หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 473 เลือดนอง

“ตึง!”

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น เสียงดังกังวานก็ดังมาจากบนเวที เป็นเสียงของทวนเหล็กที่เยี่ยเทียนปล่อยออกไปนั่นเอง ปลายทวนตกลงบนพื้น ปักอยู่ในแท่นหินบนเวทีอย่างจัง

ด้านข้างของปลายทวน ก็เป็นใบหน้าเหยเกจากความเจ็บปวดของคาโต้ ทาคุมิ ในเวลานี้คาโต้ ทาคุมิยังไม่ฟื้นจากความเจ็บปวดเมื่อซักครู่ ในดวงตานอกจากจะแสดงถึงความเจ็บปวดแล้ว ที่แสดงออกมามากกว่านั้นก็คือความตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูก

เลือดจากสรรพางค์กายที่ถูกตัดออกไหลพุ่งออกมาไม่หยุดยั้ง คาโต้ ทาคุมิก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังหมดความรู้สึกและไร้กำลัง แม้แต่จะเอาคอไปปาดกับปลายทวนที่แหลมคมนั้นก็ไม่สามารถจะทำได้ เสียงจากคอหอยของเขาเปล่งเสียงน่าเวทนาออกมา ผู้ชมบนเวทีที่ได้ยินรู้สึกหนาวเยือกจับใจ

“แขนขาขาดแล้ว เจ็บมากใช่มั้ย”

เสียงที่ลอยแทรกมาจากเสียงเจ็บปวดที่ร้องดังขึ้น ทำให้สายตาของผู้ชมเพิ่งจะรู้ว่าด้านบนเวทีนั้นมีอีกคน คนหนุ่มสวมชุดฝึกยุทธ์สีขาวกำลังยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าของคาโต้ ทาคุมิ เลือดสีแดงฉานไหลนองเต็มเท้าของเขา แต่ว่าเสื้อที่เป็นชุดฝึกยุทธ์นั้นกลับไม่มีรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว

“ที่แกไม่ตาย เพราะแกยังติดหนี้ไม่เยอะ”

เยี่ยเทียนกล่าวจบก็ก้มตัวลง ใช้ความเร็วราวฟ้าแลบ มือขวาวาดผ่านลำตัวของคาโต้ ทาคุมิ หลังจากลุกนั้นก็ยืนขึ้น กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “อาจารย์ของแกเคยติดหนี้คนจีนเป็นแขนข้างหนึ่ง วันนี้แกก็ติดหนี้อีกข้าง คิดทบกับดอกเบี้ย ฉันแค่เอาแขนขาสี่ข้างของแกมา แต่ยังไม่เอาชีวิตของแก!”

“ปีศาจ แกมันปีศาจ สวรรค์ช่วยด้วย ฉัน…เจอปีศาจ…”

ถึงแม้จะถูกเยี่ยเทียนจี้จุดปิดชีพจรเส้นเลือดแล้ว แต่คาโต้ ทาคุมิที่เสียเลือดมาก สติก็พลันเลือนรางขึ้นมา เขาคิดอยากจะยื่นมือไปจับหน้าของเยี่ยเทียน แต่กลับลืมไปว่าตัวเองได้เสียแขนทั้งสองข้างไปแล้ว!

“คนคนนี้…ตกลงว่าเป็นคนอยู่หรือเปล่า”

คาโต้ ทาคุมิหลังจากตะโกน “ปีศาจ” ออกมาแล้ว ทำให้ผู้ชมด้านล่างส่งเสียงร้องขึ้นมา ถึงแม้คาโต้ ทาคุมิที่อวดดียะโสจะทำให้คนรู้สึกไม่ชอบ แต่วิธีการของเยี่ยเทียนนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกสะเทือนใจ ทั้งหมดมองไปยังเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

โดยเฉพาะหลังจากที่เยี่ยเทียนตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิแล้วมีท่าทีนิ่งสงบ ยิ่งทำให้คนรู้สึกขนลุก นี่ต้องมีใจที่แข็งแกร่งขนาดไหน ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้แล้วยังพูดคุยหัวเราะได้อยู่กัน

ผู้คนด้านล่างเพียงแต่รู้สึกตกใจกับวิธีการลงมือที่โหดร้ายของเยี่ยเทียน แต่มีคนหนึ่ง ในเวลานี้เหงื่อไหลราวกับน้ำฝนอย่างไรอย่างนั้น นั่งอยู่ในห้องแอร์แต่เสื้อผ้าทั้งบนและล่างกลับเปียกปอน คนคนนั้นก็คือชิวเหวินตง

ในตอนที่เยี่ยเทียนลงมือ ความเร็วนั้นจัดว่าเร็วมาก คนที่ล้อมอยู่รอบเวทีแม้แต่พู่ของทวนก็ยังมองไม่ชัดเจน คาโต้ ทาคุมิก็ร้องตะโกนล้มลงบนพื้นแล้ว แต่ชิวเหวินตงที่อยู่ในห้อง ดูกล้องวงจรปิดมาโดยตลอด หลังจากดูภาพจากกล้องซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว ความรู้สึกที่มีนั้นแตกต่างจากผู้ชมโดยสิ้นเชิง

ในตอนที่เยี่ยเทียนปล่อยพู่ทวนออกมานั้น ชิวเหวินตงเห็นจากกล้องวงจรปิด ด้านบนปลายแหลมของทวน มีลำแสงสีขาวยาวประมาณสามนิ้วปล่อยออกมา ชิวเหวินตงเป็นคนในยุทธภพ ความคิดแรกเลยก็คือมีลมปราณที่แข็งแกร่งปล่อยออกมา

สำหรับลมปราณแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมานี้ ชิวเหวินตงไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาเคยได้ยินจากปากของพ่อว่าหลี่ซูเหวินในตอนนั้นที่ประลองทวนเทพกับซุนลู่ถังจอมดาบแปดทิศ ก็อยู่ในระดับที่สามารถทำให้เกิดพลังลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้นได้ แต่นั่นก็เป็นตอนที่พวกเขาอายุมากแล้ว

เยี่ยเทียนอายุเพิ่งเท่าไหร่ ปีนี้อย่างมากก็ยี่สิบสองยี่สิบสาม ชิวเหวินตงเดิมทีก็ประเมินฝีมือของเยี่ยเทียนเอาไว้สูงอยู่แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนที่อายุน้อย กลับสามารถก้าวไปยืนเทียบเคียงกับอาจารย์ในสมัยราชวงศ์หมิงได้แล้ว

เห็นวิธีการที่เหี้ยมโหดของเยี่ยเทียนแล้ว หลังจากคิดถึงตอนแรกที่เยี่ยเทียนทำลายสนาม ชิวเหวินตงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในตอนนั้นหากเพื่อนเก่าแก่อย่าง เฝิงหงหยู่ มีความแค้นเก่าก่อนกับเยี่ยเทียน เกรงว่าตัวเองในตอนนี้นั้นก็ไม่สามารถมานั่งสมประกอบอยู่ตรงนี้ได้

“เสี่ยวอู่ นายมาดูตรงนี้ให้ดี มีเรื่องอะไรให้โทรหาฉัน ฉันจะลงไปดูซะหน่อย!”

เช็ดเหงื่อบนหน้าด้วยผ้าที่เย็นเฉียบแล้ว ชิวเหวินตงก็ลุกขึ้นไปที่ประตูเรียกอู่เฉินเข้ามา เมื่อก่อนที่ห้องกล้องวงจรปิดนี้นอกจากเขาและหุ้นส่วนไม่กี่คนแล้ว คนอื่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แต่ชิวเหวินตงในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

หลังจากสั่งความกับลูกศิษย์ไม่กี่คำแล้ว ชิวเหวินตงก็ขึ้นลิฟต์รีบลงไปยังสนามประลองมวยทันที เขากลัวว่าจู้เวยเฟิงจะไม่ระวังไปหาเรื่องเยี่ยเทียน ต้องทราบก่อนว่าวันเวลาต่างกัน แต่คนอย่างเยี่ยเทียนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์นั้นก็ไม่ใช่คนที่เขาจะไปมีเรื่องด้วยได้

เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขานั้น ทำให้ชิวเหวินตงตกใจจนอยู่ในสภาพนั้น เยี่ยเทียนในตอนนี้ได้พลิกตัวออกมานอกเวทีแล้วเดินไปทางที่นั่งเดิมของตัวเอง

“นาย…นายอย่าเข้ามา!”

ที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจก็คือ เขายังเดินไปไม่ถึงด้านข้างที่นั่ง ซาซาที่ยืนอยู่ด้านข้างของจู้เวยเฟิงก็ร้องโวยวายขึ้นมา ไม่เพียงแต่ซาซาแม้แต่แขกที่นั่งอยู่แถวหลังของพวกเขา ก็พากันลุกถอยไปด้านหลัง

เยี่ยเทียนในตอนนี้ถึงแม้จะท่าทางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เสียงร้องโหยหวนและเลือดสดๆ ใต้เท้าเขา กลับทำให้ในสมองของผู้ชมหยุดไม่ได้ที่จะฉายซ้ำไปซ้ำมาถึงฉากนองเลือดนั้น แม้แต่หน้าที่ลอบถอนหายใจของเยี่ยเทียน ก็กลายเป็นสีหน้าถมึงทึงน่ากลัวขี้นมาเสียอย่างนั้น

“ซาซา อย่าพูดจาเหลวไหล!”

จู้เวยเฟิงกลับเป็นคนที่เจนจัดมาหลายเวที หลังจากขมวดคิ้วดุผู้หญิงไปหนึ่งประโยคแล้ว จึงมองไปทางเยี่ยเทียน “น้องเยี่ย เรื่องวันนี้ต้องขอบใจนาย นายวางใจได้ เรื่องของคาโต้ ทาคุมิจะไม่มีเรื่องราวไปถึงตัวนายแน่นอน”

“บ้าเอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ชายกลัวพวกมันจะมาล้างแค้นหรือ”

เยี่ยเทียนมองไปทางจู้เวยเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “ในเมื่อผมทำแล้ว ก็ไม่กลัวผลลัพท์ที่จะตามมา หากว่าทางญี่ปุ่นจะมีคนมาถามหา คุณก็บอกพวกเขาไปเลยว่า แขนขาของคาโต้ ทาคุมินั้นผมเป็นคนตัดขาดเอง!”

“ไม่หรอก จะทำแบบนั้นทำไม” จู้เวยเฟิงรีบยิ้มแทน คนอายุน้อยที่แข็งแกร่งแบบเยี่ยเทียน ยากที่จะเดาความคิดและจิตใจ ยังไงซะแสดงท่าทางดีใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

จนถึงเมื่อซักครู่จู้เวยเฟิงถึงได้เข้าใจเหตุผลที่ หูหงเต๋อ ให้ความเคารพนับถือเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่มีความสามารถและแข็งแกร่งอย่างเยี่ยเทียน ไม่ได้เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นอกจากคุณจะเอาไม้มาตีเขาให้ตาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เพราะนั่นจะทำให้ชาตินี้ทั้งชาติคุณจะนอนไม่หลับ

“เรื่องนี้เอาไว้พูดกันทีหลัง…”

เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ มองไปที่เวทีมวยด้านหลัง กล่าวว่า “ประธานจู้ ผมบอกคาโต้ ทาคุมิไปแล้ว จะไม่ให้เขาตาย ผมคิดว่า…เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณน่าจะทำได้ใช่มั้ย”

ทวนแหลมที่เยี่ยเทียนส่งออกไป แค่พริบตาก็ตัดแขนขาของคาโต้ทาคุมิออกมา หลังจากนั้นก็ปิดเส้นเลือดและชีพจรของเขาไว้ เพราะคาโต้ ทาคุมิเสียเลือดไปไม่น้อย แต่หากว่าช่วยเหลือได้ทันเวลา ชีวิตนั้นก็สามารถช่วยเอาไว้ได้

แต่ว่าต่อให้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่แขนขาสี่ข้างนั้นยากที่จะต่อให้ติด ชีวิตปั้นปลายของคาโต้ทาคุมิก็จะเหมือนกับ “มนุษย์หมู”(1)  ที่พระนางหลี่จื้อในสมัยฮั่นตะวันตก สั่งให้ทำ ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ สำหรับคนที่ฝึกวิชาแล้วขอตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่

“ทำได้ ขอเพียงเขายังมีลมหายใจ ฉันจะทุ่มสุดตัวที่จะช่วยชีวิตเขาให้ได้!”

เดิมทีจู้เวยเฟิงไม่ได้สนใจว่าคาโต้ ทาคุมิจะอยู่หรือจะตายเท่าไหร่นัก เพราะเขาได้เซ็นหนังสือยอมสละชีวิตไว้แล้ว แต่ว่าเมื่อเยี่ยเทียนออกปาก จู้เวยเฟิงจึงก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงสั่งให้คนขึ้นไปเอาคาโต้ ทาคุมิลงมาด้านล่างของสนามมวยที่มีแพทย์มีฝีมือและห้องผ่าตัดอยู่ พร้อมและสะดวกในการช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ

เมื่อเห็นลูกน้องพาคาโต้ ทาคุมิลงไปแล้ว จู้เวยเฟิงถึงได้ถอนหายใจ เห็นรอยเลือดที่ติดเท้าของเยี่ยเทียนมาเป็นทาง กล่าวว่า “น้องเยี่ย นายดู ใต้เท้ามีแต่เลือด ฉันพานายไปเปลี่ยนรองเท้าใหม่ก็แล้วกัน? ”

ชิวเหวินตงที่เพิ่งวิ่งออกมาจากลิฟต์ ได้ยินที่จู้เวยเฟิงกล่าวพอดี รีบกล่าวว่า “ใช่ ใช่ น้องเยี่ย นายใส่รองเท้าเบอร์อะไร ชอบยี่ห้อไหน เดี๋ยวฉันจะให้คนไปซื้อเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้ หาอะไรมาเช็ดหน่อยก็ได้แล้ว!” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วมองไปที่เท้ากล่าวต่อว่า “ได้เหยียบเลือดคนญี่ปุ่นนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีต่างหาก ฮ่าๆ!”

ปีนั้นศิษย์พี่โก่วซินถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะฟันแขนซ้ายขาดไป เยี่ยเทียนได้แต่เก็บกดเอาไว้มาตลอด ถึงแม้ครั้งที่แล้วจะลงมือกับลูกศิษย์ตระกูลคิตะมิยะไป แต่ก็ไม่สะใจเหมือนกับครั้งนี้ เรียกได้ว่าจิตใจตอนนี้ของเยี่ยเทียนนั้นดีใจเหลือคณา

“พูดได้ดี! น้องคนนี้ ฉันเคารพนายหนึ่งแก้ว!”

คำพูดของเยี่ยเทียนเพิ่งจบไป ชายวัยกลางคนที่แอบอยู่ด้านหลังก็ลุกขึ้นยืน ในมือถือแก้วทรงสูง ด้านในเต็มไปด้วยไวน์ที่ริมจนเต็ม ยื่นมาตรงหน้าของเยี่ยเทียน

ถึงแม้ภาพเมื่อซักครู่จะเต็มไปด้วยคาวเลือดดูน่าอนาถ แต่การกระทำทั้งหมดของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังหาทางระบายอารมณ์ให้กับคนจีน ถึงแม้การต่อสู้นี้จะไม่สามารถลบล้างการโดนดูถูกเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้ แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสะใจเหลือคณา

“ฉันไม่ดื่มไวน์แดง!” เยี่ยเทียนส่ายหัว มองไปทางจู้เวยเฟิงกล่าวว่า “ประธานจู้ มีเหล้าขาวไหม?”

“มี มีเหล้าขาว!” ไม่รอให้จู้เวยเฟิงตอบ ชิวเหวินตงก็รีบตอบรับคำในทันที หมุนตัวกลับไปวิ่งไปยังออฟฟิศ ไม่ถึงหนึ่งนาที ในมือก็ถือเหล้าเหมาไถวิ่งกลับมา

“เหล้าแก้วนี้ เป็นเกียรติให้กับวีรบุรุษจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยืนหยัดรุ่นต่อรุ่น!”

รับเหล้าเหมาไถมาจากชิวเหวินตง เยี่ยเทียนก็แกะออกมาจากกล่อง ยื่นมือไปปาดปากขวด ปากขวดก็ขาดลง แล้วรินเหล้าใส่แก้วทรงสูงที่สามารถใส่เหล้าได้ตั้งครึ่งขวดนั้นจนเต็ม แล้วเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นคำนับผู้ชมจากนั้นก็เงยหน้ากระดกเหล้าลงคอจนหมด

เอาเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งขวดที่ถืออยู่ในนั้นรินใส่แก้ว เยี่ยเทียนกล่าวว่า “แก้วนี้ ขอเคารพทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เคารพคนจีนที่ยังมีพลังฮึกเหิม!“

เหล้าสองแก้วลงท้อง เยี่ยเทียนก็ขว้างแก้ว หมุนกายกลับไปแล้วเดินไปที่ลิฟต์ ปากก็เอื้อนบทกวีของหลี่ไป๋ขึ้นมา“สหายชาติหูใส่หมวกพู่มาหา ตะขอเงินวาวราวกับหิมะ  อานม้าสีเงินบนอาชาขาว ควบทะยานราวดาวตก สิบก้าวสังหารหนึ่ง บุกตลุยฝ่าฟันเป็นพันลี้…”

“ดี ดี!!!”

พอเอื้อนบทกวีจบร่างในชุดสีขาวของเยี่ยเทียนก็หายเข้าไปในลิฟต์   ทันใดนั้นภายในสนามก็เกิดเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นราวกับฟ้าถล่ม!

……………..

(1)   “มนุษย์หมู” เป็นเรื่องราวสมัยฮั่นตะวันตก ที่พระนาง หลี่จื้อ หรือ หลี่ฮองเฮา ได้สั่งให้ตัดแขน ขา ควักลูกตาและกรอกยา พระสนมชี แล้วจับไปโยนไว้ในส้วม เสร็จแล้วเชิญฮั่นฮุ่ยฮ่องเต้ ซึ่งเป็นราชโอรสของนางเอง มาดู เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว จะได้เชื่อฟังและทำตามที่นางสั่ง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset