หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 779

สองจอมยุทธ์ทรงพลัง

หลิ่วเหยียนยืนบนอากาศ

ขณะศพขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรล้มลงด้านข้าง เลือดไหลเจิ่งนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทว่าสายตาไม่แยแสกลับจับจ้องที่มู่เฉินราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง

มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่คิดว่าจะประหน้ากับชายคนนี้ตั้งแต่จุดแรก บังเอิญเกินไปรึเปล่าเนี่ย?

“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” หลิ่วเหยียนเหมือนมองเห็นความสงสัยในใจของมู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ตอนที่เราสู้กันในหอหลงเฟิ่ง ข้าทิ้งผนึกคลื่นหลิงพิเศษบนตัวแก ข้าก็เลยจับตำแหน่งของแกได้คร่าวๆ”

มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็มืดครึ้ม เพลิงสีม่วงปะทุบบนร่าง สุดท้ายก็มีร่องรอยพลังงานประหลาดเล็กจิ๋วบางแผ่อยู่บนเส้นผมของเขา

ปุ!

เมื่อเพลิงสีม่วงกวาดผ่าน เส้นผมมู่เฉินเส้นหนึ่งก็สลายเป็นอากาศธาตุ คลื่นพลังประหลาดก็หายไป

มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนอย่างเย็นชา ไม่คิดว่าคนที่ระมัดระวังตัวอย่างเขาจะมีร่องรอยบางอย่างถูกวางไว้โดยไม่รู้ตัวเลย ดูท่าหลิ่วเหยียนจะมีกลยุทธ์พิเศษเลยทีเดียว

แต่โชคดีที่เขาจัดการกับอันตรายซ่อนเร้นนี่ได้ก่อน มิฉะนั้นถ้าโดนเจ้านี่สัมผัสได้ตอนเขากับไฉ่เซียวค้นหาสระมังกรหงส์อื่น ไม่แน่อาจเป็นอุปสรรคต่อแผนของพวกเขา

“ดูเหมือนแกมั่นใจมากว่าจะกำจัดข้าได้นะ” มู่เฉินมองหลิ่วเหยียน

“วางใจเถอะ ข้าไม่คิดดูถูกแกหรอก ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าแกจะนอนอยู่ในเขตหลงเฟิ่งตลอดกาล ข้าจึงเชิญผู้ช่วยมาด้วย” หลิ่วเหยียนยิ้มพลางปรบมือเบาๆ

ตู้ม!

เมื่อเสียงปรบมือสะท้อนออกไป คลื่นหลิงอีกสายก็พุ่งตัวขึ้นมายังภูเขากระดูกขาว เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นร่างคนคนหนึ่ง เขามีผมยาวสีแดงและมีดวงตาสีแดงฉานราวกับม่านตางู อัดแน่นด้วยความดุร้าย

เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็กระจายในชั้นบรรยากาศบนยอดเขา

มู่เฉินมองผู้มาใหม่ ดวงตาก็อดหดเกร็งลงใม่ได้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย ชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน

“คึ…หลิ่วเหยียน แค่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นสาม…แกยังต้องเชิญข้ามาช่วยอีก ตอนนี้เจ้าขี้ขลาดจนถึงระดับนี้เลยหรือ?” ชายผมแดงมองมู่เฉินด้วยดวงตาอสรพิษขณะที่เปล่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาจากปาก

“แม้แต่เสือยังทุ่มสุดพลังในการล่ากระตาย ข้าชอบทำแบบน้ำไหลผ่านไม่ได้แม้แต่หยดเดียว” หลิ่วเหยียนยิ้มให้มู่เฉินเอ่ยต่อ “เขาคือชื่อเสี่ยแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษอันดับเก้าบนบันทึกมังกรหงส์… ข้าเชื่อว่าเป็นเกียรติของแกที่มีจอมยุทธ์ในบันทึกมังกรหงส์สองคนจัดการแกนะ”

“ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ?”

หัวใจของมู่เฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองชายหนุ่มชุดแดงด้วยการขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงนัก ที่แท้เขาก็คือคนชาติชั่วที่ครั้งหนึ่งเคยฆ่าล้างบางเมืองร้อยเมืองนั่นเอง

การปรากฏตัวของชายคนนั้นเหนือความคาดหมายของมู่เฉิน ชัดว่าเขาไม่คิดที่หลิ่วเหยียนจะเชิญผู้ช่วยมาแม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตาม ความรอบคอบหลิ่วเหยียนเหนือกว่าหลิ่วหมิงหลายขุม

“ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” มู่เฉินมองจอมยุทธ์สองคนที่ประกบซ้ายขวาขณะที่รอยยิ้มสายหนึ่งคลี่บนใบหน้า แม้จะมีท่าทางประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างที่หลิ่วเหยียนคาดคิดไว้เลย

“ดูเหมือนแกจะยังไม่รู้จักสถานการณ์เลยนะ” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวใดๆ ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็ยิ่งไม่แยแสมากขึ้น แต่ก่อนที่จะพูดจบ ม่านตาเขาก็หดเกร็ง เพราะเห็นร่างบางระหงปรากฏบนซากวานรปีศาจที่มู่เฉินเอามาด้วยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

หญิงสาวคนนั้นงดงามสะกดใจ เรือนผมยาวปลิวไสวไปตามสายลม นางนั่งเงียบๆ อยู่บนซากวานรปีศาจ เท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง ในดวงตาฉายแววเกียจคร้านเมื่อจ้องมองมา

ภายใต้สายตาของนาง หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยก็มีแววตาสั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนนี้ปรากฏมาได้อย่างไร พวกเขาอดไม่ได้ที่จะระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

“ขอโทษด้วย แต่ข้าก็มีผู้ช่วยเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้หลิ่วเหยียน

หลิ่วเหยียนจ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ก่อนจะเบนสายตาไปทางไฉ่เซียว ก่อนหน้าที่หอหลงเฟิ่งเขาสัมผัสไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้มีพลังแข็งแกร่ง แต่การที่นางปรากฏแบบไร้สุ้มเสียงเมื่อสักครู่ เขาก็รู้สึกถึงไออันตรายพล่านในส่วนลึกของหัวใจ

อันตรายแบบนั้นเขาไม่ได้เพิกเฉย เพราะนิสัยที่ระวังตัวบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิด นี่คือรูปแบบของความพึ่งพาที่เขาใช้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเขาจะมีพละกำลังเพียงพอที่จะจัดการมู่เฉิน แต่ก็ยังเรียกจอมยุทธ์ตัวฉกาจมาอีกด้วย เนื่องจากเขาต้องการกำจัดปัจจัยที่ไม่แน่นอนออกไปทั้งหมด

แต่เขาไม่คิดว่าแม้เขาจะมีการเตรียมการพร้อม แต่สถานการณ์ก็ยังคงหลุดจากการควบคุม

“แม่นางน้อย นี่เป็นปมแค้นระหว่างพวกข้ากับเขา หวังว่าเจ้าจะมองดูอยู่ห่างๆ ตำหนักสุดนภาจะจดจำบุญคุณนี้ไว้” หลิ่วเหยียนสูดหายใจลึกขณะประสานมือเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสุภาพ

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มุมปากของไฉ่เซียวก็โค้งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ รอยยิ้มนี้ราวกับไม่ได้ยิ้ม “บุญคุณของตำหนักสุดนภายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

สายตาของหลิ่วเหยียนดิ่งลง

ไฉ่เซียวไม่สนใจหลิ่วเหยียนอีก นางหันไปมองมู่เฉิน “เจ้ามีแผนอะไร?”

“ขวางไอ้งูนั่นให้ข้าได้ไหม?” มู่เฉินชี้ไปทางชื่อเสี่ยแล้วยิ้มบาง ด้วยพลังของเขาตอนนี้ หากชื่อเสี่ยกับหลิ่วเหยียนที่เป็นจอมยุทธ์มีชื่อในบันทึกมังกรหงส์จัดการเขาพร้อมกัน เขาคงไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย แม้เขาจะมั่นใจแต่ก็ไม่อวดเก่ง

เพราะขุมพลังตอนนี้ของเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่ของแท้แล้ว!

“ไม่คิดจะให้ข้าจัดการพวกมันทั้งคู่เลยหรือ?” ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้าคลี่ยิ้ม

“เรื่องบางอย่างข้าก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้ข้าจะไม่ถือในเรื่องให้หญิงสาวช่วยนะ โดยเฉพาะสาวงามคนนี้น่ะ” มู่เฉินยิ้ม

“เจ้าก็มีความกล้าไม่น้อยนี่ งั้นแบบนี้เจ้างูนั่นเป็นหน้าที่ข้าเอง” ไฉ่เซียวยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับน้ำเสียงหยอกเย้า แต่ในดวงตากลมโตมีชีวิตชีวาเผยแววชื่นชมสายหนึ่ง นางชื่นชมความมั่นใจในตัวเองของมู่เฉินที่มีในน้ำเสียงของเขา ซึ่งความมั่นใจในตัวเองนั้นไม่ได้ไร้ซึ่งพื้นฐานและไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของนาง แต่เป็นเพราะตัวเขาเอง

จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามที่ไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน นอกจากนี้ยังคงความมั่นใจไว้ได้เช่นนี้ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีหรอก

“โอหัง”

พอได้ยินคำพูดนั่น หลิ่วเหยียนก็แค่นยิ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวไฉ่เซียวผู้ลึกลับอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับมู่เฉิน ตอนแรกเขายังปวดหัวในเรื่องจะจัดการกับไฉ่เซียวอย่างไรดี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าโง่มู่เฉินเสนอตัวถึงที่เองเลย

อีกมุมหนึ่งบนท้องฟ้า นัยน์ตาอสรพิษสีแดงของชื่อเสี่ยก็จ้องไฉ่เซียวเขม็ง ร่างจริงของเขาคืออสรพิษแดงโลหิต นับว่าได้ว่ามีสายเลือดของเทพอสูรส่วนหนึ่ง ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงดุดันมากกว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นไฉ่เซียวตัวเล็กจิ๋วกลับมีอาการหนาวสั่นแทรกซึมเข้าไปในกระเลือดเลือดของเขา

สีหน้าของชื่อเสี่ยเปลี่ยนไป สุดท้ายไอดุร้ายในแก่นกระดูกก็พวยพุ่งออกมา เขายิ้มชั่วร้ายให้ไฉ่เซียว ฟันขาววาววับดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาเปล่งหัวเราะ “นังหนูกระดูกอ่อน แต่คำพูดช่างโอหังเหลือเกิน เดี๋ยวถ้าข้าจับตัวเจ้าได้ข้าว่าร่างอ้อนแอ้นของเจ้าคงทนรับการทรมานไม่ไหวนะ”

ขณะที่ชื่อเสี่ยพล่าม สายตาก็จ้องมองร่างงดงามของไฉ่เซียวไม่วางตา ความกลัดมันวูบวาบในดวงตา ด้วยสายเลือดที่มากตัณหา เมื่อเห็นโฉมงามอย่างไฉ่เซียว หากไม่ใช่กลัวความลึกลับที่ไฉ่เซียวมี เขาคงพุ่งตัวเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้ว

ไฉ่เซียวทำเพียงยิ้มบางตอบรับคำพูดน่าทุเรศ ทำเอาหัวใจชื่อเสี่ยคันคะเยอขณะที่ไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตา

“สายเลือดงูด๊อกด๋อยก็มีประโยชน์บ้าง แม้จะด้อยกว่าสายเลือดมังกรแท้จริง แต่ก็ถือว่าดีต่อวิวัฒนาการของเสี่ยวไฉ่อยู่” ไฉ่เซียวยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นนางก็แตะฝ่าเท้าเบาๆ ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าชื่อเสี่ย นิ้วเรียวชี้ไปบนอากาศ

เมื่อนิ้ววาดลง มิติก็ผันผวนไปหมด

ภายใต้ท่าทางของไฉ่เซียว ผิวหนังของชื่อเสี่ยก็เกร็งเครียด อึดใจร่างเขาก็ถอยกรูดทิ้งภาพเงาเอาไว้

ชี่!

แต่ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วปานใด ก็ยังด้อยกว่าไฉ่เซียว มิติแปรปรวนขณะที่ภาพเงาแตกสลาย ท่ามกลางภาพเงาเหล่านั้น ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมา มือชื่อเสี่ยกุมไหล่ข้างหนึ่ง ปรากฏหลุมเลือดอยู่ตรงนั้น เลือดสดหลั่งไหล ปราการป้องกันทั้งหมดล้วนไม่ได้ผล

ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าเขาจะพยายามใช้คลื่นหลิงห้ามเลือดอย่างไรมันก็ไม่หยุด บนบาดแผลเขาเหมือนมีพลังงานลึกลับกัดกร่อนคลื่นหลิงอยู่

“เป็นไปได้ยังไง!” ความตกตะลึงอัดแน่นบนใบหน้าชื่อเสี่ย เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับบาดเจ็บหลังจากประมือเพียงกระบวนท่าเดียวกับโฉมงามผู้นี้

ขณะที่สายตาเขาฉายความตะลึงงันและหวาดผวา ไฉ่เซียวก็ย่างก้าวบนอากาศเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับนางตรงๆ แววหื่นกามในดวงตาของชื่อเสี่ยก็เปลี่ยนเป็นความหวาดผวาหมดแล้ว

เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองปะทะกับจอมยุทธ์น่าสะพรึงแบบไหนกัน

ขณะที่ชื่อเสี่ยตะลึงงันไป มู่เฉินก็ทะยานเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าหลิ่วเหยียน เสาปีศาจในมือชี้ช้าๆ ไปที่อีกฝ่าย รอยยิ้มสายหนึ่งเผยบนใบหน้าหล่อเหลา

“ประมุขน้อย ถึงตาเจ้าแล้ว”

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset