บทที่ 3 ฉกเด็กจ้ำม่ำคืน (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ฟ้ายังไม่สว่าง เถี่ยตั้นน้อยก็เลิกผ้าห่มขึ้นและกระโดดลงจากเตียง
“ท่านพี่ ท่านพี่ตื่นเร็ว! เช้าแล้ว เช้าแล้ว!”
“ท่านแม่อย่านอนต่อ! วันนี้ท่านต้องพาข้าไปเมืองหลวง!”
“ท่านพี่!”
“ท่านแม่!”
เถี่ยตั้นน้อยวิ่งเข้าออกสองห้องไปมา แผดเสียงดังลั่น จนอวี๋หวั่นหมดอารมณ์ที่จะโกรธ
หลังจากอวี๋หวั่นล้างหน้าและเปลี่ยนชุดก็ไปเก็บไข่จากเล้าไก่ เธอเก็บได้วันละสามฟอง หักส่วนของเถี่ยตั้นน้อยไปวันละฟอง ส่วนที่เหลือนำไปเก็บไว้ จำนวนนั้นมีไม่น้อย หากพวกเขาได้เข้ารอบของวันพรุ่งนี้ ไข่เหล่านี้ก็จะมีประโยชน์
เธอหาได้กล่าวเกินจริง ไข่ที่บ้านของเธออร่อยกว่าตามท้องตลาดจริงๆ
นางเจียงไม่ได้ตื่นเช้าเช่นนี้บ่อยนัก ตอนไปทานอาหารเช้าที่บ้านหลังเก่า เปลือกตาของนางยังคงปิดอยู่
อวี๋ซงจงใจใส่ขิงลงในชามของนางชิ้นหนึ่ง
ลุงใหญ่เคาะหัวบุตรชายด้วยตะเกียบ!
อวี๋หวั่นหยิบขิงออกมาสลับกับชิ้นเนื้อปลาให้มารดา
นางเจียงกินปลาด้วยความสะลึมสะลือ
กระทั่งมื้อเช้าผ่านไป นางเจียงก็ยังไม่ตื่น
เมื่อรถม้าของนายท่านฉินมาถึง ยังไม่ทันที่นายท่านฉินจะได้กล่าวทักทาย นางเจียงก็อุ้มเถี่ยตั้นน้อยขึ้นมานั่งในรถม้าและหลับไป
“ดะ…เด็กสาวผู้นั้นเป็นใครรึ?” นายท่านฉินมึนงงเล็กน้อย
“เด็กสาว?” อวี๋หวั่น “นั่นคือท่านแม่ของข้า”
“อา…” นายท่านฉินตกตะลึงที่เด็กสาวผู้นี้เป็นมารดาของบุตรสองคนแล้ว…แน่นอน นางเกล้ามวยผมแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ทว่าดูอย่างไรก็ยังเด็กและงดงามยิ่งนัก
อวี๋หวั่นเอ่ยขู่ “ท่านอย่าได้คิดเชียว ข้าอาจไม่ขายเต้าหู้ให้ท่านอีก อย่ายุ่งกับท่านแม่ของข้า”
“แค่ก!” นายท่านฉินสำลัก “ข้าจะคิดได้อย่างไร? ข้ามีครอบครัวแล้ว”
เพียงแต่มิเคยเห็นผู้งามเกินจริงเช่นนี้ หากพูดถึงหน้าตา แม่นางอวี๋ตรงหน้าก็มีรูปโฉมดั่งนางสวรรค์เช่นกัน ทว่าแม่นางอวี๋คือรุ่นเล็ก ในสายตาของเขาก็คือความงามของเด็ก ส่วนฮูหยินผู้นี้กลับมีเสน่ห์ที่อธิบายได้ยากมากกว่าหลายส่วน
แน่นอนว่าเขาก็อดชมไปคราหนึ่งไม่ได้เท่านั้น จะให้เขาทำอะไร เขามิได้ไร้ศีลธรรมขนาดนั้น
อวี๋หวั่น นางเจียง เถี่ยตั้นน้อยนั่งรถม้าหนึ่งคัน และบุรุษสามสี่คนนั่งรถม้าอีกหนึ่งคันไปยังเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ
เมื่อรู้ว่านางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยกำลังจะไปเยี่ยมชมเมืองหลวง นายท่านฉินจึงรีบจัดแจงสารถีและผู้ติดตามให้พาพวกเขาไปดูรอบเมืองหลวง อวี๋ซงย่อมไปด้วยเช่นกัน
อวี๋หวั่น ลุงใหญ่และอวี๋เฟิงเข้าไปในหอเทียนเซียงที่ถนนฉางอัน
หลังจากการแข่งขันสามรอบเมื่อวาน พ่อครัวหนึ่งร้อยคนหายไปมากกว่าครึ่ง เหลือไม่ถึงสามสิบคนที่ได้เข้าสู่ ‘การประลอง’ ในวันนี้
พ่อครัวรุ่นใหญ่เมื่อวานไม่อยู่แล้ว พ่อครัวชาววังสองสามคนมาชิมอาหารแทน
ทั้งองค์ชายรอง ทั้งพ่อครัวชาววัง ดูเหมือนหอเทียนเซียงทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อรักษาหน้าที่เยี่ยนจิ่วเฉาทำลายไป ไม่รู้ว่าพ่อครัวของพวกเขายังยิ้มได้อยู่หรือไม่
นายท่านฉินรีบเดินเข้าไปในห้องด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “การต่อสู้อันดุเดือด…”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?” อวี๋หวั่นถาม
นายท่านฉินรู้สึกปวดศีรษะ “หนึ่งในสาม สุดท้ายจะเหลือเพียงคนเดียวที่ได้เข้าแข่งขันในวันพรุ่งนี้”
“เหตุใดมีคนเดียว? ปีก่อนมิใช่สามคนหรอกหรือ?” อวี๋เฟิงเอ่ยทัก เมื่อวานเขาได้ทราบข้อมูลการแข่งขันจากผู้จัดการชุยมาไม่น้อย
นายท่านฉินทอดถอนใจ “เช่นนั้นจะเรียกว่าการต่อสู้อันดุเดือดหรือ?”
กฎถูกกำหนดโดยคน หากผู้จัดงานต้องการเช่นนี้ นายท่านฉินก็ทำอันใดไม่ได้ นายท่านฉินคิดว่า ด้วยความแข็งแกร่งของคนสกุลอวี๋ การเบียดเข้าไปในสามอันดับแรกคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทว่ายามนี้ไม่ใช่สามอันดับอีกต่อไป ทว่าเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิ์เผชิญหน้ากับพ่อครัวเทพเป้า
นายท่านฉินเอ่ยอีกครั้ง “แม่นางตู้กับพ่อครัวโหยวไม่ต้องเอ่ยถึง แม้แต่พ่อครัวหลิวที่ถูกย้ายไปเมื่อวานก็ยังไม่ควรประมาท”
นอกจากนี้ยังมีม้ามืดอีกหลายตัวที่เราไม่อาจสู้
นายท่านฉินตบไหล่อวี๋เฟิง “ทำให้ดีที่สุด และปล่อยให้โชคชะตานำทาง!”
นี่หาใช่คำอวยพร ทว่าเป็นความกลัวที่แท้จริงของนายท่านฉิน!
นายท่านฉินที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของคนสกุลอวี๋ กลับเริ่มไม่แน่ใจ เมื่อได้เห็นฝีมือของคนอื่นๆ เมื่อวานนี้ ดังคำกล่าวเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน คนสกุลอวี๋นั้นยอดเยี่ยม ทว่าก็มิใช่ไร้ผู้ใดเทียบเทียม
พวกเขาถูกพาไปยังสถานที่กลางแจ้ง เตาที่สร้างชั่วคราวหลายสิบเตาวางไว้ด้วยกัน วัตถุดิบต่างๆ ถูกจัดเรียงไว้สองข้างของทางเดิน อวี๋หวั่นรู้สึกได้ว่าประเภทวัตถุดิบมีน้อยกว่าเมื่อวาน ซึ่งหมายความว่าทางเลือกของพวกเขาถูกจำกัดให้น้อยลง หากจัดการไม่ได้ และขาดส่วนผสมที่จำเป็น รสชาติก็อาจจะด้อยลงอย่างมาก
คิ้วของอวี๋เฟิงมุ่นขมวด “เหตุใดการแข่งขันจึงแตกต่างกับครั้งที่ผ่านมาถึงเพียงนี้?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น “สร้างสรรค์สิ่งใหม่ อย่างไรทุกคนก็อยู่ด้วยกัน หาได้เจาะจงคนใดคนหนึ่ง สถานการณ์ไม่ได้เป็นผลดีกับผู้ใด หากจะเสียก็เสียเหมือนกัน”
จริงด้วย อวี๋เฟิงรู้สึกโล่งใจ
การแข่งขันสามรอบ แต่ละรอบจะถูกจับสลากเลือกฝ่ายตรงข้าม
สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่คาดคิดคือพวกเขาได้พบกับพ่อครัวหลิวที่นายท่านฉินเกรงกลัวในรอบแรก
“ใยจึงเป็นเขาตลอด?” อวี๋เฟิงมีสีหน้าจริงจัง
“พี่ใหญ่รู้จักเขาหรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัย
ลุงใหญ่กำลังลับมีด อวี๋เฟิงรีบกระซิบกับอวี๋หวั่น “เขากับพ่อของข้าเคยทำงานที่หอเทียนเซียงด้วยกัน พ่อของข้าบอกว่าเขาทำอาหารเก่งมาก”
แม้ลุงใหญ่เป็นคนใจดี ทว่าฝีมือการทำอาหารเก่งกาจ หากเขาบอกว่าเก่ง คงไม่ใช่เก่งธรรมดาเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาทำงานหนักเพื่อฝึกปรือฝีมือทุกวัน ตอนนี้คงเก่งกล้าขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นนายท่านฉินก็คงไม่เอ่ยถึงเขาเป็นพิเศษ
“ข้ามั่นใจในลุงใหญ่” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างจริงใจและจริงจัง
อวี๋เฟิงกำลังจะปฏิเสธบางอย่าง แต่อวี๋หวั่นก็ดึงแขนเสื้อของเขามา “ดูนั่น แม่นางตู้กับพ่อครัวโหยวกำลังแข่งขันกัน”
แม้แม่นางตู้จะมาในนามของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วนางมาจากหอเทียนเซียง การต่อสู้ระหว่างพ่อครัวแม่ครัวจากหอเทียนเซียง เป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เหยียนหรูอวี้ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน นางมาให้กำลังใจแม่นางตู้ และแน่นอนว่านางต้องการเห็นความพ่ายแพ้ของอวี๋หวั่นเช่นกัน อาหารในวันนี้ได้รับการตัดสินจากพ่อครัวชาววัง องค์ชายรองคงไม่โง่เขลาถึงขนาดเล่นพรรคเล่นพวกกับคนในวัง หรือไม่กลัวว่าข่าวจะไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ทำลายภาพลักษณ์ที่ตนเองพยายามสร้างมาตลอดหลายปีกระมัง?
เหยียนหรูอวี้เปิดหน้าต่าง มองลงไปเห็นอวี๋หวั่นกำลังง่วนอยู่หน้าเตา
คนหนึ่งสูงส่งอยู่ด้านบน คนหนึ่งต่ำต้อยราวกับเศษฝุ่น
อวี๋หวั่นทุ่มเทกับการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าวัตถุดิบกลับเป็นปลิงทะเลกับหอยนางรม
อวี๋หวั่นไม่ชอบปลิงทะเลมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอชอบหอยนางรม ทว่าหากไม่มีสิ่งใดมากำจัดความคาว และบวกกับปลิงทะเล ก็คือฝันร้ายดีๆ นี่เอง
คนสกุลอวี๋เงียบงัน แค่อาหารจานแรกก็ยุ่งยากขนาดนี้แล้ว…
…
“ฮูหยิน ถนนเส้นนี้เรียกว่าถนนฉางอัน เป็นถนนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง!” หลังจากออกจากหอเทียนเซียง ผู้ติดตามเสี่ยวลิ่วจื่อก็พานางเจียงผู้เป็นมารดากับบุตรชายไปดูรอบถนน
ระหว่างทางที่รถม้าเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เสี่ยวลิ่วจื่อก็แนะนำสิ่งต่างๆ บนถนนให้นางเจียงฟังเป็นครั้งคราว
อวี๋ซงนั่งข้างคนขับรถด้วยสีหน้าเย็นชา สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้อ
นางเจียงทอดสายตามองไปตามถนนสายยาวไม่มีที่สิ้นสุด
เถี่ยตั้นน้อยเอนตัวพิงหน้าต่างและโผล่หัวออกไป “ว้าว! ถนนใหญ่อะไรขนาดนี้!”
คล้ายกับเด็กบ้านนาเข้ากรุงที่ตื่นเต้นกับทุกอย่าง ทว่าเถี่ยตั้นน้อยสืบทอดรูปลักษณ์ของนางเจียงและอวี๋เซ่าชิงได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ใบหน้าสลักงดงาม ภาษาบ้านนอกบ้านนาที่ออกจากปากของเขา กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าช่างแสนน่ารัก
เสี่ยวลิ่วจื่อยิ้มพลางชี้ไปที่แท่นพื้นสูงที่ว่างเปล่า “เห็นเวทีตรงนั้นหรือไม่? วันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือนจะมีการแสดงร้องเพลงขนาดใหญ่”
“อ่า” เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกผิดหวังที่วันนี้ไม่ใช่วันที่หนึ่งหรือวันที่สิบห้า…
“ถังหูลู่ ถังหูลู่จ้า ถังหูลู่”
คนหาบเร่ที่เดินไปตามถนนตะโกนเสียงดัง
“ซู้ด~” เถี่ยตั้นน้อยดูดน้ำลาย
เสี่ยวลิ่วจื่อยิ้ม พลันหยุดรถม้าและเรียกพ่อค้าเร่ให้มาหา
………………………………………………………