หนึ่งดัชนีกลืนสวรรค์
แสงสีทองพร่างพราวพุ่งลงมาจากขอบฟ้า
ช่างเป็นพลังที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งจนเกือบจะแตกสลายมิติลง ทำให้พื้นดินยุบตัวเป็นโพรง
ผู้พิทักษ์เกราะทองยืนอยู่ใจกลางพื้นดินที่ถล่มลง ตอนนี้มันหยุดเคลื่อนที่ สายตาเหลือบมองอย่างไร้อารมณ์ไปที่ร่างสีทองที่พุ่งลงมาเป็นครั้งแรก
ระดับพลังนั้นเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของมัน
เปรียะ!
ผู้พิทักษ์เกราะทองที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรพลางกำหมัดช้าๆ เมื่อเกล็ดมังกรเสียดสีกันก็เกิดเสียงแตกร้าวกระจายออกมาพร้อมกับพลังทรงศักยภาพทำให้เกิดระลอกคลื่นที่มองเห็นได้รอบหมัด
ม่านตาสีทองจับจ้องที่ร่างสีทองที่กำลังพุ่งมาหาโดยไร้แววอารมณ์ในดวงตา
ตู้ม!
ขณะที่ลำแสงสีทองพุ่งลงมา แววตาเฉยเมยของผู้พิทักษ์เกราะทองก็สะท้อนในดวงตามู่เฉิน สีหน้าไร้อารมณ์นั่นพอที่จะทำลายความตั้งใจของคนอื่นๆ ลง
แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ใช่คนประเภทนั้น เขาจ้องร่างผู้พิทักษ์เกราะทองเขม็ง ม่านตาสีดำไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ กลับมีประกายคมกริบราวใบมีดพลุ่งพล่านอยู่
“โฮก!”
จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับเสียงมังกรและคชสารคำรามก้อง สองมังกรสองคชสารทะยานออกมาก่อตัวเป็นจานแสงอย่างรวดเร็ว
“เฉือนมันซะ!” มู่เฉินคำรามลั่นราวกับฟ้าผ่าขณะที่เขารวบรวมพลังทั้งหมดบนฝ่ามือ ทำให้จานแสงหมุนคว้างในมือเร็วจี๋ แม้แต่มิติยังเกิดรอยแตกสีดำ
วาบ!
ขณะที่จานแสงมังกรคชสารหมุนควง ก็ดูราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์เฉือนลงมาบนศีรษะของผู้พิทักษ์เกราะทองโดยไม่ลังเล ความรู้สึกคมกริบกระจายออกจากรังสีแสง ทำให้เกิดรอยตัดเรียบหลายรอยบนพื้นดิน…
โฮกกก!
ดวงตาของผู้พิทักษ์เกราะทองสะท้อนจานแสงมังกรคชสารขณะที่เปล่งเสียงคำรามราวกับสัตว์อสูรในลำคอ จากนั้นก็กำหมัดพร้อมกับเกล็ดมังกรบนแขนเบ่งบานด้วยแสง ผู้พิทักษ์เกราะทองเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับพลังงานราวกับภูเขาไฟปะทุ ปะทะกับจานแสงมังกรคชสารอย่างหนักหน่วง
ตึง!
ทันทีที่เกิดการปะทะ แสงสว่างไสวก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มากจนแม้แต่แสงเวลากลางวันยังหรุบหรู่ลงในตอนนี้ แสงสีทองระยิบระยับปกคลุมไปทั่วรัศมีหลายหมื่นจั้งเลยทีเดียว
ปัง! ปัง!
พื้นดินใต้ร่างผู้พิทักษ์เกราะทองถล่มลงอย่างต่อเนื่อง ในม่านตามู่เฉินวาบไหวด้วยแสงเย็นเยือก แสงในดวงตาของพวกเขาดูดุดันยิ่งนัก
ตู้ม!
ดวงตะวันสีทองโชติช่วงลุกโชนตรงจุดปะทะก่อนระเบิดออก พริบตาเดียวคลื่นระเบิดน่ากลัวก็กวาดออก ร่างของมู่เฉินกับผู้พิทักษ์เกราะทองสั่นเทิ้ม ก่อนจะกระเด็นออกไปจากคลื่นระเบิด
ปัง!
ทั้งสองกระเด็นออกมาในสภาพน่าสมเพช ทะลุภูเขาไปหลายลูก ทำให้ภูเขาพังทลายลง เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
แสงสีทองรุนแรงค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับกลุ่มควันลอยขึ้นในบริเวณนี้
เมื่อควันลอยขึ้น ร่างร่างหนึ่งก็คลานออกมาจากกองหินในสภาพน่าอนาถภายใต้ภูเขาพังทลายที่ไกลออกไป ในตอนนี้มู่เฉินถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย เลือดไหลออกมาตามซอกนิ้วมือขวา ย้อมหินแตกกลายเป็นสีแดง
เห็นชัดว่าการปะทะกระบวนท่าเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา
มู่เฉินค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมปาก แววตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา หลังจากแลกกระบวนท่ากับผู้พิทักษ์เกราะทองแล้ว เขาก็รู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
หากไม่ใช่เพราะเขามีกายามังกรพราง แขนของเขาคงจะแหลกละเอียดไปจากการปะทะแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการจริงๆ” มู่เฉินยิ้มขื่น ทว่าเมื่อสิ้นเสียงก็เห็นหินยักษ์บนภูเขาวินาศสันตะโรไกลออกไปได้ระเบิดเป็นผุยผง
ฝุ่นผงร่วงกราว ร่างชุดเกราะทองก็เผยตัว มันกำหอกสงครามในมือแน่น แสงสีทองรอบตัวยังคงสว่างขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาไร้อารมณ์
จากฝ่ามือที่มันยกมือขึ้น เห็นได้ว่าเกล็ดมังกรบางส่วนแตกหัก แสดงให้เห็นว่าการโจมตีของมู่เฉินไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
มู่เฉินมองร่างนั้นกลับรู้สึกหนาวเยือกถึงไขสันหลัง กระบวนท่าโจมตีก่อนหน้านี้แข็งแกร่งที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้เกล็ดมังกรบนฝ่ามือผู้พิทักษ์เกราะทองแตกหักเท่านั้น ไม่ได้ผลอย่างที่มู่เฉินต้องการเลย
“บ้าเอ๊ย!”
มู่เฉินขบฟันแน่นสบถด่า เทียบกับหลิ่วเหยียน ผู้พิทักษ์เกราะทองเคี้ยวยากกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว
ตู้ม!
ผู้พิทักษ์เกราะทองจ้องมองมู่เฉินด้วยม่านตาสีทอง วินาทีถัดไปก็พุ่งตัวออกมา ระหว่างทางก้อนหินต่างระเบิดเป็นผุยผง หอกสงครามในมือก็ชี้มาที่มู่เฉิน
ตอนนี้มันก็เบนการโจมตีมาที่มู่เฉินแล้ว ก่อนหน้านี้มันไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอจะมีคุณสมบัติเพียงพอ แต่ในการปะทะเมื่อครู่ ดูท่ามันจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมู่เฉินแล้ว
มันถือว่ามู่เฉินเป็นศัตรูที่อันตรายพอ
แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่ต้องการให้มันเพิ่มระดับความอันตรายของเขาจนถึงระดับนี้ ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าถอยหนีราวกับสายฟ้าแลบ
ในเวลานี้ ถ้ายังปะทะกับผู้พิทักษ์เกราะทอง ชัดว่าจะเป็นเรื่องบุ่มบ่ามมาก
ตู้ม!
แต่ผู้พิทักษ์เกราะทองเหมือนไม่คิดจะปล่อยเขาไป มันพุ่งตัวเข้ามา ทุกอย่างที่ขวางหน้ามันจะสลายกลายเป็นฝุ่นจนหมดสิ้น
แสงสีทองพวยพุ่งบนร่างมันพร้อมกับความเร็วเพิ่มขึ้นฉับพลัน ทิ้งภาพเงาไว้ที่เบื้องหลัง
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรงเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าก่อนที่เขาจะเพิ่มความเร็ว มิติก็ฉีกออกตรงหน้า เงาสีทองเลือนรางปรากฏขึ้น หอกในมือเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองเสือกแทงมาที่ลำคอของเขาอย่างไร้ปรานีและไม่ลังเล
หอกช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือวิถีทาง ก็อยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงทำให้มู่เฉินได้เพียงมองหอกคมกริบขยายขนาดในดวงตา ส่วนเขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยง
แววหวาดผวาอัดแน่นในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่นยื่นมือไปคว้าปลายหอก นี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ แม้จะต้องจ่ายด้วยราคาแพงระยับเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าให้ลำคอทะลุเป็นรูโบ๋
ทว่าขณะที่มือของมู่เฉินและปลายหอกกำลังจะสัมผัสกัน ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวเลือนรางตรงหน้าเขา ปลายกระบี่เจ็ดสีพุ่งออกมาจากช่องว่างปะทะกับปลายหอกอย่างแม่นยำ
เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น แสงสายรุ้งพวยพุ่ง หอกสงครามสั่นสะเทือน ร่างผู้พิทักษ์เกราะทองสั่นไหวก่อนจะกระเด็นกลับไป
ผู้พิทักษ์ถอยหลังไปร้อยกว่าก้าวก่อนจะทรงตัวได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน ม่านตาสีทองจับจ้องที่มิติตรงหน้ามู่เฉิน ตรงจุดนั้นมิติบิดเบือนพร้อมกับร่างงดงามย่างกรายช้าๆ
มู่เฉินเงยหน้ามองเช่นกัน ไฉ่เซียวยังคงเป็นไฉ่เซียว แต่ผมสีดำของนางได้เปลี่ยนเป็นเจ็ดสีตระการตาแล้ว
ผมเจ็ดสีสยายไปกับสายลม ความลึกลับที่ไม่อาจเข้าใจภายใต้ความงามทำให้คนมองรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งหัวใจ
ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้าเล็กน้อย ม่านตาก็เปลี่ยนเป็นสีเจ็ดสี นางมองมู่เฉินด้วยใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์พร้อมกับรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ทำได้ดี” นางยิ้ม ในน้ำเสียงมีแววชื่นชม เห็นชัดว่าเป็นเรื่องไม่คาดคิดสำหรับนางที่มู่เฉินจะทำได้ขนาดนี้
มู่เฉินยิ้มขมขื่น นั่งลงบนก้อนหิน ร่างที่ตึงเกร็งก็ผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดพล่านในร่างกายอยู่เรื่อย เขาเปิดปากพูดว่า “ต่อไปต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
การปะทะกับผู้พิทักษ์เกราะทองทำให้ลมปราณและกระแสเลือดแล่นพล่านไปหมด หากไม่ใช่เพราะไฉ่เซียวปรากฏตัวทันเวลาพอดี ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้วแน่นอน
เทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้านับว่าทรงพลังมาก
“ปล่อยที่เหลือเป็นหน้าที่ข้าเอง”
ไฉ่เซียวพยักหน้าค่อยๆ หันกลับไปมองผู้พิทักษ์เกราะทองที่อยู่ไกลออกไป แสงจางรวมตัวกันในม่านตาเจ็ดสี จากนั้นจุดแสงเจ็ดสีก็กำจายออกจากร่าง
โฮก!
ผู้พิทักษ์เกราะทองคำรามราวกับสัตว์อสูร สายตาจับจ้องไฉ่เซียว ด้วยสัญชาตญาณบอกว่าตอนนี้ไฉ่เซียวอันตรายมากกว่าเมื่อสักครู่หลายเท่านัก
ม่านตาสีทองของผู้พิทักษ์เกราะทองเปล่งแสงวูบไหว วินาทีต่อมาก็พุ่งตัวออกไป หอกสงครามในมือเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองราวกับเจาะทะลวงผ่านสวรรค์พร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ปกคลุมทั่วบริเวณนี้
ดูราวกับมีร่างเงาของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงทะยานอยู่ภายในแสงสีทองขณะที่ปกคลุมตัวหอกไว้ พลังอำนาจทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังโยกคลอน
ตอนนี้ผู้พิทักษ์เกราะทองใส่พลังโจมตีเต็มพิกัดแล้ว
เมื่อมองจากไกล มู่เฉินก็อดกำหมัดไม่ได้ ไฉ่เซียวตอนนี้จะสามารถสกัดพลังโจมตีนี้ได้จริงหรือ?
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉิน เรือนผมเจ็ดสีพลิ้วไปในสายลม จากนั้นนางก็วาดนิ้วเรียวขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเป็นประกายแสงสีขาวราวกับงาช้าง งดงามจนผู้อื่นไม่อาจละสายตาไปได้
ทว่านิ้วงดงามนี้กลับเปล่งความผันผวนที่เป็นอันตรายร้ายแรง
ไฉ่เซียวสาวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับวาดนิ้วออกไป ปะทะกับพลังโจมตีน่าตื่นตะลึงของผู้พิทักษ์เกราะทองอย่างเบามือ
ทันทีที่ปะทะกัน เสียงแผ่วเบาก็เปล่งจากริมฝีปากสีกุหลาบ ทำให้เกิดเสียงสายฟ้าคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หนึ่งดัชนีกลืนสวรรค์!”