว ก็ยังไม่อาจต้านทานอำนาจของวัตถุเวทแห่งความมืดได้  นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังรู้ดีว่าชายผู้นี้คือหัวหน้าของผู้ฝึกตนจากต่างดาว เขาจึงปล่อยพลังทั้งหมดของวัตถุเวทแห่งความมืดออกไป ทั้งยังใช้กระบวนเวทของสำนักแห่งความมืดอีกด้วย!

เรือสีดำเคลื่อนที่ตามกระแสน้ำมาข้างหน้าเรื่อยๆ แม่น้ำแห่งความมืดไหลไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหวังเป่าเล่อที่เริ่มร้องเพลงประหลาด อันนำมาซึ่งพลังลึกลับยากจะหยั่งถึง!

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเริ่มร้อง วัตถุเวทแห่งความมืดก็สั่นไหว พลังที่ตรวจจับไม่ได้ระเบิดออกมาในบัดดล พลังนั้นไม่ได้มาจากที่แห่งใด และไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป มันเป็นพลังที่อุบัติขึ้นที่นั่นเดี๋ยวนั้นเอง!

หากจะพูดให้ถูกต้อง มันคือพลังที่เกิดจากบทเพลงที่หวังเป่าเล่อขับร้อง ส่งผลให้กระบี่เหาะเหินที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขาชะงักกลางอากาศ สมบัติเวทและวงแหวนปราณที่กำลังแผลงฤทธิ์ก็สงบลงเช่นกัน แม้กระทั่งตะขาบยักษ์ยังหยุดกลางคัน นิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว

ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกแช่แข็งไว้ ณ ห้วงเวลานั้น!

รูปจำแลงของชายหน้าตะขาบสลายหายไปในพริบตาเหมือนฟองสบู่แตก ร่างเดียวที่เหลืออยู่คือร่างที่ใกล้หวังเป่าเล่อมากที่สุด สีหน้าเปื้อนด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

เป็นไปไม่ได้ เวลาหยุดหมุน… เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่มันจิตเวทแห่งเต๋าในตำนาน ที่มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาผู้มีปราณระดับจักรพิภพเท่านั้นที่จะใช้ได้มิใช่หรือ! ชายร่างหนาตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ เขาควบคุมตนเองไม่ได้จึงกรีดร้องด้วยความตระหนกพร้อมถอยร่นไปข้างหลัง แม้เขาจะคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะถอยหนีโดยไม่ลังเล

เขาไม่กล้าสู้อีกต่อไปแล้ว ความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่คือการหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดเกินไปจนแค่คิดถึงร่างกายก็พาลสั่น แต่เมื่อเขาเริ่มก้าวถอยหลังก็ต้องชะงักค้างอีกครั้ง ความกลัวจับจิตฉายขึ้นในแววตาของชายหน้าตะขาบ ขณะมองร่างของตนเองที่ตอนนี้อยู่เบื้องหน้าด้วยความตกใจสุดขีด!

มีร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ไร้ความเคลื่อนไหว สีหน้าแข็งทื่อด้วยความกลัว ราวกับถูกหยุดเอาไว้ในห้วงเวลานั้นตลอดกาล

ชายร่างหนามองร่างตรงหน้าก่อนก้มลงมองร่างของตนเอง เพื่อที่จะพบว่า… เขาได้กลายเป็นวิญญาณโปร่งแสงไปเสียแล้ว!

ไม่ใช่เวลาที่หยุดเดิน… ดวงวิญญาณของชายร่างหนาสั่นระรัว กระนั้นเขาก็พยายามหนีต่อไป เกราะป้องกันปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน ทว่าตอนนั้นเอง ท่อนที่สองของบทเพลงปริศนาก็ลอยมาเข้าโสตประสาท

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…” ดวงวิญญาณของชายร่างหนาสั่นสะท้านอีกครั้ง เขาเห็นหวังเป่าเล่อในชุดคลุมสีดำก้าวขึ้นเรือเดียวดาย และจากไปยังอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำวิญญาณ แทนที่จะตรงมาหา

ทว่าด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ ชายหน้าตะขาบกลับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นไท แต่เข้าใจดีว่าจุดจบของตนเองกำลังจะมาถึงแล้ว เขาถอยหนีไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในสายตาอีกต่อไป แต่ชายร่างหนาก็ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายยังเป็นสีดำสนิท

หากเป็นเพียงความมืดมิดอันเวิ้งว้างคงยังไม่น่ากลัวนัก แต่ในความมืดมิดนั้น วิญญาณหลายตนปรากฏกายขึ้น วิญญาณเหล่านั้นคือวิญญาณที่เขาเคยเห็นในมหาสมุทรวิญญาณในชั้นแรก

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด… ชายหน้าตะขาบตัวสั่น ความสิ้นหวังฉายขึ้นในแววตา บทเพลงของหวังเป่าเล่อดังก้องในหูอีกครั้ง เสียงเพลงนั้นดูล่องลอยและขาดหาย

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

เพลงนั้นก้องกังวานอยู่ในหูเขาเป็นเวลานาน จนจิตวิญญาณของชายหน้าตะขาบเริ่มพร่าเลือน วินาทีที่วิญญาณของเขาเลือนลางไปจนหมดสิ้น ร่างก็เข้าสู่สภาวะก่อนความตายโดยสมบูรณ์ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดรอบกายจึงมีแต่ความมืดมิด

ชายหน้าตะขาบเห็นแม่น้ำแห่งวิญญาณที่หวังเป่าเล่อล่องเรืออยู่ตั้งแต่ที่เขายังมีร่างกายครบถ้วน เขาเห็นดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนอยู่ในแม่น้ำวิญญาณนั้น และเห็นวิญญาณของตนเอง แหวกว่ายอยู่ในหมู่มวลวิญญาณท่ามกลางสายธารที่หลั่งไหล…

จากนั้นดวงจิตของเขาก็ดับสูญ

จิตวิญญาณที่สูญสิ้นของชายหน้าตะขาบสลายไปพร้อมสายธารวิญญาณและเรือเดียวดาย ทุกสิ่งทุกอย่างหลั่งไหลจากท้องฟ้าเบื้องบนลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง

เรือเดียวดายกลับมาปรากฏอีกครั้งที่ลานจัตุรัสสาธารณะของโลกใต้ดินชั้นที่สาม ในลานนั้นเต็มไปด้วยซากศพและอสูรร้ายที่คุกเข่าด้วยร่างสั่นเทา ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดเผือด เลือดไหลออกจากมุมปาก เรือเดียวดายใต้เท้า ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียงเริ่มพร่าเลือน ก่อนค่อยๆ สลายหายไปโดยสมบูรณ์กลายมาเป็นวิญญาณวุธสามดวง

เมื่อวิญญาณวุธทั้งสามปรากฏ ชายร่างหนา ชายชรา และเด็กชายก็รีบพากันคุกเข้าลงแทบเท้าหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามข่มปราณโลหิตในกายให้กลับมาสงบอีกครั้ง แม้การต่อสู้สามครั้งก่อนก่อนหน้านี้จะดูง่ายดาย แต่ก็เป็นเพราะเขายืมพลังจากวัตถุเวทแห่งความมืด แม้วัตถุเวทเหล่านี้จะอยู่ในสภาพเสียหายมาก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องใช้แรงมหาศาลในการควบคุมมัน เนื่องจากขั้นปราณของเขายังไม่สูงพอ

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการต่อสู้สามครั้งที่เพิ่งผ่านมา แตกต่างจากการต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อเคยเผชิญอย่างสิ้นเชิง จากวิชาความรู้และจิตสัมผัสที่เขาได้รับการถ่ายทอดมาในนิมิตมืด ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าที่อาวุธเทพระดับสูงนั้นทรงพลังนัก เป็นเพราะมันสามารถสำแดงพลานุภาพที่ราวกับกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองได้นั่นเอง!

น่าเสียดายนักที่ขั้นปราณของข้ายังสูงไม่พอ และวัตถุเวทแห่งความมืดได้รับความเสียหายหนักจนย่อขนาดลงมาไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าคงพกมันไปกับตัวแล้ว หากข้าออกจากที่แห่งนี้แล้วเริ่มเรียกตนเองว่าประธานสหพันธรัฐ และมีใครกล้าต่อต้านข้า ข้าก็เพียงแค่ต้องขับขานบทเพลงนี้ให้พวกนั้นฟังเท่านั้น! หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นและหดหู่เมื่อคิดได้ดังนั้น ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาในจิตใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนใจยาว

ข้าเริ่มยโสเกินไปเสียแล้ว… ต้องถ่อมตนเข้าไว้ ชายหนุ่มตบพุงตนเองเพื่อกดปราณโลหิตที่บ้าคลั่งให้สงบลง เขาไม่ได้สนใจเยียวยาบาดแผลตนเองในทันที แต่รีบหยิบทรัพยากรที่แย่งชิงได้มาดู ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณสองคนแรกใช้ทรัพยากรในการต่อสู้ไปไม่น้อย หวังเป่าเล่อต้องการจะหยุดทั้งสองให้เลิกใช้ทรัพยากรไปมากกว่านี้ ความสงบที่เขาแสดงให้ทั้งสองเห็นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

ในความเป็นจริง หวังเป่าเล่อแทบคลั่งเมื่อเห็นสมบัติเวทที่ทั้งสองหยิบออกมาใช้ถูกทำลายไป ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งที่สามคนนั้นครอบครอง คือของเขาโดยชอบธรรม

แต่เขาก็ยังไม่ทรงพลังพอจะควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืด ถึงขั้นกำจัดมนุษย์ออกไปโดยไม่ทำอันตรายต่อสมบัติเวทได้!

ชายหนุ่มถอนหายใจขณะเปิดกระเป๋าคลังเก็บทั้งสาม เขาเริ่มค้นดู ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างพร้อมลมหายใจหอบถี่

แม้สมบัติเวทของทั้งสามจะเสียหายไปเป็นส่วนมาก แต่ก็ยังมีอยู่มากกว่าสิบชิ้นที่อยู่ในสภาพดี รวมถึงกระบี่เหาะเหินสามสีที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นยานกระบี่จากกระบี่เหาะเหินนับไม่ถ้วนได้!

นอกจากนี้ยังมีสมบัติเวทแถบผ้าที่เป็นของผู้ฝึกตนหน้าม้า เกล็ดจากผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยม รวมถึงสมบัติเวทอื่นๆ ที่ทั้งสามไม่ได้ใช้ต่อกรกับเขา หวังเป่าเล่อบอกระดับขั้นของสมบัติเวทเหล่านี้ไม่ได้เนื่องจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรมการหลอมระหว่างสหพันธรัฐและอารยธรรมของทั้งสาม แต่เขาก็เข้าใจว่าหากผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณใช้มันได้ แปลว่าพวกมันต้องมีระดับที่สูงมากแน่นอน เพียงแค่คิดชายหนุ่มก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นเสียแล้ว!

ข้าเจอหีบสมบัติเข้าแล้ว!

นอกจากนี้ยังมีหินมีค่ามากมายที่ดูเหมือนศิลาวิญญาณ แผ่นหยกบันทึกตัวอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ขวดโอสถสามสิบกว่าขวด ชุดเกราะหุ้มเกล็ด และตะขาบที่ถูกผนึกไว้ด้วยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด!

ยังไม่หมดแค่นั้น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของชายหน้าตะขาบผู้เป็นหัวหน้า แมงกะพรุนสีดำที่กำลังจำศีล และหินเรืองแสงหลายก้อนที่กองสูงเหมือนภูเขา!

ธาราจอมตะกละเช่นนั้นหรือ

แล้วหินพวกนั้น… มันคือชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะมองไปที่สิ่งของเหล่านั้นเหมือนโดนสะกดจิต จิตใจของเขาปั่นป่วนไปหมด เมื่อเห็นกล่องหินสีดำที่มุมหนึ่งของกระเป๋าคลังเก็บของชายหน้าตะขาบ!

กล่องนั้นก็ทำจากชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวเช่นกัน แต่คุณภาพเหนือกว่าชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวทั่วไปมากโข!

กล่องนั้นปล่อยรังสีความเก่าแก่ออกมา ราวกับว่ามันอยู่มาเนิ่นนานจนกักเก็บเศษเสี้ยวของกาลเวลาเอาไว้ข้างใน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset