บทที่ 70 เด็กๆ อยู่หนใด
Ink Stone_Romance
อิ่งลิ่วรีบพุ่งไปยังจวนสกุลเหยียนอย่างรวดเร็ว
เขาคว้าตัวบ่าวซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู “เหยียนหรูอวี้เล่า?”
บ่าวผงะถอย “เจ้าเป็นใครกัน? มาถามหาคุณหนูบ้านข้าทำไม?”
ในบรรดาผู้ใต้บัญชาของเยี่ยนจิ่วเฉา มีเพียงอิ่งสือซันที่เคยมายังจวนสกุลเหยียน บ่าวจึงไม่รู้จักอิ่งลิ่ว
อิ่งลิ่วยกกำปั้นขึ้น “หากเจ้ายังพล่ามไม่เลิก ข้าจะจัดการเจ้าซะ! บอกมาว่าเหยียนหรูอวี้อยู่ที่ไหน!”
บ่าวไม่เคยเห็นคนที่ดูโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว “คุณหนูออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ตอนนี้ยังไม่กลับมา”
สายป่านนี้แล้ว เหยียนหรูอวี้ยังไม่กลับมาอีกหรือ? นางไม่มีทางไปจวนคุณชายเป็นแน่ นางใช้ชื่อของคุณชายไปพาคุณชายน้อยออกมา หากคุณชายรู้ จะต้องโกรธจัดเป็นแน่ นางไม่น่าจะละเลยตรรกะข้อนี้ไปได้
สตรีผู้นี้ไปที่ใดกันแน่? นางทำอะไรคุณชายน้อยกัน!
………………
บนเรือซึ่งประดับประดาอย่างวิจิตรงดงามจอดเทียบริมฝั่งทะเลสาบ เหยียนหรูอวี้นั่งอยู่ในห้องหรูหราโอ่อ่า มองออกไปด้านนอกจะเห็นสายน้ำไหลเอื่อย แสงแดดอ่อนๆ สายลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิทำให้รู้สึกสบายเป็นที่สุด
เหยียนหรูอวี้หลับตาลงซึบซับบรรยากาศ
ฝั่งตรงข้ามกับนาง เด็กน้อยทั้งสามนั่งเรียงกันทำคอตก
“พวกเจ้าไม่กินข้าวอีกแล้ว” เหยียนหรูอวี้มองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “ไม่หิวหรือ?”
เด็กทั้งสามไม่ตอบ
เหยียนหรูอวี้ยื่นมือออกไป ลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “หรือว่าพวกเจ้าโกรธแม่?”
เด็กทั้งสามนั่งเงียบ
เหยียนหรูอวี้มองพวกเขา “ขอโทษด้วย แม่หยาบคายกับพวกเจ้าไปสักหน่อย ทำให้พวกเจ้ากลัว ต่อไปแม่จะไม่ทำอีกแล้ว จะปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นอย่างดี”
ทั้งสามคนยังคงไม่พูด
นางเป็นแม่บังเกิดเกล้าของพวกเขา กระนั้นแต่ไหนแต่ไรมาแม่บังเกิดเกล้าผู้นี้ก็ไม่ชอบพวกเขา
ครานี้เหยียนหรูอวี้ใจเย็นเป็นที่สุด เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “จริงๆ นะ เชื่อแม่อีกสักครั้ง แม่จะรักพวกเจ้ามากๆ ข้าเป็นแม่ของพวกเจ้า มีเพียงข้าที่จะดีต่อเจ้าอย่างจริงใจ ก็ได้ พูดปากเปล่าไร้สิ่งยืนยัน หลังจากวันนี้พวกเจ้าก็จะได้รู้ ข้าตัดสินใจว่าจะเป็นแม่ที่ดีของพวกเจ้า”
ทั้งสามคนมองนางราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
นางยิ้มอย่างอ่อนโยน “มา กินอะไรสักหน่อย นี่เป็นซาลาเปาที่แม่ทำเองกับมือ พวกเจ้าชอบกินนี่”
เด็กน้อยทั้งสามมองไปยังซาลาเปารูปหน้าหมู จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิด คิดจนปวดใจไปหมด
“คุณหนู” แม่หลินยืนมองเข้ามาจากหน้าประตู
เหยียนหรูอวี้เข้าใจทันที นางผลักจานใส่ซาลาเปาไปตรงหน้าของเด็กน้อยทั้งสาม แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “แม่ออกไปข้างนอกประเดี๋ยว พวกเจ้าค่อยๆ กิน แม่เสร็จงานแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”
เหยียนหรูอวี้เดินออกไปยังดาดฟ้าเรือกับแม่หลิน ในห้องเหลือเพียงสาวใช้คอยดูแลเด็กน้อย
แม่หลินเอ่ยถามด้วยความกังวล “คุณหนู เราไปรับพวกเขามาเช่นนี้ หากคุณชายเยี่ยนรู้เข้า พวกเราจะทำอย่างไร?”
เหยียนหรูอวี้ตอบอย่างมิได้ยี่หระ “ข้าเป็นแม่ของลูกเขา เขาจะว่าอะไรข้าได้? แล้วเขาจะกล้าทำอะไรข้าหรือ?”
“แต่ว่า…” แม่หลินลังเล “คุณหนูหมายความว่า คุณชายเยี่ยนอาจจะรู้ความจริงแล้วหรือ?”
เหยียนหรูอวี้ยกยิ้มค่อนแคะ “ข้าก็เพียงแต่สงสัย อีกอย่างต่อให้เขารู้ ก็ไม่อาจหาหลักฐานได้ง่ายถึงเพียงนั้น สตรีผู้นั้นจะใช้อะไรมายืนยันตัวตนได้เล่า? ป้ายหยกของคุณชายเยี่ยนก็ถูกนางกำจัดไปแล้ว คุณชายเยี่ยนจะไปจดจำนางได้อย่างไรกัน?”
“บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายสักเท่าไร” แม่หลินกล่าว
เหยียนหรูอวี้หัวเราะ “แน่นอนว่าย่อมไม่ง่าย แต่ก็ไม่ซับซ้อนอย่างที่ท่านคิด ส่งของไปหรือยัง?”
แม่หลินพยักหน้า “ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ”
เหยียนหรูอวี้มองไปยังผิวน้ำทะเลสาบประกายระยิบระยับ “เช่นนั้นก็แค่รอปลาติดเบ็ด”
……
“อาหวั่น เอานี่ไปด้วย” ณ หมู่บ้านเหลียนฮวา หลังจากที่คนสกุลอวี๋กินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ยัดถุงผ้าร้อนๆ ใส่มืออวี๋หวั่น วันนี้อวี๋หวั่นจะไปส่งของที่หอจุ้ยเซียน และไปรับเงินค่าสินค้าของเดือนนี้ นางกังวลว่าอวี๋หวั่นจะรู้สึกหิวระหว่างทาง จึงนึ่งอัวอัวโถวเอาไว้ให้
“ขอบคุณป้าสะใภ้ใหญ่” อวี๋หวั่นรับอัวอัวโถวมา
อวี๋ซงเบะปาก “ไปหอจุ้ยเซียนยังจะหิวอีกรึ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ถลึงตาใส่เขา “ถ้าหิวระหว่างทางเล่า?”
จะโทษว่าป้าสะใภ้ใหญ่กังวลเกิดเหตุก็ไม่ได้ ที่จริงเป็นเพราะคนที่บ้านรวมไปถึงตัวนางเองล้วนแต่ท้องยุ้งพุงกระสอบ นางหิวเร็ว จึงกลัวว่าอาหวั่นจะหิวเร็วเช่นกัน
อวี๋หวั่นยิ้ม “ตอนเช้ากินไปน้อย ข้าจะกินอัวอัวโถวนี่ระหว่างทาง”
“จริงหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่ส่งอวี๋หวั่นขึ้นเกวียนไปอย่างมีความสุข ทั้งยังกำชับซวนจื่อว่าให้ดูแลอวี๋หวั่นดีๆ
สองพี่น้องอวี๋เฟิงและอวี๋ซงงานยุ่ง จึงไม่สามารถไปด้วยได้ จึงมีเพียงซวนจื่อที่เข้าเมืองหลวงไปกับอวี๋หวั่น ทั้งสองไปเช่ารถม้าในตำบล อวี๋หวั่นเช่ารถม้าหลายครั้งจนคุ้นเคยกับที่สถานีรถม้าแล้ว เธอนำเกวียนไปจอดพักไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าไปแทน
“ไอ้หยา! หน่อไม้ดองของข้ามาแล้ว! หน่อไม้ดองของข้ามาแล้ว!” นายท่านฉินนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ ในที่สุดหน่อไม้ดองที่เขาถวิลหาก็มาถึงแล้ว นายท่านฉินไม่รอให้ลูกน้องลงมือ เขาเข้าไปยกด้วยตนเอง
อวี๋หวั่นมาที่นี่บ่อยครั้ง จนเสมียนจดจำเธอได้ ทุกคนล้วนแต่กล่าวทักทายอย่างรู้มารยาท “ท่านเจ้าของ!”
อวี๋หวั่นแนะนำซวนจื่อให้ทุกคนรู้จัก
ซวนจื่อเคยมาสถานที่หรูหราโอ่อ่าเช่นนี้เป็นครั้งแรก เพียงแค่ป้ายหน้าร้านซึ่งตกแต่งได้อย่างวิจิตรงดงามก็ทำให้เขาตะลึงงันไปพักหนึ่ง ครั้นเห็นว่าเสมียนจำนวนมากต่างมาห้อมล้อมกล่าวทักทายเขาและอาหวั่นอย่างเคารพนบนอบ เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่!
ที่แท้อาหวั่นก็เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวรึ อยู่ที่หมู่บ้านไม่ยักเคยเห็นนางทำตัวเย่อหยิ่งอันใด
“พี่ซวนจื่อ ขึ้นไปนั่งชั้นบนเถอะ” อวี๋หวั่นพาซวนจื่อไปยังห้องบัญชี และในเมื่อเป็นห้องบัญชีก็ย่อมต้องเป็นห้องทำงานและรับรองแขก ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนใน ก็ล้วนเข้าไปได้
ซวนจื่อไม่เคยเห็นห้องที่วิจิตรตระการตาเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกประหม่าจนไม่กล้าเหยียบเข้าไป
“พี่ซวนจื่อ ดื่มชา” อวี๋หวั่นชงชาให้ซวนจื่อ เธอไม่รู้วิธีการชงชา จึงได้แต่ชงเท่าที่ทำได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนชนบท ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไร
ซวนจื่อไม่ได้ดื่มชาไปมากนัก เขาได้แต่ตกตะลึงกับขนมบนโต๊ะ พ่อครัวของหอจุ้ยเซียนทำขนมเผือกทอด หอมหวานกรอบนุ่ม อร่อยเสียจนเขาอยากจะกลืนลิ้นของตัวเองลงไปด้วย
“ท่านเจ้าของ ข้างล่างมีคนมาพบขอรับ” เสมียนคนหนึ่งขึ้นมาบอก
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “พี่ซวนจื่อ เดี๋ยวข้ามา”
ซวนจื่อกำลังกินขนม เขาตอบ ‘อืมๆ ’ โดยมิได้ใส่ใจมากนัก
อวี๋หวั่นลงไปชั้นล่างพร้อมกับเสมียน
บุรุษรูปลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า เขาน่าจะอายุราวสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ถือห่อผ้าเอาไว้หนึ่งห่อ
“เป็นเขาขอรับ” เสมียนชี้ไปที่บุรุษผู้นั้น “เขาบอกว่าเขารู้จักกับท่าน เป็นคนที่ท่านนัดมา”
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างเคลือบแคลงใจ เธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้นัดใครเอาไว้ด้วย
เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นอวี๋หวั่น ก็ยิ้มให้เธอ เขาเดินเข้ามาอย่างมิได้รีบร้อน ยกมือขึ้นคำนับ “แม่นางอวี๋ เจ้านายข้าต้องการพบท่าน”
“เจ้านายท่านคือใคร?” อวี๋หวั่นมองเขาพลางเอ่ยถาม
เสมียนในร้านต่างมองบุรุษผู้นี้ด้วยความประหลาดใจ เขาบอกเองว่ารู้จักกับท่านเจ้าของ แต่ดูแล้ว ไม่น่าจะใช่!
บุรุษตรงหน้าไม่ได้รีบร้อนตอบคำถามของอวี๋หวั่น และไม่ได้มีท่าทีพิรุธต่อสายตาของผู้คนแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยิ้ม ส่งห่อผ้าในมือให้กับอวี๋หวั่น “แม่นางอวี๋เห็นแล้วจะรู้เอง”
ใครจะไปรู้ว่าในห่อผ้าจะซ่อนเล่ห์กลอะไรเอาไว้
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความหวาดระแวง
บุรุษยิ้ม ราวกับรู้ว่าเรื่องนี้มิได้เหนือความคาดหมาย เขาจึงเปิดห่อผ้าออกด้วยตนเอง “แม่นางอวี๋”
เมื่ออวี๋หวั่นมองไป ก็เห็นว่าเป็นซาลาเปารูปหมูที่ถูกกัดไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็มีรองเท้ารูปแมว…เสือ…อีกข้างหนึ่ง
นี่มัน…รองเท้าที่เธอให้เด็กๆ ไป!
รอยฟันบนซาลาเปาก็เหมือนกับรอยฟันของเด็กอายุสองขวบเสียด้วย
ให้ของที่เด็กๆ เคยใส่ และขนมที่เด็กๆ กิน…คนคนนี้ต้องการอะไรกันแน่?
อวี๋หวั่นสายตาเย็นเยียบ
บุรุษผู้นี้เห็นปฏิกิริยาของอวี๋หวั่นเต็มสองตา ก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้านายข้าให้มาเชิญ”
“เจ้านายท่านเป็นใคร?” อวี๋หวั่นถามอย่างหวาดระแวง
เขายิ้ม กล่าวว่า “เรื่องนี้ อีกประเดี๋ยวแม่นางอวี๋ก็รู้เอง”
อวี๋หวั่นรู้สึกตกใจ เด็กๆ ไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลเซียวหรอกหรือ? อีกทั้งเธอก็ไม่ได้ยินว่าเด็กๆ หายไปจากจวนสกุลเซียวนี่ แต่ถ้าไม่ได้หายไป ผู้ชายคนนี้จะเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน?
อวี๋หวั่นถามเขาอย่างเยือกเย็น “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลของท่านเป็นเรื่องจริง? ถ้าพวกท่านไปขโมยรองเท้ามาข้างหนึ่ง แล้วก็ปลอมซาลาเปาขึ้นเพื่อมาหลอกข้าละ?”
เขาหัวเราะ “เช่นนั้นแม่นางอวี๋ก็ต้องลองเสี่ยงดูแล้ว คุณชายน้อยสำคัญต่อแม่นางอวี๋มากเท่าไรหรือ?”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความสงสัย “คำพูดของท่านแปลกนัก ข้าเป็นอะไรกับคุณชายน้อย คุณชายน้อยจะสำคัญกับข้าได้อย่างไร?”
บุรุษผู้นี้คาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอวี๋หวั่นจะพูดแบบนี้ เขาจึงตอบไปว่า “ไม่ใช่เพราะบุญคุณที่แม่นางอวี๋ช่วยชีวิตคุณชายน้อยหรอกหรือ จึงชนะใจคุณชายเยี่ยนได้สำเร็จ? หากเขารู้ว่าแม่นางอวี๋เพิกเฉยต่อความเป็นความตายของคุณชายน้อย ไม่รู้ว่าแม่นางอวี๋จะมีโอกาสแต่งเข้าจวนคุณชายอีกหรือไม่”
คำพูดนี้มีเหตุผล แต่สัญชาตญาณก็บอกกับอวี๋หวั่นว่าถึงแม้จะไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา ไม่ว่าอย่างไร เธอก็จำเป็นต้องไป
อวี๋หวั่นหลุบตา พยายามชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ
บุรุษผู้นี้คล้ายกับจะอ่านความคิดของเธอออก เขาหัวเราะน้อยๆ กล่าวว่า “แม่นางอวี๋ห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใดเป็นอันขาด หากเจ้านายของข้าไม่พอใจขึ้นมา เกรงว่าคงช่วยคุณชายน้อยเอาไว้ไม่ได้”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ข้าไม่ได้จะบอกใคร ข้าเพียงแต่หิว เอาอาหารไปกินระหว่างทางได้หรือไม่?”
………………………………..