ดูเหมือนเจ้านครจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าสิ่งที่นางได้กล่าวไปนั้นจะทำให้ผู้ฝึกตนไม่ว่าคนใดตื่นตกใจ นางจึงหยุดและรอให้หวังเป่าเล่อซึมซับทุกอย่างเข้าไปก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“ตอนที่การวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณประสบความสำเร็จ พวกเราอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ถึงอย่างนั้นโศกนาฏกรรมบนดาวพุธก็ได้ทำลายทุกสิ่งที่เราทำสำเร็จบนนั้นไปสิ้น…ขณะนี้พวกเราตั้งใจที่จะก่อสร้างดาวขึ้นใหม่พร้อมๆ กับการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย”
“ถึงอย่างนั้น…แม้ว่าสหพันธรัฐจะมีทรัพยากรเพียงพอในการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขึ้นมาใหม่ เราก็ยังต้องใช้เวลาในการหลอมส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาอยู่นั่นเอง ข้าจึงได้ให้พิมพ์เขียวเจ้าไปอย่างไรเล่า” หลังจากที่ได้อธิบายทุกสิ่งแล้วเจ้านครก็วางสายไป
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจะเข้ามาในฝ่ายบริหารสหพันธรัฐใหม่ๆ เขาคงตกใจมากและอยากจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐให้มากขึ้น แต่มาบัดนี้ ชายหนุ่มได้เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์และชั่งน้ำหนักคำพูดของคนอื่นมาอย่างโชกโชน
และเพราะอย่างนั้น หวังเป่าเล่อจึงยังนั่งครุ่นคิดอยู่นานหลังจากที่เจ้านครวางสายไปแล้ว จากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาเขาก็สะท้อนประกายวาบขึ้นมา
น่าสนใจทีเดียว…เจ้านครพูดกับข้าอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าส่วนประกอบเหล่านั้นต้องถูกสร้างอย่างเร่งด่วน…แต่นางกลับไม่ได้บอกเวลาแน่นอนว่าข้าต้องส่งชิ้นส่วนไปให้เมื่อใด…
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจ้านครพูดอย่างหนัก หลังจากใคร่ครวญอยู่เป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะเดาได้ว่าสหพันธรัฐต้องการอะไร พวกเขาต้องการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะได้พัฒนาอารยธรรมฝึกตนในสหพันธรัฐต่อไป แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็กลัวว่าจะไปเปิดประตูแห่งนรกขึ้น
แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาหลายทศวรรษ พวกเขาก็เชื่อใจศิษย์พี่โมเกาจื่อเป็นอย่างมาก เพราะอย่างไรเสีย หากว่าโมเกาจื่อคิดร้ายกับพวกเขาจริง ก็สามารถบังคับให้ทุกคนบนสหพันธรัฐทำตามที่เขาต้องการได้ด้วยการใช้กำลัง
เพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะคืบหน้าไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ แต่การก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ยังดำเนินต่อไปและเริ่มเห็นผลแล้ว สำหรับคำถามที่ว่าเหตุใดสหพันธรัฐจึงไม่ได้ขีดเส้นตายเรื่องการส่งชิ้นส่วน หวังเป่าเล่อเดาว่าเพราะพวกเขากำลังวุ่นกับการเตรียมการแผนฉุกเฉินอยู่เป็นแน่…
ระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นหนึ่งในแผนฉุกเฉินนั้น การบรรลุขั้นของผู้อาวุโสสูงสุดก็เป็นหนึ่งในแผนฉุกเฉินเช่นกัน พวกเขามีแผนสำรองอยู่กี่แผนกันนะ หวังเป่าเล่อล่องลอยไปกับความคิด ชายหนุ่มไม่เคยพบโมเกาจื่อมาก่อน จึงยังคงรู้ลึกละล้าละลังกับการสร้างชิ้นส่วนวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
แต่ถึงเขาจะไม่เคยพบโมเกาจื่อ ชายหนุ่มก็เชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาล้วนต่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นอย่างที่เจ้านครได้กล่าวไว้ ความวิตกกังวลของเขาเป็นเรื่องที่คนในฝ่ายบริหารล้วนเคยวิตกกังวลมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางเรื่องนี้ลงและเข้าถือสันโดษ ในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดหัตถ์สื่อวิญญาณ และยังแบ่งเวลาให้การหลอมชิ้นส่วนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายตามที่สหพันธรัฐร้องขอด้วย
เจ็ดวันผ่านไป การฝึกปราณและการหลอมชิ้นส่วนของหวังเป่าเล่อคืบหน้าไปด้วยดี ในวันนั้น กลุ่มสำรวจจากสหพันธรัฐกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังเขตนครพิเศษ พวกเขาขออนุญาตหวังเป่าเล่อและลงไปในสุสานใต้ดิน และเริ่มศึกษารวมถึงวัดระดับความหนาของกำแพง
หวังเป่าเล่อไม่อาจปฏิเสธการร้องขอนั้นได้ แต่ชายหนุ่มก็ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น หลังจากนั้นสามวัน กลุ่มสำรวจที่สองก็เดินทางมาถึงดาวอังคาร หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกได้อันตรายที่กำลังจะมาถึงตัว
หรือว่าแผนสำรองที่สามของสหพันธรัฐคือวัตถุเวทแห่งความมืดของข้ากัน หวังเป่าเล่อรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งเมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มอยากช่วยสหพันธรัฐ แต่ในฐานะเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันจะเป็นประโยชน์กับทั้งตัวเขาและสหพันธรัฐหากเขาประกาศสถานะของตนออกไปเมื่อพลังปราณของเขาอยู่ในระดับอันสมควร
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปในตอนนี้ แม้ว่ามันจะไม่มีผลกับสหพันธรัฐ แต่ผลที่จะเกิดกับตัวเขานั้น…ก็สุดจะคาดเดา
หวังเป่าเล่อไม่กล้าเสี่ยงดวงกับเรื่องนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ พลางรู้สึกไม่ดีที่สมบัติของเขาถูกบุคคลสำคัญของสหพันธรัฐวาดหวังจะได้ไปครองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
สหพันธรัฐดูจะมั่นใจกับการเก็บกู้วัตถุเวทแห่งความมืดเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้รอบนี้พวกเขาจะกลับไปมือเปล่า แต่ก็คงจะส่งกลุ่มสำรวจกลับมาอีกในเร็ววัน
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน กลุ่มสำรวจค้นหาอยู่หลายวันก่อนจะจากไปหลังจากเก็บข้อมูลได้เพียงพอ จังหวะนั้นเอง ชายหนุ่มจึงลักลอบเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืด ก่อนจะเรียกวิญญาณวุธทั้งสามออกมาสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการฟื้นตัว
หวังเป่าเล่อพบว่ายังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนก่อนที่วัตถุเวทจะฟื้นฟูตนเองขึ้นมาได้ถึงร้อยละสิบ ชายหนุ่มออกมาและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาทางออก
กำแพงที่เหลืออยู่น่าจะถ่วงเวลาสหพันธรัฐไว้ได้อีกพักเดียวก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจพังมันทิ้งเสีย…แต่ต่อให้วัตถุเวทแห่งความมืดกลับมาใช้งานได้มากขึ้น สหพันธรัฐก็นำมันไปใช้ไม่ได้อยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงอยากได้มันอยู่นั่นเอง ช่างน่ากังวลอะไรเช่นนี้…แทนที่จะอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของสหพันธรัฐ ข้าขอ…ชิงลงมือเสียเองดีกว่า! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายกล้าเมื่อความคิดนั้นแล่นผ่านใจเขา ชายหนุ่มเริ่มวางแผนการจู่โจม
เขารู้ดีว่าระหว่างการบุกโจมตีกับการเฝ้าตั้งรับนั้นต่างกันเพียงใด แทนที่จะต้องมานั่งกังวลกับเรื่องนี้อยู่ตลอด สู้ยอมเริ่มจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ให้จบในคราเดียวเลยดีกว่า!
แผนของเขาแบ่งออกเป็นสองขั้น ขั้นแรก หวังเป่าเล่อตั้งใจจะรอให้วัตถุเวทแห่งความมืดฟื้นฟูสภาพขึ้นมาให้ได้ร้อยละสิบเสียก่อนจะเปิดเกราะป้องกันของมันด้วยตนเอง มันจะเป็นการล่อให้บรรดาผู้ฝึกตนมากฝีมือจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ มุ่งหน้ามายังวัตถุเวทแห่งความมืด หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จะเริ่มแผนขั้นที่สองเมื่อทุกคนมาอยู่ภายในวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว!
หวังเป่าเล่อทบทวนแผนอยู่ในใจหลายต่อหลายรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งซ้อมทำเสียงเป็นคนแก่หลากหลายรูปแบบอยู่ในห้องลับของตน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว วิญญาณเรือก็แจ้งเขาว่าเรือสำปั้นฟื้นฟูขึ้นมาจนถึงร้อยละสิบเรียบร้อยแล้ว และชายหนุ่มสามารถเปิดเกราะป้องกันของมันได้ตามต้องการ นัยน์ตาของหวังเป่าฉายแววแปลกประหลาด
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกและนึกทบทวนแผนการอีกครั้งในใจ เขารีบเตรียมการต่างๆ ให้ผู้ฝึกตนในเขตนครพิเศษ และเพิ่มการตรวจตรากำแพงภายในสุสานใต้ดิน ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็แอบควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดและเพิ่มอัตราเร็วในการสลายตัวของกำแพงให้มากขึ้น
ในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็ได้รับรายงานจากผู้ฝึกตนของเขาตามที่คาดไว้ ทันทีที่ได้รายงานไว้ในมือ เขาก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและแจ้งนางเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างตื่นเต้น
รายงานของชายหนุ่มดึงความสนใจของเจ้านครได้ทันที นางถึงกับเดินทางมายังเขตนครพิเศษด้วยตนเอง หวังเป่าเล่อนั้นแม้จะกังวลแต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดินเคียงข้างกับเจ้านครไปขณะที่นางเดินสำรวจ จากนั้นนางก็จากไปและรีบรุดส่งผลการสำรวจให้สหพันธรัฐในทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้ ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การายงานเรื่องการสลายตัวของกำแพงในสุสานใต้ดิน ความวุ่นวายในสหพันธรัฐและความตื่นเต้นของบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ และการมาถึงของกลุ่มคนมากมาย ทั้งหมดนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
บรรดาผู้นำของกลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายต่างถือสันโดษอยู่ เช่นเดียวกับต้วนมู่ฉี แต่ข่าวคราวเรื่องการสลายตัวของกำแพงนั้นสำคัญยิ่ง แม้ว่าไม่อาจเข้าไปดูด้วยตาตนเองได้ แต่ทุกคนก็ได้ส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายของตนมา เรือบินจากทั่วทั้งสหพันธรัฐมุ่งตรงมายังดาวอังคาร หลี่ซิงเหวินนำกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นมาด้วยตนเอง
สหพันธรัฐส่งนักพรตมาด้วยจำนวนหนึ่ง ภายในเวลาสองสัปดาห์ เขตนครพิเศษก็คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในส่วนใหญ่ของสหพันธรัฐเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ยังคงถือสันโดษอยู่ หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ทั้งหลินเทียนหาว จินตั้วหมิง กงเต๋าและที่เหลือ ต่างก็วุ่นวายกับการต้อนรับผู้มาเยือน แถมยังต้องจับตาดูอัตราการเสื่อมสลายของกำแพงภายในสุสานใต้ดินอีกด้วย
หลังจากที่ได้ข้อมูลมาอย่างครบถ้วน หลี่ซิงเหวินก็เริ่มวางแผนการทำลายกำแพง ก่อนที่จะเริ่มแผนการจริง หวังเป่าเล่อผู้มีท่าทีวิตกกังวลก็เข้าพบหลี่ซิงเหวิน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ สองสามวันมานี้ ข้าอดรู้สึกกังวลไม่ได้จริงๆ ท่านคิดว่า…จะมีใครบางคนกำลังควบคุมกำแพงและตั้งใจเร่งให้มันสลายตัวลงเร็วขึ้นหรือไม่”
หลี่ซิงเหวินกำลังตระเตรียมแผนการขั้นสุดท้าย แต่เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้นก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง
“จะต้องหวาดกลัวสิ่งใดเล่า ข้าไม่สนใจหรอกว่าจะมีใครควบคุมอยู่เบื้องหลังกำแพงหรือไม่ เราจะรู้ได้เองเมื่อทำลายมันทิ้งแล้ว”
ความขุ่นเคืองเอ่อท้นในใจหวังเป่าเล่อ เขาอดไม่ได้ที่จะยืนกรานออกไป
“ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าเพียงแต่กังวลเท่านั้นขอรับ จะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าของที่แท้จริงของอาวุธเทพนี้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วหากเขายังอยู่ในอาวุธเทพนั้นเล่า หากเราทำลายกำแพง…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและจ้องมองหลี่ซิงเหวิน
หลี่ซิงเหวินยังคงไร้ปฏิกิริยา ทว่าสายตาที่จ้องมองตอบหวังเป่าเล่อกลับลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย จากนั้นชายชราก็พูดขึ้นเรียบๆ
“เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจึงต้องเป็นผู้นำกลุ่มในครั้งนี้…”
หวังเป่าเล่อนิ่งงันไป แต่ไม่ได้ตอบคำ หลี่ซิงเหวินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่กลับก้มศีรษะลงจ้องมองพื้น มีแสงลึกล้ำสะท้อนอยู่ในดวงตาขณะที่ชายชราพูดต่ออย่างแช่มช้า
“มีบางอย่างถูกฝังอยู่ใกล้เราเหลือเกิน เราจำเป็นต้องตรวจสอบดูว่ามันมีเจ้าของหรือไม่ มันมีจิตมุ่งร้ายใดๆ อยู่ หรือเป็นภัยคุกคามหรือเปล่า พวกเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่อาจยอมให้มีความไม่แน่นอนหลงเหลืออยู่ได้…นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีระเบิดต้านทานวิญญาณหนึ่งร้อยลูกอยู่ภายในศูนย์วิจัยดาวอังคาร และพร้อมที่จะระเบิดได้ทันที… อีกทั้งวงแหวนปราณแห่งระบบสุริยะเองก็พร้อมใช้งาน
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังมีการเตรียมการอื่นๆ เอาไว้เช่นกัน…นอกเสียจากว่าเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะแข็งแกร่งเสียจนเราไม่อาจต่อกรด้วยได้ สหพันธรัฐได้บรรลุฉันทามติแล้ว ตัวข้าเองพร้อมที่จะต่อรอง แต่สหพันธรัฐก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พวกเขาต้องการวัตถุเวทแห่งความมืดนี้!”
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ เป่าเล่อ” หลี่ซิงเหวินเงยศีรษะขึ้นและมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเปี่ยมความหมายอีกครั้งหนึ่ง