สองจอมยุทธ์ทรงพลัง
หลิ่วเหยียนยืนบนอากาศ
ขณะศพขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรล้มลงด้านข้าง เลือดไหลเจิ่งนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทว่าสายตาไม่แยแสกลับจับจ้องที่มู่เฉินราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง
มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่คิดว่าจะประหน้ากับชายคนนี้ตั้งแต่จุดแรก บังเอิญเกินไปรึเปล่าเนี่ย?
“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” หลิ่วเหยียนเหมือนมองเห็นความสงสัยในใจของมู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ตอนที่เราสู้กันในหอหลงเฟิ่ง ข้าทิ้งผนึกคลื่นหลิงพิเศษบนตัวแก ข้าก็เลยจับตำแหน่งของแกได้คร่าวๆ”
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็มืดครึ้ม เพลิงสีม่วงปะทุบบนร่าง สุดท้ายก็มีร่องรอยพลังงานประหลาดเล็กจิ๋วบางแผ่อยู่บนเส้นผมของเขา
ปุ!
เมื่อเพลิงสีม่วงกวาดผ่าน เส้นผมมู่เฉินเส้นหนึ่งก็สลายเป็นอากาศธาตุ คลื่นพลังประหลาดก็หายไป
มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนอย่างเย็นชา ไม่คิดว่าคนที่ระมัดระวังตัวอย่างเขาจะมีร่องรอยบางอย่างถูกวางไว้โดยไม่รู้ตัวเลย ดูท่าหลิ่วเหยียนจะมีกลยุทธ์พิเศษเลยทีเดียว
แต่โชคดีที่เขาจัดการกับอันตรายซ่อนเร้นนี่ได้ก่อน มิฉะนั้นถ้าโดนเจ้านี่สัมผัสได้ตอนเขากับไฉ่เซียวค้นหาสระมังกรหงส์อื่น ไม่แน่อาจเป็นอุปสรรคต่อแผนของพวกเขา
“ดูเหมือนแกมั่นใจมากว่าจะกำจัดข้าได้นะ” มู่เฉินมองหลิ่วเหยียน
“วางใจเถอะ ข้าไม่คิดดูถูกแกหรอก ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าแกจะนอนอยู่ในเขตหลงเฟิ่งตลอดกาล ข้าจึงเชิญผู้ช่วยมาด้วย” หลิ่วเหยียนยิ้มพลางปรบมือเบาๆ
ตู้ม!
เมื่อเสียงปรบมือสะท้อนออกไป คลื่นหลิงอีกสายก็พุ่งตัวขึ้นมายังภูเขากระดูกขาว เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นร่างคนคนหนึ่ง เขามีผมยาวสีแดงและมีดวงตาสีแดงฉานราวกับม่านตางู อัดแน่นด้วยความดุร้าย
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็กระจายในชั้นบรรยากาศบนยอดเขา
มู่เฉินมองผู้มาใหม่ ดวงตาก็อดหดเกร็งลงใม่ได้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย ชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน
“คึ…หลิ่วเหยียน แค่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นสาม…แกยังต้องเชิญข้ามาช่วยอีก ตอนนี้เจ้าขี้ขลาดจนถึงระดับนี้เลยหรือ?” ชายผมแดงมองมู่เฉินด้วยดวงตาอสรพิษขณะที่เปล่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาจากปาก
“แม้แต่เสือยังทุ่มสุดพลังในการล่ากระตาย ข้าชอบทำแบบน้ำไหลผ่านไม่ได้แม้แต่หยดเดียว” หลิ่วเหยียนยิ้มให้มู่เฉินเอ่ยต่อ “เขาคือชื่อเสี่ยแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษอันดับเก้าบนบันทึกมังกรหงส์… ข้าเชื่อว่าเป็นเกียรติของแกที่มีจอมยุทธ์ในบันทึกมังกรหงส์สองคนจัดการแกนะ”
“ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ?”
หัวใจของมู่เฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองชายหนุ่มชุดแดงด้วยการขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงนัก ที่แท้เขาก็คือคนชาติชั่วที่ครั้งหนึ่งเคยฆ่าล้างบางเมืองร้อยเมืองนั่นเอง
การปรากฏตัวของชายคนนั้นเหนือความคาดหมายของมู่เฉิน ชัดว่าเขาไม่คิดที่หลิ่วเหยียนจะเชิญผู้ช่วยมาแม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตาม ความรอบคอบหลิ่วเหยียนเหนือกว่าหลิ่วหมิงหลายขุม
“ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” มู่เฉินมองจอมยุทธ์สองคนที่ประกบซ้ายขวาขณะที่รอยยิ้มสายหนึ่งคลี่บนใบหน้า แม้จะมีท่าทางประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างที่หลิ่วเหยียนคาดคิดไว้เลย
“ดูเหมือนแกจะยังไม่รู้จักสถานการณ์เลยนะ” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวใดๆ ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็ยิ่งไม่แยแสมากขึ้น แต่ก่อนที่จะพูดจบ ม่านตาเขาก็หดเกร็ง เพราะเห็นร่างบางระหงปรากฏบนซากวานรปีศาจที่มู่เฉินเอามาด้วยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
หญิงสาวคนนั้นงดงามสะกดใจ เรือนผมยาวปลิวไสวไปตามสายลม นางนั่งเงียบๆ อยู่บนซากวานรปีศาจ เท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง ในดวงตาฉายแววเกียจคร้านเมื่อจ้องมองมา
ภายใต้สายตาของนาง หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยก็มีแววตาสั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนนี้ปรากฏมาได้อย่างไร พวกเขาอดไม่ได้ที่จะระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“ขอโทษด้วย แต่ข้าก็มีผู้ช่วยเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้หลิ่วเหยียน
หลิ่วเหยียนจ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ก่อนจะเบนสายตาไปทางไฉ่เซียว ก่อนหน้าที่หอหลงเฟิ่งเขาสัมผัสไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้มีพลังแข็งแกร่ง แต่การที่นางปรากฏแบบไร้สุ้มเสียงเมื่อสักครู่ เขาก็รู้สึกถึงไออันตรายพล่านในส่วนลึกของหัวใจ
อันตรายแบบนั้นเขาไม่ได้เพิกเฉย เพราะนิสัยที่ระวังตัวบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิด นี่คือรูปแบบของความพึ่งพาที่เขาใช้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเขาจะมีพละกำลังเพียงพอที่จะจัดการมู่เฉิน แต่ก็ยังเรียกจอมยุทธ์ตัวฉกาจมาอีกด้วย เนื่องจากเขาต้องการกำจัดปัจจัยที่ไม่แน่นอนออกไปทั้งหมด
แต่เขาไม่คิดว่าแม้เขาจะมีการเตรียมการพร้อม แต่สถานการณ์ก็ยังคงหลุดจากการควบคุม
“แม่นางน้อย นี่เป็นปมแค้นระหว่างพวกข้ากับเขา หวังว่าเจ้าจะมองดูอยู่ห่างๆ ตำหนักสุดนภาจะจดจำบุญคุณนี้ไว้” หลิ่วเหยียนสูดหายใจลึกขณะประสานมือเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสุภาพ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มุมปากของไฉ่เซียวก็โค้งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ รอยยิ้มนี้ราวกับไม่ได้ยิ้ม “บุญคุณของตำหนักสุดนภายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สายตาของหลิ่วเหยียนดิ่งลง
ไฉ่เซียวไม่สนใจหลิ่วเหยียนอีก นางหันไปมองมู่เฉิน “เจ้ามีแผนอะไร?”
“ขวางไอ้งูนั่นให้ข้าได้ไหม?” มู่เฉินชี้ไปทางชื่อเสี่ยแล้วยิ้มบาง ด้วยพลังของเขาตอนนี้ หากชื่อเสี่ยกับหลิ่วเหยียนที่เป็นจอมยุทธ์มีชื่อในบันทึกมังกรหงส์จัดการเขาพร้อมกัน เขาคงไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย แม้เขาจะมั่นใจแต่ก็ไม่อวดเก่ง
เพราะขุมพลังตอนนี้ของเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่ของแท้แล้ว!
“ไม่คิดจะให้ข้าจัดการพวกมันทั้งคู่เลยหรือ?” ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้าคลี่ยิ้ม
“เรื่องบางอย่างข้าก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้ข้าจะไม่ถือในเรื่องให้หญิงสาวช่วยนะ โดยเฉพาะสาวงามคนนี้น่ะ” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้าก็มีความกล้าไม่น้อยนี่ งั้นแบบนี้เจ้างูนั่นเป็นหน้าที่ข้าเอง” ไฉ่เซียวยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับน้ำเสียงหยอกเย้า แต่ในดวงตากลมโตมีชีวิตชีวาเผยแววชื่นชมสายหนึ่ง นางชื่นชมความมั่นใจในตัวเองของมู่เฉินที่มีในน้ำเสียงของเขา ซึ่งความมั่นใจในตัวเองนั้นไม่ได้ไร้ซึ่งพื้นฐานและไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของนาง แต่เป็นเพราะตัวเขาเอง
จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามที่ไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน นอกจากนี้ยังคงความมั่นใจไว้ได้เช่นนี้ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีหรอก
“โอหัง”
พอได้ยินคำพูดนั่น หลิ่วเหยียนก็แค่นยิ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวไฉ่เซียวผู้ลึกลับอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับมู่เฉิน ตอนแรกเขายังปวดหัวในเรื่องจะจัดการกับไฉ่เซียวอย่างไรดี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าโง่มู่เฉินเสนอตัวถึงที่เองเลย
อีกมุมหนึ่งบนท้องฟ้า นัยน์ตาอสรพิษสีแดงของชื่อเสี่ยก็จ้องไฉ่เซียวเขม็ง ร่างจริงของเขาคืออสรพิษแดงโลหิต นับว่าได้ว่ามีสายเลือดของเทพอสูรส่วนหนึ่ง ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงดุดันมากกว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นไฉ่เซียวตัวเล็กจิ๋วกลับมีอาการหนาวสั่นแทรกซึมเข้าไปในกระเลือดเลือดของเขา
สีหน้าของชื่อเสี่ยเปลี่ยนไป สุดท้ายไอดุร้ายในแก่นกระดูกก็พวยพุ่งออกมา เขายิ้มชั่วร้ายให้ไฉ่เซียว ฟันขาววาววับดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาเปล่งหัวเราะ “นังหนูกระดูกอ่อน แต่คำพูดช่างโอหังเหลือเกิน เดี๋ยวถ้าข้าจับตัวเจ้าได้ข้าว่าร่างอ้อนแอ้นของเจ้าคงทนรับการทรมานไม่ไหวนะ”
ขณะที่ชื่อเสี่ยพล่าม สายตาก็จ้องมองร่างงดงามของไฉ่เซียวไม่วางตา ความกลัดมันวูบวาบในดวงตา ด้วยสายเลือดที่มากตัณหา เมื่อเห็นโฉมงามอย่างไฉ่เซียว หากไม่ใช่กลัวความลึกลับที่ไฉ่เซียวมี เขาคงพุ่งตัวเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้ว
ไฉ่เซียวทำเพียงยิ้มบางตอบรับคำพูดน่าทุเรศ ทำเอาหัวใจชื่อเสี่ยคันคะเยอขณะที่ไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตา
“สายเลือดงูด๊อกด๋อยก็มีประโยชน์บ้าง แม้จะด้อยกว่าสายเลือดมังกรแท้จริง แต่ก็ถือว่าดีต่อวิวัฒนาการของเสี่ยวไฉ่อยู่” ไฉ่เซียวยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นนางก็แตะฝ่าเท้าเบาๆ ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าชื่อเสี่ย นิ้วเรียวชี้ไปบนอากาศ
เมื่อนิ้ววาดลง มิติก็ผันผวนไปหมด
ภายใต้ท่าทางของไฉ่เซียว ผิวหนังของชื่อเสี่ยก็เกร็งเครียด อึดใจร่างเขาก็ถอยกรูดทิ้งภาพเงาเอาไว้
ชี่!
แต่ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วปานใด ก็ยังด้อยกว่าไฉ่เซียว มิติแปรปรวนขณะที่ภาพเงาแตกสลาย ท่ามกลางภาพเงาเหล่านั้น ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมา มือชื่อเสี่ยกุมไหล่ข้างหนึ่ง ปรากฏหลุมเลือดอยู่ตรงนั้น เลือดสดหลั่งไหล ปราการป้องกันทั้งหมดล้วนไม่ได้ผล
ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าเขาจะพยายามใช้คลื่นหลิงห้ามเลือดอย่างไรมันก็ไม่หยุด บนบาดแผลเขาเหมือนมีพลังงานลึกลับกัดกร่อนคลื่นหลิงอยู่
“เป็นไปได้ยังไง!” ความตกตะลึงอัดแน่นบนใบหน้าชื่อเสี่ย เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับบาดเจ็บหลังจากประมือเพียงกระบวนท่าเดียวกับโฉมงามผู้นี้
ขณะที่สายตาเขาฉายความตะลึงงันและหวาดผวา ไฉ่เซียวก็ย่างก้าวบนอากาศเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับนางตรงๆ แววหื่นกามในดวงตาของชื่อเสี่ยก็เปลี่ยนเป็นความหวาดผวาหมดแล้ว
เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองปะทะกับจอมยุทธ์น่าสะพรึงแบบไหนกัน
ขณะที่ชื่อเสี่ยตะลึงงันไป มู่เฉินก็ทะยานเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าหลิ่วเหยียน เสาปีศาจในมือชี้ช้าๆ ไปที่อีกฝ่าย รอยยิ้มสายหนึ่งเผยบนใบหน้าหล่อเหลา
“ประมุขน้อย ถึงตาเจ้าแล้ว”