หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 72.1 พี่จิ่วมาแล้ว (1)

บทที่ 72 พี่จิ่วมาแล้ว (1)

Ink Stone_Romance

 

“คุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงขององครักษ์ดังมาจากด้านนอก
อวี๋หวั่นกดความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ พยายามเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด “ร้องไห้ ท่าทางจะกลัว ไม่เป็นไร ท่านไปดูแลคุณหนูเถิด ข้าว่าอาการของคุณหนูยังไม่คงที่”
ไม่ใช่แค่ไม่คงที่ ถ้าเธอดูไม่ผิด เหยียนหรูอวี้น่าจะเสียสติไปแล้ว!
ไหนเลยจะมีคนปกติที่สายตาน่ากลัวถึงเพียงนี้? อีกทั้งยังตีแม่หลินก็จนสลบ ไล่ตะเพิดสาวใช้ ยกกระบี่ขึ้นมาฟาดฟันทุกคนที่ขวางหน้า…นี่มันสตรีผู้อ่อนโยนที่ไหนกันเล่า เหมือนคนเสียสติพูดไม่รู้ความเสียมากกว่า!
อวี๋หวั่นเดินไปจุดตะเกียงน้ำมัน
เหยียนหรูอวี้เสียสติจนเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำให้เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่
อวี๋หวั่นตรวจดูแขนของเสี่ยวเป่า เขาเป็นคนที่ถูกเหยียนหรูอวี้ฉุดกระชากลากถู แต่ว่าเขาตัวเล็กที่สุด ถูกรังแกได้ง่ายที่สุด ต่อให้นางสติวิปลาสไป ก็ยังเลือกที่จะรังแกคนที่อ่อนแอที่สุด เห็นได้ชัดว่าความโหดเหี้ยมนั้นฝังรากลึกถึงกระดูกจริงๆ
“เจ็บหรือไม่?” อวี๋หวั่นกระซิบถาม
เสี่ยวเป่าร้องไห้สะอึกสะอื้น
อวี๋หวั่นเลิกแขนเสื้อของเสี่ยวเป่าขึ้นดู ยัยบ้าเหยียนหรูอวี้ ทำให้แขนของเสี่ยวเป่าเป็นรอยช้ำ รอยมือลึกบนแขนของเขาทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกปวดใจ
กระนั้นในความโชคร้ายยังมีความโชคดี เพราะกระดูกของเขาไม่หักแต่อย่างใด
หลังจากนั้นอวี๋หวั่นก็ลองตรวจดูส่วนอื่นๆ ของเสี่ยวเป่า หัวเข่าและข้อศอกมีรอยช้ำซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เท้าของเขาเย็นเฉียบ เมื่อเทียบกับพี่ๆ อีกสองคนซึ่งอยู่บนเตียง เสี่ยวเป่าซึ่งต้องยืนเท้าเปล่านั้นโชคร้ายกว่ามาก
 อวี๋หวั่นตรวจดูต้าเป่าและเอ้อร์เป่า ทั้งสองคนมีอาการตื่นตระหนก แต่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ
เด็กทั้งสามเนื้อตัวสั่นเทิ้ม อวี๋หวั่นกอดพวกเขาเอาไว้ อ้อมกอดของเธอถูกเด็กน้อยครอบครองเอาไว้แล้ว
อวี๋หวั่นกอดพวกเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เด็กทั้งสามก็ยังคงตัวสั่นด้วยความกลัว อวี๋หวั่นยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้พวกเขา เด็กทั้งสามคนยังคนร้องไห้ไม่หยุด อวี๋หวั่นจึงหอมหน้าผากของพวกเขาด้วยความปวดร้าวใจ
อวี๋หวั่นนึกถึงคืนนั้นที่หมู่บ้านเหลียนฮวา คืนนั้นฝนตกและฟ้าผ่าเช่นกัน ที่เด็กๆ ตกใจกันมากเพียงนี้ เป็นเพราะปกติแล้วพวกเขากลัวเสียงฝนตกฟ้าร้องกันใช่ไหม?
เหยียนหรูอวี้เองก็เสียสติในวันที่ฝนตก?
ว่าแต่ทำไมนางถึงเสียสติกัน?
หรือว่าถูกบางอย่างมากระตุ้น?
‘อะไรกัน? เจ้าไม่เชื่อรึ? เจ้ามีลูกสองคน คนแรกป่วยตาย คนที่สองถูกเจ้าฆ่าตาย ฝนตกหนัก…’
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็มีคำพูดที่เหยียนหรูอวี้พูด ผุดขึ้นมาในสมองของอวี๋หวั่น ตอนที่เหยียนหรูอวี้พูดประโยคนั้น สีหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ในตอนนั้นคิดเพียงว่านางจงใจกุเรื่องขึ้นมาปั่นหัวเธอ แต่เมื่อลองมาคิดดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเหยียนหรูอวี้บิดเบือนเรื่องในอดีตของคนอื่น ทำไมกลับดูเหมือนว่านางเองก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน?
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกถึงโถใส่เถ้ากระดูกที่ถูกเหยียนเซี่ยขโมยออกมา
เป็นเพราะโถนั้นเล็กเกินไป เธอจึงสงสัยมาตลอดว่าเถ้ากระดูกไม่สมบูรณ์ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเถ้ากระดูกนั้นคือกระดูกของเด็กทั้งสองคน?
“คงไม่ใช่เด็กที่เหยียนหรูอวี้บอกว่าเป็นลูกของฉันหรอกมั้ง!” อวี๋หวั่นลืมตัว เผลอพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมา
เด็กน้อยทั้งสามหยุดร้องไห้ แล้วมองไปที่เธอทันที
อวี๋หวั่นรีบบอกว่า “ไม่มีอะไร ร้องไห้ต่อเถอะ”
เด็กน้อยซึ่งหยุดร้องไห้กะทันหัน “…”
อวี๋หวั่นลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็พบว่าการคาดเดาของตัวเองพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้าหากเหยียนหรูอวี้สูญเสียลูกทั้งสองคนไปในวันที่ฝนตก เช่นนั้นเรื่องนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล
จิตใจของนางได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างมาก ทำให้อารมณ์ของนางเปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน น่ากลัวว่านางจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไม่สบาย และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเด็กๆ จึงไม่คุ้นเคยกับนางสักที
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ หากการคาดเดาของเธอถูกต้อง นางให้กำเนิดแฝดสามมาแล้ว เช่นนั้นเด็กอีกสองคนมาได้อย่างไรกัน? อย่าบอกว่านางคลอดลูกมาทีเดียวห้าคนนะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าหากไม่ได้มีลูกเพียงท้องเดียว แล้วนางไปตั้งท้องตอนไหน? ท้องกับใครกัน?
ไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียเยี่ยนจิ่วเฉาก็ถูกเธอจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นก้มหน้ามองเด็กทั้งสามในอ้อมกอด เด็กน้อยมองเธอด้วยดวงตาบ้องแบ๊ว สายตาอันไร้เดียงสาของพวกเขาราวกับกำลังมองทะลุไปถึงหัวใจของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกระซิบถาม “หิวไหม?”
ทั้งสามคนพยักหน้า
“ข้าจะไปหาอะไรให้พวกเจ้ากิน” อวี๋หวั่นบอก
ทั้งสามคว้าชายกระโปรงของอวี๋หวั่นด้วยความวิตก
อวี๋หวั่นนึกขึ้นได้ว่าทั้งสามเป็นเด็กที่เพิ่งเผชิญกับความตื่นตระหนก พวกเขายังเด็ก แม้แต่กบตัวเดียวพวกเขาก็ยังกลัว นับประสาอะไรกับคนตัวใหญ่ที่กำลังเสียสติเล่า ไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมา เด็กๆ ใช้ชีวิตกันอย่างไร เหยียนหรูอวี้ชั่วร้ายนัก เธอละอยากจะจับนางโยนให้ปลากิน!
อวี๋หวั่นพบว่าเด็กทั้งสามมองเธอด้วยความไม่สบายใจ เธอไม่อยากทำให้พวกเขากลัวอีก จึงกำจัดความคิดเกี่ยวกับเหยียนหรูอวี้ออกไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ไปไหนหรอก แค่จะไปหยิบของกินมาให้ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
ทั้งสามยังคงไม่ปล่อยมือ
อวี๋หวั่นลูบหลังของพวกเขา แล้วพูดเสียงค่อยว่า “เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนจะป่วยเอา ป่วยแล้วก็ต้องกินยา ยาขมมากๆ ด้วยนะ”
เด็กทั้งสามฟังรู้เรื่องในทันที ดูแล้วน่าจะเคยกินยา และยังจดจำได้ดี
ทั้งสามปล่อยมือจากอวี๋หวั่นด้วยความลังเล แล้วมองเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ ถ้าพวกเขามองเธออีก เธอคงจะไม่กล้าก้าวออกนอกประตูแล้ว
หลังจากออกมานอกห้อง อวี๋หวั่นก็ปิดประตูลง หากมองอีกมุมหนึ่ง เด็กๆ อยู่บนเรือนับว่าปลอดภัย เมื่อมั่นใจว่าเด็กๆ จะไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเหยียนหรูอวี้ อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจออกไปสำรวจสถานการณ์ของเหยียนหรูอวี้
ท้องฟ้ายังมีฝนกระหน่ำและฟ้าร้อง แต่เรือก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเหยียนหรูอวี้ไม่เพียงเสียสติ แต่นางก็ยังโง่เง่าอีกด้วย
อวี๋หวั่นมายังห้องของเหยียนหรูอวี้ เหยียนหรูอวี้ถูกองครักษ์ควบคุมเอาไว้ พวกเขาเห็นว่าที่เธอตบเหยียนหรูอวี้ก็เพื่อช่วยเหลือคุณชายน้อย ไม่มีใครเอาผิดเธอแต่อย่างใด หรือไม่ในใจของพวกเขาเอง ก็คิดอยากจะจับสตรีวิปลาสผู้นี้มาตบสักร้อยครั้ง
องครักษ์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่งสกัดจุดให้เหยียนหรูอวี้สลบ เมื่อจับเหยียนหรูอวี้นอนลง พวกเขาก็ออกไป
บรรดาสาวใช้วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปตั้งแต่แรกแล้ว ภายหลังก็ถูกองครักษ์เรียกตัวกลับมา
อวี๋หวั่นไม่อยากให้ปัญหาใหม่ประเดประดังเข้ามาอีก จึงหยิบอาหารและเสื้อผ้าสะอาดสำหรับเปลี่ยนสามชุด แล้วกลับห้องไป เด็กทั้งสามเห็นว่าเธอกลับมา ก็รีบโผเข้าในอ้อมกอด
อวี๋หวั่นจับพวกเขานั่งบนเก้าอี้ยาว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พวกเขา แล้วหยิบขนมอวิ๋นเพี่ยนและขนมถั่วเขียวมาให้พวกเขาแบ่งกันกิน ทั้งสามคนหิวโหยมาตลอดทั้งวัน ขนมที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ อวี๋หวั่นจึงฉวยโอกาสในจังหวะชุลมุนไปหยิบไก่พะโล้และหมั่นโถวกลับมา จากนั้นก็นำมาย่างบนเตาสำหรับผิงไฟ
ทั้งสามกัดปีกไก่และน่องไก่ อวี๋หวั่นก็กินไปเล็กน้อย
“สตรีคนนั้นเล่า?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอก เป็นเสียงของผู้ชายที่ไปรับเธอมาจากหอจุ้ยเซียนนั่นเอง
องครักษ์ตอบว่า “เรียนพ่อบ้านหลิว ข้าน้อยรมยานางไป ตอนนี้คงยังไม่ได้สติ”
“ไม่มีใครเฝ้านางเลยหรือ?” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพ่อบ้านหลิวเริ่มมีโทสะ
“กะ…ก่อนหน้านี้มีคนเฝ้า แต่คุณหนูเกิดเรื่อง จะ…จึงไปดูแลคุณหนู” แน่นอนว่านั่นเป็นคำแก้ตัว พวกเขาวิ่งไปหลบฝนในห้องของตนตั้งแต่ก่อนที่เหยียนหรูอวี้จะเสียสติแล้ว
“ยังไม่รีบไปดูอีก! ” พ่อบ้านหลิวตะคอก
“ขะ…ขอรับ! ” องครักษ์รับคำด้วยความนบนอบ จากนั้นก็รุดรีบออกไป
อวี๋หวั่นวางเนื้อไก่ในมือลง ชี้มือชี้ไม้แล้วกระซิบกับเด็กทั้งสามว่า “เดี๋ยวข้ากลับมา”
ทั้งสามพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ
อวี๋หวั่นเปิดประตูออก อ้อมอีกฝั่งหนึ่งของเรือไปยังห้องของตน เปิดประตูแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง เมื่อนึกได้ว่าตนกำลังสวมชุดของสาวใช้อยู่ จึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว
องครักษ์เปิดประตูห้อง มองไปยังอวี๋หวั่น แล้วก็พึมพำว่า “บอกแล้วอย่างไรว่านางหลับอยู่…”
พูดจบก็ปิดประตูแล้วเดินจากไป
ฝนตกหนัก ทำให้บนเรือมีน้ำมาก พวกเขาถูกพ่อบ้านหลิวเรียกไปวิดน้ำ ไม่อาจคอยเฝ้าหน้าประตูได้ตลอดเวลา
อวี๋หวั่นรีบกลับไปยังห้องของเด็กๆ ทั้งสามไม่ได้กินอะไรต่อ เมื่อเห็นว่าเธอกลับมา จึงรีบก้มหน้าก้มตากินต่อ
ทั้งสามกินจนอิ่มแปล้ พวกเขาเล่นอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
อวี๋หวั่นห่มผ้าให้เด็กทั้งสาม จากนั้นก็กลับไปยังห้องของเหยียนหรูอวี้อีกครั้งหนึ่ง
แม่หลินไม่อยู่ ดูแล้วนางน่าจะถูกเหยียนหรูอวี้ตบตีไปไม่น้อย จนป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้น ผู้ที่เฝ้าเหยียนหรูอวี้เป็นสาวใช้อายุประมาณสิบห้าสิบหกคนหนึ่ง
สาวใช้ง่วงนอน นั่งสัปหงกประหนึ่งไก่กำลังจิกเมล็ดข้าว
อวี๋หวั่นสะกิดไหล่ของนาง “นี่ๆ!”
สาวใช้รู้สึกตัว นางลุกขึ้นยืนทันดีราวกับกระเด้งขึ้นมา “ข้าไม่ได้หลับ!”
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขัน แต่ยังคงทำสีหน้าขึงขัง “ให้เจ้ามาดูแลคุณหนู เจ้ายังมานอนอีกหรือ? ถ้าพ่อบ้านหลิวกับแม่หลินรู้เข้า จะต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่”
“ขะ…ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้หลับ!” นางพูดอย่างรู้สึกผิด
อวี๋หวั่นตอบว่า “เอาเถอะ ข้าจะเฝ้าให้เจ้าก่อน เจ้าไปงีบสักครู่เถอะ”
อวี๋หวั่นกังวลว่าสาวใช้จะพูดว่า ‘ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน’ โชคดีที่นางง่วงนอนเสียจนมิได้เอะใจแต่อย่างใด เมื่อมีคนมาเฝ้าคุณหนูแทนนาง นางจึงนั่งพิงเสาเตียงหลับไป
อวี๋หวั่นรีบไปด้านหลังฉากกั้น หยิบเสื้อผ้าของเหยียนหรูอวี้ซึ่งแขวนไว้บนฉากกั้นมาเปลี่ยน จากนั้นก็อุ้มเหยียนหรูอวี้ลงมาซ่อนเอาไว้ด้านหลังฉากกั้น แล้วตนก็ขึ้นไปนอนบนเตียง
ในห้องปราศจากแสงไฟ ทำให้มองไม่ชัดเป็นทุนเดิม อีกทั้งสาวใช้ก็ดูเหมือนว่าเป็นสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ มิใช่เพียงไม่คุ้นเคยกันเอง พวกนางยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเหยียนหรูอวี้อีกด้วย
หลังจากที่อวี๋หวั่นนอนลง ก็ใช้ผมปิดหน้าเอาไว้ ดึงแขนเสื้อของสาวใช้
สาวใช้สะดุ้งตื่น นางลุกพรวดขึ้นทันที “ข้าไม่ได้หลับ!”
“แค่กๆ” อวี๋หวั่นส่งเสียงไอเบาๆ
สาวใช้ตกใจ “คุณหนู! ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นอ้าปากคล้ายกับจะพูด
“คุณหนูพูดอะไรหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ได้ยินไม่ชัดเจน จึงค้อมตัวลง แล้วเอียงหูเข้าไปใกล้
อวี๋หวั่นพูดอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง “ทะ…เทียบท่า”
“เทียบท่า?” พ่อบ้านหลิวขมวดคิ้ว เขากำลังสั่งงานให้เหล่าองครักษ์วิดน้ำออกจากเรือ แล้วมองไปยังสาวใช้ที่รับคำสั่งมา
สาวใช้พยักหน้าหงึกๆ “เจ้าค่ะ! คุณหนูบอกเช่นนั้น!”
พ่อบ้านหลิวเป็นรองหัวหน้าพ่อบ้านของจวนสกุลเหยียน เหยียนหรูอวี้ให้ความสำคัญกับเขา ภายหลังจึงกลายเป็นคนที่นางไว้เนื้อเชื่อใจ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากจวนสกุลเหยียนเพื่อทำงานให้กับเหยียนหรูอวี้ องครักษ์บนเรือและสาวใช้ก็เป็นคนที่เขาเลือกเอง ย่อมต้องไว้ใจได้อย่างแน่นอน
“เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด?” พ่อบ้านหลิวถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
สาวใช้ส่ายหน้ารัว “ไม่ผิดจริงๆ เจ้าค่ะ! ข้าถามย้ำหลายรอบแล้ว!”
ผลของการสกัดจุดสามารถอยู่ได้ครึ่งชั่วยาม หากตื่นมาตอนนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ไม่รู้ว่านางกล่าวเช่นนี้ตอนตื่นหรือกล่าวออกมาเช่นนี้เพราะอาการป่วย
“แล้วคุณหนูอยู่ที่ใด?” พ่อบ้านหลิวถาม
“หลับไปอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
พ่อบ้านหลิวไม่กล้าหาญพอที่จะเข้าไปปลุกเหยียนหรูอวี้ ใครจะไปรู้ว่าหากนางป่วยขึ้นมาอีกแล้วจะไม่ยกกระบี่ขึ้นมาฟันเขา พ่อบ้านหลิวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจทำตามสิ่งที่เหยียนหรูอวี้บอก
หลังจากที่อวี๋หวั่นปล่อยคำสั่งเท็จออกไป เธอก็กลับไปยังห้องข้างๆ เหยียนหรูอวี้ฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่ถูกอวี๋หวั่นใช้ไม้ตีจนสลบไป อวี๋หวั่นนึกอยากตีนางให้ตาย แต่น่าเสียดายที่ถ้าหากเหยียนหรูอวี้ตาย เธอและเด็กๆ ก็คงไม่รอดเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องรีบลงจากเรือ หลบหนีจากคนเหล่านี้ให้ได้ก่อน ส่วนยัยบ้าเหยียนหรูอวี้นั่น ค่อยกลับมาคิดบัญชีทีหลัง!
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฝนหยุดตกแล้ว เรือก็จอดเทียบท่าพอดี
อวี๋หวั่นแอบย่องไปยังห้องครัว หยิบตะกร้าสะพายหลังสำหรับใส่ผักมา ใช้ผ้าฝ้ายนุ่มปูรอง แล้วอุ้มเด็กน้อยซึ่งกำลังหลับสนิทใส่ลงไปทีละคน
ทั้งสามคนรู้สึกตัว ก็สะดุ้งตัวสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเป็นอวี๋หวั่น ก็หลับตานอนต่อ
อวี๋หวั่นปิดตะกร้าด้วยผ้า สะพายขึ้นหลัง แล้วค่อยๆ เปิดประตูออกไป
ทั้งสาวใช้และองครักษ์บนเรือล้วนแต่เหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนคืน ในที่สุดก็ได้หยุดพัก พวกเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะกลับห้องไปพักผ่อน เหลือเพียงองครักษ์สองคนที่เดินลาดตระเวนอยู่
อวี๋หวั่นฟังเสียงฝีเท้าของพวกเขา เมื่อมั่นใจว่าพวกเขาเดินไปไกลแล้ว จึงรีบออกไป
เธอเข้าใจแผนการลาดตระเวนของพวกเขา ขอเพียงไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ด้วยความเร็วระดับนี้ เธอสามารถหลบหนีออกไปจากเรือได้ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว
ขอเพียงลงจากเรือไปได้ เธอก็ไม่กลัวพวกเขาแล้ว
แต่สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่คาดคิดก็คือ แม่หลินกลับฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาอันหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
แม่หลินเดินไปยังห้องของเหยียนหรูอวี้ แล้วพบว่าคุณชายน้อยไม่อยู่ เมื่อถามสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ นางก็ตอบว่าอยู่ห้องข้างๆ นางเดินไปยังห้องข้างๆ และพบว่าห้องนั้นว่างเปล่า จึงตะโกนร้องเสียงดังลั่น “ใครก็ได้มานี่หน่อย คุณชายน้อยไม่อยู่แล้ว!”
“แม่นางอวี๋!”
เสียงของพ่อบ้านหลิวดังขึ้นด้านหลังราวกับปีศาจร้าย
อวี๋หวั่นหยุดชะงัก
…………………………….

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset