ในเทือกเขาหนาทึบ
มองเห็นภาพผู้คนมากมายกำลังวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิงพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว บางครั้งพวกเขาจะมองไปข้างหลังด้วยความกังวลว่าปีศาจอาจไล่ตามมา…
นี่ก็คือกลุ่มชาวบ้านที่มู่เฉินได้ช่วยปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หลังจากออกจากเมืองได้ ทุกคนก็เร่งรีบเดินทางเพราะกลัวว่าจะถูกเผ่าเสี่ยเสียจับไปอีกครั้ง
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางตลอดโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าจะมีบางคนตามไม่ทัน แต่กลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลง…
บนท้องฟ้าที่ทุกคนกำลังหลบหนี มู่เฉินยืนอยู่พร้อมกับถอนพลังงานกลับ เขาซ่อนตัวขณะที่จ้องมองชาวบ้านกลุ่มนี้
จากการสังเกตเขาบอกได้เลยว่าคนเหล่านี้มีเป้าหมาย พวกเขาดูเหมือนจะรู้สถานที่ที่ต้องไป
“พวกเขาจะไปที่ที่มี ‘จักรพรรดินี’ หรือ?”
มู่เฉินพึมพำขณะที่รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าพลังของผู้คนในพิภพเขตล่างส่วนนี้สามารถป้องกันตัวเองได้?
ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเป็นไปได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ภายใต้การปกครองของเผ่าเสี่ยเสียทำไมกลุ่มชาวบ้านยังสามารถรวมกลุ่มกันได้?
ด้วยข้อเท็จจริงนี้เขาจึงไม่แสดงตัว เลือกที่จะแอบตามไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากเขาต้องการเห็น ‘จักรพรรดินี’ ภายใต้การนำของพวกเขา
แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะได้รับข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดินี’ มู่เฉินไม่คิดที่จะพูดคุยกับพวกเขา ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังในเมื่อมาอยู่ในดินแดนของเผ่าเสี่ยเสียโดยลำพัง
เมื่อความคิดวาบผ่านมู่เฉินก็ก้มศีรษะลงมองผู้คนที่กำลังเดินทาง…
การเดินทางดำเนินไปสองวัน ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าพวกชาวบ้านชะลอตัวลง และเขาก็หดดวงตาเมื่อมองออกไประยะไกล
เนื่องจากเขามองเห็นเมืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังเทือกเขาไม่มีที่สิ้นสุด ความมีชีวิตชีวาล้อมอยู่ในกำแพงสูงด้านใน
เมื่อมองคร่าวๆ มู่เฉินก็มองไม่เห็นด้านปลายของเมือง ตามการคาดการณ์ของเขาต้องมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อยนับร้อยล้านคนที่นั่น
สิ่งนี้ทำให้เขาสะดุ้งโหยง เผ่าเสี่ยเสียปล่อยให้มีเมืองขนาดมหึมาเช่นนี้จริงหรือ?
ขณะที่มู่เฉินกำลังตะลึงงัน ชาวบ้านที่เดินทางมาถึงก็ร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเขาพุ่งไปที่เมือง
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ก็มีเงาร่างหลายร้อยตัวทะยานออกมากีดขวางเส้นทางไว้
“พวกเจ้ามาจากไหน?!” เงาเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นทหารรักษาการณ์ พวกเขามองชาวบ้านมากมายที่เข้าใกล้ก็ตะโกนถาม
“เรามาจากเมืองเถี่ยเสี่ย” หญิงสาวที่มู่เฉินช่วยไว้ก่อนหน้าเดินออกมา ตอบกลับเสียงดัง
“เมืองเถี่ยเสี่ย?” ทหารมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจก่อนที่จะถามว่า “นั่นคือเมืองที่มีแม่ทัพปีศาจโลหิตคุมอยู่ พวกเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”
หญิงสาวตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านเทพลงมาจากสวรรค์ฆ่าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียในเมืองเถี่ยเสี่ยจนหมด แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตก็ถูกสังหารด้วยฝ่ามือเดียว!”
ทหารทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตอกกลับอย่างขุ่นเคือง “พูดบ้าอะไร!”
พวกเขารู้ชัดถึงพลังของเผ่าเสี่ยเสียที่น่ากลัว พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้ สำหรับแม่ทัพปีศาจโลหิตก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร แต่หญิงสาวคนนี้กลับบอกว่ามันถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียว? น่าตลกยิ่งนัก!
ทว่าเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนกระโชกโฮกฮาก ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เข้ามาเป็นพยาน อารมณ์ตื่นเต้นที่พวกเขาแสดงออกทำให้เหล่าทหารตกใจ
“หัวหน้าหรือว่าที่พวกเขาพูดเป็นความจริง?” ทหารคนหนึ่งหันไปพูดกับหัวหน้า
หัวหน้าขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่จริง แต่ก็มีคนจำนวนมากพูดเป็นเสียงเดียว หรือว่าเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ?
“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง เราต้องรีบรายงานตรงต่อจักรพรรดินีทันที”
สายตาของหัวหน้าเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะโบกมือ “ปล่อยพวกเขาเข้าไป”
ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองหญิงสาว “เจ้าตามข้าไปรายงานข่าวต่อจักรพรรดินี!”
เขาหันกลับ ประตูเมืองที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออก คนด้านนอกส่งเสียงโห่ร้องดีใจทันที
ที่ใจกลางเมืองมีวังหลวงตั้งตระหง่าน
หลังจากที่หัวหน้าทหารรักษาการณ์รายงานเรื่องนี้ เสียงระฆังก็ดังไปทั่ววัง…
ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ที่มีตำแหน่งสูงทั้งหมดของเมืองนี้ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินซ่อนตัวขณะกวาดสายตามองรอบโถง เขาตกใจวูบหนึ่งเมื่อเห็นทุกคนเปล่งความผันผวนที่ไม่อ่อนแอออกมา แน่นอนว่าคำว่าไม่อ่อนแอคือเมื่อเทียบกับกลุ่มชาวบ้าน…
แต่ก็มีบางส่วนที่มีพลังแข็งแกร่ง ตามการประเมินอาจใกล้เคียงกับแม่ทัพปีศาจโลหิตแล้ว
ในมหาพันภพมาตรฐานขุมพลังของพวกเขาน่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลาย
แต่… เขาสังเกตเห็นว่าในร่างคนเหล่านี้มีรัศมีเย็นยะเยือกซ่อนอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นของเผ่าเสี่ยเสีย
“ในร่างมีพลังของเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินหรี่ตาลง แม้ว่าเมืองนี้จะดูเป็นอิสระ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การจับจ้องของเผ่าเสี่ยเสีย
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
ขณะที่มู่เฉินทำการสำรวจระดับพลังของจอมยุทธ์ที่นี่ เสียงดังก้องก็สะท้อนภายในวัง ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
มู่เฉินรับรู้ถึงภาพเงาในชุดสีขาวย่างกรายออกมา สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจก็คือคนที่ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดินี’ กลับกลายเป็นสาวงาม…
รูปลักษณ์ของหญิงสาวทรงเสน่ห์มาก นางมีผิวขาวจัด รูปร่างยั่วยวนเผยส่วนโค้งเว้าชัดเจน ความทรงอำนาจในดวงตาทำให้เกิดแรงกดดัน
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่อายุและรูปลักษณ์ของนาง แต่เป็นความผันผวนที่มาจากนาง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเลย
“นางไม่มีรัศมีเย็นเยือกของเผ่าเสี่ยเสีย นั่นหมายความว่าพลังของนางมาจากตัวเองรึ? แต่พลังของนางไม่ถือว่าเสถียร น่าจะมาจากแหล่งภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง…”
มู่เฉินอุทานในใจ เขาเกิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับสตรีนางนี้ เนื่องจากเขารู้ชัดว่าโอกาสและพรสวรรค์ใดที่ต้องมีเพื่อให้มีพลังเช่นนี้ในพิภพเขตล่าง…
ถ้าเขาเดาถูกแล้ว หญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกพิภพเขตล่างใบนี้
ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะที่ใด จะมีคนที่โดดเด่นก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือเมื่อเผ่าพันธุ์กำลังเผชิญกับการถูกฆ่าล้าง…
ขณะที่มู่เฉินอุทานชื่นชม หญิงสาวชุดขาวก็นั่งลงและมองไปที่หญิงสาวที่คุกเข่าจากนั้นพูดเบาๆ “ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเถี่ยเสี่ยอย่างละเอียดได้ไหม?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดขาวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนปศุสัตว์ จอมยุทธ์หญิงคนนี้ก็ยืนหยัดรักษาที่หลบภัยสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
ภายใต้ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีกี่คนที่ปฏิบัติกับหญิงสาวคนนี้ในฐานะพระโพธิสัตว์
“จักรพรรดินีสิ่งที่พวกข้าพูดคือความจริง มีท่านเทพยาตราลงมาจากสวรรค์ด้วยพลังสุดยอด เขาสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตของเมืองเถี่ยเสี่ยได้ด้วยฝ่ามือเดียว” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเสียงกระจายออกไปก็ทำให้เกิดความโกลาหลโดยรอบ
แม้แต่หญิงสาวชุดขาวยังเผยความสั่นไหวบนใบหน้า เนื่องจากตัวนางรู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แม่ทัพปีศาจโลหิตครอบครอง แม้ว่านางจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้ในกระบวนท่าเดียว
“หึ ท่านเทพยิ่งใหญ่อะไรกัน หลอกตัวเองกันชัดๆ!”
ทว่าขณะที่บรรยากาศในห้องโถงกำลังตกตะลึง เสียงเยาะเย้ยก็เปล่งออกมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัว
“ข้าว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นท่านเทพอะไร แต่เราจะเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสียอย่างไร?!” ชายชราคนนั้นมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดินี “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียพร้อมกับแม่ทัพปีศาจตายเป็นเบือ งานนี้เผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงอย่างแน่นอน พวกมันจะต้องสอบสวนเรื่องนี้แน่!
“ดังนั้นข้าขอแนะให้ส่งคนเหล่านี้กลับไปและสังเวยประชาชนเพิ่มอีกห้าล้านคนเพื่อให้พวกมันสงบ มิฉะนั้นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของเราจะถูกทำลายล้างภายใต้ความโกรธเกรี้ยว!”
“ท่านเสนาบดีใหญ่พูดถูก เราต้องรีบจัดการกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสีย คนเหล่านี้ต้องถูกส่งมอบกลับไปทั้งหมด” เมื่อชายชราพูด เสียงสามเสียงก็ดังขึ้นสนับสนุน พวกเขาเป็นชายวัยกลางที่มีแสงสีแดงเข้มบางจางพล่านในดวงตา
เสียงเหล่านี้ทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงหลายคนใบหน้าเขียวคล้ำขณะที่กำหมัดแน่น ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเสนาบดีกลุ่มนี้มีพลังน้อยกว่าจักรพรรดินีคนเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับเผ่าเสี่ยเสียและพลังของพวกเขาก็มาจากปีศาจเหล่านั้น
“จักรพรรดินีได้โปรด!”
เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าพวกเขาต้องการส่งพวกนางไปให้เผ่าเสี่ยเสีย ใบหน้าของนางก็ซีดลง นางโขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง
หญิงสาวชุดสีขาวก็กำหมัดแน่น เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือ
ในที่สุดชายสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้ เขาร้องตะโกนว่า “ท่านเสนาบดีใหญ่ คนเหล่านี้มองพวกเราเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา แต่ละคนต้องเดินเท้ามาไกลเพื่อดั้นด้นมาที่นี่ ตอนนี้ท่านกลับต้องการส่งพวกเขากลับไปให้ปีศาจเหล่านั้น หัวใจของท่านทำด้วยเหล็กหรือยังไง?”
เสนาบดีใหญ่กวาดสายตามองพลางพูดจาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะเห็นใจเช่นนี้ ถ้าความโกรธแค้นของเผ่าเสี่ยเสียโถมเข้ามา ท่านจะเป็นคนออกไปสู้กับพวกมันเรอะ?”
แม่ทัพใหญ่กัดฟัน “ตายก็ดีกว่าขี้ขลาดตาขาว! ทุกคนคิดว่าเราพึ่งพาตัวเองในการยืนหยัดอยู่ แต่เรารู้ดีกว่าใครว่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราต้องส่งพลเมืองห้าล้านคนต่อปีเพื่อให้พวกมันไปเลี้ยงไว้เป็นปศุสัตว์ เป็นอาหารให้เดรัจฉานเหล่านั้น!
“ด้วยวิธีนี้เราถึงอยู่รอดได้ แต่การอยู่รอดอย่างไร้ศักดิ์ศรีคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือ!
“เทียบกับการถูกกินเป็นอาหาร เราต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสียให้สุดกำลังไปซะยังดีกว่า แม้ว่าจะพังพินาศก็ตาม!”
ตอนเขาพูดจบ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อารมณ์โศกเศร้าโกรธแค้นกระจายไปทั่วโถงส่งผลต่อดวงตาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หลายคนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วย
ร่างจักรพรรดินีชุดขาวก็สั่นสะท้าน เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลลงมา
หลายคนมองว่านางเป็นพระผู้มาโปรด แต่นางรู้ดีว่าตนเองยังมีพลังไม่พอ ไม่ใช่เพราะพลังของนางที่ทำให้มวลมนุษยชาติสามารถอยู่รอดในเมืองนี้ได้ แต่เป็นเพราะเผ่าเสี่ยเสียไม่ต้องการให้พวกนางพินาศ เนื่องจากพวกมันยังต้องการอาหารสดๆ…
ทุกครั้งที่มอบพลเมืองกว่าห้าล้านคน น้ำตาของพวกเขาที่หลั่งไหลทำให้นางเกลียดตัวเองที่ไร้อำนาจ นางเคยคิดที่จะพินาศไปกับเผ่าเสี่ยเสียหลายต่อหลายครั้ง แต่นางรู้ดีว่าหากทำแบบนั้น พวกนางก็จะสูญเสียโอกาสสุดท้าย…
มู่เฉินมองไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้ยังคงอยู่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เผ่าเสี่ยเสียมอบให้เนื่องจากพวกมันต้องการอาหาร แม้ว่าดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นดินแดนอุดมรัฐ แต่จริงๆ แล้วก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเบื้องหน้าประตูแห่งความตาย
ช่างน่าสงสารจริงๆ
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าจักรพรรดินีชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองมายังทิศทางของเขา
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านกับสายตาของนาง ตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่และคนอื่นๆ ไม่สามารถเห็นเขาได้ แต่นางกลับสัมผัสถึงตัวเขาได้เรอะ?
ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ จักรพรรดินีชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนกัดฟันเบาๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้เขาพร้อมกับเสียงแหบพร่าดังก้อง
“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อท่านมาแล้วก็โปรดแสดงตัวด้วยเถิด…”