หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 966 สี่ที่
“ดินแดนเสินโซ่?!”
เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหูคิ้วก็ขมวดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมสีหน้าของจิ่วโยวถึงเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้
หลิ่วชิงที่เห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้ามู่เฉินก็อธิบาย “ในสมัยโบราณกาลมหาพันภพเคยมีมหาทวีปที่ยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเสินโซ่ ในเวลานั้นเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในทวีปแห่งนี้”
“แต่ตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ายึดครอง พวกมันก็รุกรานทวีปเสินโซ่ ในเวลานั้นสงครามที่น่าสะพรึงก็ระเบิดขึ้น ภายใต้การทำลายล้างทวีปเสินโซ่ถูกทำลายและแยกออกจากกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นมหาทวีปของมหาพันภพอยู่ดี”
พอได้ยินมู่เฉินก็อดหายใจอัดอากาศเย็นเข้าไปในปอดไม่ได้ หลังจากแยกออกจากกันก็ยังเป็นมหาทวีปในมหาพันภพได้ ยากที่จะจินตนาการเลยว่าทวีปเสินโซ่ยิ่งใหญ่เพียงใดในสมัยโบราณ
“ว่ากันว่าในยุคดึกดำบรรพ์ทวีปเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะเหาะไปหลายสิบปีด้วยความเร็วสูงสุดก็ยังบินไม่พ้นทวีป” หลิ่วชิงเหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไร บอกด้วยรอยยิ้ม
มุมปากของมู่เฉินกระตุก ชัดว่าตกตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“ในทวีปเสินโซ่ ดินแดนเสินโซ่เป็นพื้นที่พิเศษที่มีหลายเผ่าเทพอสูรทรงอำนาจอาศัยอยู่ มีแม้แต่เผ่ามหาเทพอสูรอยู่ด้วยเช่นกัน ในเวลานั้นพลังการต่อสู้ที่มีอยู่ในพื้นที่นี้มีประมาณสามส่วนของทวีปเสินโซ่ทั้งหมด…”
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ดินแดนเสินโซ่เป็นสถานที่สำคัญเช่นนี้ในทวีปเสินโซ่ ดังนั้นจะได้เห็นว่ามีสิ่งที่น่ากลัวมากมายอยู่ที่นั่นเพียงใด
“ในมหาสงครามกลียุค แม้แต่เผ่าปีศาจต่างมิติยังรู้สึกว่าพลังของดินแดนเสินโซ่ทรงพลังเพียงใด สุดท้ายต้องให้จอมปีศาจหลายสิบคนร่วมมือกันทำลายดินแดนเสินโซ่ก่อน นอกจากนั้นยังใช้มิติหลุมดำเพื่อกลืนกิน ทำให้หลังจากนั้นทวีปเสินโซ่ต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและเหล่าเทพอสูรก็ล้มหายตายจาก…”
“หลังจากสงครามครั้งนั้น จอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงดินแดนเสินโซ่ซึ่งถูกกลืนกินไปโดยมิติหลุมดำ ทำให้ดินแดนเสินโซ่ปรากฏขึ้นในทุกๆ ช่วงระยะหนึ่ง ส่วนกลุ่มสัตว์อสูรก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปในดินแดนนี้เพื่อแสวงหาโอกาส”
พูดถึงจุดนี้ สายตาหลิ่วชิงก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนพลางเลียริมฝีปากตนเอง “บรรพบุรุษหลายคนสิ้นชีพอยู่ในดินแดนเสินโซ่ ว่ากันว่าแม้แต่วิหคอมตะโบราณก็สิ้นชีพในสถานที่แห่งนั้น หากได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณมาก็จะสามารถทำให้สายเลือดขององค์หญิงน้อยจิ่วโยวบริสุทธิ์ขึ้น ถึงเวลานั้นโอกาสของนางในการพัฒนาสู่ร่างวิหคอมตะโบราณก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเผ่าวิหคโลกันตร์จึงมองดินแดนเสินโซ่เป็นสุดยอดปรารถนา หากเป็นในกรณีนี้ดินแดนเสินโซ่ก็เป็นขุมทรัพย์ของเหล่าสัตว์อสูรแท้จริง
“ความถี่ของการเผยดินแดนเสินโซ่ยากจะตรวจสอบ จะมีคลื่นสัญญาณบางอย่างก่อนสถานที่แห่งนั้นจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ทุกครั้งที่ดินแดนเสินโซ่ปรากฏจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนใหญ่หลวงต่อเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ”
มู่เฉินพยักหน้า มีจอมยุทธ์มากมายเสียชีวิตในดินแดนเสินโซ่ ตราบใดที่พวกเขาสามารถได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสัตว์อสูรและเทพอสูร
จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็หลุดออกจากภวังค์จ้องเทียนเช่อนิ่งก่อนที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วมู่เฉินมาเกี่ยวข้องกับการปรากฏของดินแดนเสินโซ่ยังไง?”
“แม้จะมีข่าวลือว่าวิหคอมตะโบราณสิ้นชีพในดินแดนเสินโซ่ แต่นั้นก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ แล้ววิหคอมตะโบราณก็ถือเป็นสายเลือดของเผ่าหงส์ฟ้า ในเมื่อมู่เฉินครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ถ้าเขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ก็อาจช่วยเจ้าค้นพบวิหคอมตะโบราณได้…”
“นอกจากนี้ทุกครั้งที่ดินแดนเสินโซ่ปรากฏขึ้นจะดึงดูดอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ เผ่าจำนวนมากมีความสนใจเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะ อย่างเช่นเผ่ากระเรียนวิญญาณ เผ่ากระเรียนฟ้า เผ่ามังกรปักษา และเผ่าอีกาสายฟ้า… พวกเขามีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหากพบกันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้”
“ยิ่งกว่านั้นถ้าเลือดศักดิ์สิทธิ์วิหคอมตะปรากฏขึ้น กระทั่งเผ่าหงส์ฟ้าก็จะลงมือแย่งชิง”
พูดถึงตรงนี้เทียนเช่อก็มองมู่เฉิน “ถ้าเจ้าสามารถช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะมา ก็จะไม่มีใครในเผ่าคัดค้านเกี่ยวกับพันธะนี้อีกต่อไป”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แม้ว่าเทียนเช่อจะพูดเหมือนสบาย แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด คนที่เข้าไปในดินแดนเสินโซ่เป็นอัจฉริยะของเผ่าสัตว์อสูรที่มีพลังแข็งแกร่ง บวกกับมีการขัดขวางจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้กระทั่งนางยังไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวซึ่งใบหน้าไม่น่าดูก็ยิ้ม “ถ้าข้าสามารถช่วยจิ่วโยวได้ ข้าก็จะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
จากสีหน้าของจิ่วโยว เขาบอกได้ว่าเงื่อนไขที่เทียนเช่อเสนอลำบากเพียงใด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องเลือก นอกจากนี้เขาต้องช่วยจิ่วโยว หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เขาเดินทางจากมณฑลเป่ยหลิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเป่ยชางจนกระทั่งดั้นด้นมาถึงภูมิภาคทางเหนือ เขาได้รับความช่วยเหลือมากมายจากจิ่วโยว ดังนั้นตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาจะต้องตอบแทนพี่สาวแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสามารถให้ความช่วยเหลือได้จริงๆ หรือไม่ แต่เขาก็ต้องแสดงจุดยืน มิฉะนั้นจะทำให้หัวใจคนรอบข้างเย็นลงได้
เทียนเช่อผิดคาดกับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของมู่เฉินเช่นกัน สายตาที่มองชายหนุ่มก็อ่อนโยนกว่าเดิม แต่จากนั้นเขาก็ยิ้ม “อย่าเพิ่งรีบตอบตกลง นี่เป็นเพียงข้อเสนอแนะ เรายังต้องหารือเรื่องนี้กับเผ่าก่อนที่จะตัดสินใจได้…”
“เผ่าวิหคโลกันตร์สามารถส่งจอมยุทธ์สี่คนเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ เราได้ยืนยันสามที่ไปแล้ว จิ่วโยวก็เป็นหนึ่งในสามคน ส่วนที่สุดท้ายยังอยู่ระหว่างการอภิปรายกัน”
พูดถึงตรงนี้เทียนเช่อก็มองไปที่มู่เฉิน “ข้าจะรายงานเรื่องของเจ้าต่อสภาเผ่า แต่ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองว่าจะได้ที่สุดท้ายนี้หรือไม่”
“ข้า?” มู่เฉินอึ้งไป
“ตอนนี้ในเผ่ามีสองคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งที่สี่ พวกเขาต่างเป็นอัจฉริยะเผ่าวิหคโลกันตร์ แม้ว่าพวกเขาจะฝึกวิทยายุทธมานานกว่าเจ้า แต่ตามอายุขัยของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ถือเป็นพวกคนรุ่นใหม่ ดังนั้นหากสิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่คาด ที่สุดท้ายก็จะเป็นของหนึ่งในนั้น ถ้าเจ้าต้องการได้ตำแหน่งนี้ เจ้าจะต้องแสดงพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา” เทียนเช่อกล่าว
“ไม่ทราบว่าพวกเขามีพลังระดับไหน?” มู่เฉินถามอย่างจริงจัง
“หลิ่วชิงด้อยกว่าสองคนนั้น” เทียนเช่อกล่าวอย่างนิ่งเรียบ
ม่านตาของมู่เฉินหดแคบลงพร้อมกับความตกใจแล่นพล่านในใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ารากฐานของเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วชิงก็ไม่ติดสามตำแหน่งแรกได้
ด้วยพลังของมู่เฉินในปัจจุบัน โดยไม่ได้อาศัยพลังรัศมีจั้นยี่ อย่างมากเขาก็สู้กับหลิ่วชิงได้ในแบบเสมอตัว ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าเขาจะทำได้ดีที่สุด โอกาสในการเอาชนะอัจฉริยะทั้งสองก็ยังไม่สูง
ยิ่งกว่านั้นต่อให้เขาโชคดีได้ตำแหน่งสุดท้ายมา เขาก็ต้องเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นอีกหลังจากเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่และคู่ต่อสู้ทุกคนจะทรงพลังมาก
เมื่อเทียนเช่อเห็นสีหน้าของมู่เฉินที่เคร่งเครียดลง เขาก็ยิ้มบาง “ด้วยพลังของเจ้าในปัจจุบัน โอกาสที่จะได้ตำแหน่งที่สี่นั้นไม่สูงเลย”
มู่เฉินไม่ได้หักล้างคำพูดนั่น
“แต่ยังมีเวลาสองเดือนก่อนที่ดินแดนเสินโซ่จะปรากฏ ถ้าเจ้าอยากจะลอง ข้าสามารถช่วยประวิงเวลาไปอีกสองเดือนได้” เทียนเช่อยกเปลือกตาขึ้นขณะที่กวาดสายตามองมู่เฉิน “แต่ถ้าเจ้าไม่มั่นใจก็พักเรื่องนี้ไว้ ส่วนเรื่องพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยวก็จะถูกตัดสินได้โดยสภาผู้อาวุโสเท่านั้น”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดก็นิ่งเงียบไป
“เรื่องนี้เจ้าคิดเองดีๆ ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าเชื่อว่าท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถส่งเจ้าไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์ได้…”
เมื่อเทียนเช่อเห็นมู่เฉินเงียบไปก็ไม่ได้บังคับให้ชายหนุ่มตอบเพียงแค่โบกมือหันกลับ เสียงสูงวัยดังขึ้น “ข้าจะรอคำตอบของเจ้าอยู่ที่เผ่านะ”
“องค์หญิงน้อยจิ่วโยวไปเถิด” หลิ่วชิงมองไปที่จิ่วโยว
จิ่วโยวกำมือแน่น จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงชาดจะแยกออกเล็กน้อย แม้นางจะไม่พูดอะไรสักคำ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่านางต้องการพูดอะไร
“อย่ามานะ ออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปซะ!”
หลิ่วชิงและจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นลำแสงสองสายทะยานออกไป
มู่เฉินเห็นร่างเงาที่ถอยไปจากครรลองสายตา เขาก็กำมือแน่นโดยไม่อาจควบคุมได้ ตอนที่จิ่วโยวจากไป นางบอกให้เขาออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้เขาหลีกเลี่ยงเผ่าวิหคโลกันตร์ บางทีนี่อาจเป็นอีกวิธีหนึ่ง รอจนกว่าเขาจะถึงจุดที่แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ไม่สามารถดูถูกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาก็จะไม่กล้าพูดถึงพันธะโลหิตอีก
ทว่าถ้ามู่เฉินทำเช่นนั้นจริงๆ จิ่วโยวก็จะได้รับคำปรามาสในเผ่าแน่นอน แม้ว่านางจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจากไป
ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าอัจฉริยะเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังเพียงใดก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำให้มู่เฉินหวาดกลัว มิฉะนั้นประสบการณ์ความเป็นตายในอดีตจะไม่ไร้ประโยชน์ไปหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แววคมชัดก็พล่านมารวมกันในดวงตาของมู่เฉิน
มั่นถัวหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ มองมู่เฉินพลางเอ่ย “เจ้าคิดจะทำยังไง?”
จอมพลทั้งสามก็มองมาเช่นกัน
มู่เฉินคลายมือออก ความเฉียบคมวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ “อีกสองเดือนไปเผ่าวิหคโลกันตร์”
แม้ว่าเขาจะพูดด้วยเสียงเบา แต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว