บทที่ 75 หวั่นหวั่นรู้ความจริง (1)
Ink Stone_Romance
“จริงหรือ? เจ้าโหดร้ายถึงเพียงนั้นเชียว? แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่เหลือไว้” อิ่งลิ่วตามมาภายหลัง และเห็นฉากสุดท้ายเข้าพอดี
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้สั่ง”
เขาไม่ได้สั่งจริงๆ เขาเพียงบอกให้หัวขโมยชิงของของเหยียนหรูอวี้มาไม่ให้เหลือ ใครจะไปคิดว่าเหยียนหรูอวี้จะพกเถ้ากระดูกติดตัวมาด้วย ทั้งยังปกป้องราวกับเป็นของล้ำค่า นั่นไม่ได้ยิ่งทำให้คนอยากแย่งมาหรอกหรือ?
“ทำไม? เจ้าใจอ่อนหรือ?” อิ่งสือซันเหลือบมองเหยียนหรูอวี้ “เจ้าอย่าลืมว่านางทำกับคุณชายน้อยเอาไว้อย่างไร”
พวกเขาจับคนรับใช้ที่หนีไม่ทันมาจำนวนหนึ่ง และได้รู้จากปากของคนเหล่านั้นว่าหากไม่ใช่เพราะแม่นางอวี๋มาทัน ใครจะไปรู้ว่าคุณชายน้อยจะมีสภาพย่ำแย่เพียงใด
อิ่งลิ่วก็คิดเช่นนั้น เขาทอดถอนใจ “ข้าไม่ได้เห็นใจนาง”
“ไม่เห็นใจก็ดีแล้ว” อิ่งสือซันกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ อิ่งลิ่วเป็นทหารสอดแนมโดยกำเนิด ต่างกับเขาซึ่งคลานขึ้นมาจากซากศพ เขาจิตใจแข็งกระด้าง ลงมือโดยไม่ลังเล สองมืออาบด้วยเลือด แต่อิ่งลิ่วยังเหลือจิตสำนึกของความเป็นคนอยู่
อิ่งลิ่วพูดต่อ “ข้าเพียงแต่เห็นใจเด็กทั้งสองคนที่ต้องมีแม่อย่างนาง”
ความผิดของเหยียนหรูอวี้มีโทษมหันต์ แต่เด็กไม่ควรต้องมารับโทษด้วย ทว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของผู้ใดกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเหยียนหรูอวี้ทำเรื่องเลวร้ายไว้ก่อน ตอนนี้จะต้องมารับผลของการกระทำของตนหรอกหรือ? ไม่ว่าอย่างไรเหตุและผลล้วนมาจากตัวนางเอง มิอาจโทษผู้อื่น
“นั่นไม่ใช่เถ้ากระดูกของเด็ก” อิ่งสือซันบอก
อิ่งลิ่วประหลาดใจ “หืม?”
อิ่งสือซันกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าฮูหยินเหยียนจะยอมมอบเถ้ากระดูกของหลานชายให้ลูกสาวที่กำลังหนีตายหรืออย่างไร?”
“อ่า ฮูหยินเหยียนนาง…”
อิ่งสือซันนัยน์ตาแฝงความคิดลึกล้ำ “นางไม่ได้โง่”
……
“ฮูหยินเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์เปิดประตูห้อง นำถ้วยน้ำแกงมาวางบนโต๊ะ “ท่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ดื่มน้ำแกงโสมบำรุงร่างกายสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากกิน” ฮูหยินบอก
“คุณหนูคงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์พูดปลอบประโลม
ฮูหยินเหยียนยิ้มขมขื่น มิได้พูดต่อ
ชุ่ยเอ๋อร์หยิบแม่กุญแจทองแดงใหม่เอี่ยมออกมาจากแขนเสื้อ “ฮูหยิน แม่กุญแจที่ท่านต้องการ ยังดีอยู่ ท่านจะเอาไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินเหยียนมิได้ตอบคำถามของนาง เพียงแต่รับแม่กุญแจมา “เจ้าลงไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์ออกไป
ฮูหยินเหยียนเดินมายังหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดประตูตู้ออก แล้วหยิบกล่องไม้หงมู่ออกมา ในกล่องนั้นใส่โถกระเบื้องเอาไว้สองใบ นางลูบฝาของโถนั่น ลำคอก็พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
นางลงแม่กุญแจที่กล่องใบนั้น พร้อมกับยกกล่องนั้นไปยังข้างทะเลสาบด้านหลังจวนสกุลเหยียน และใช้เสียมขุดดินขึ้นมา
ผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็ฝังกล่องนั้นลงไป
อาทิตย์อัสดง ลมโชยเมฆลอย
นางหักกิ่งอ่อนของต้นหลิวมาปักไว้ในดิน
“หลับให้สบายนะเด็กๆ”
สายลมยามสนธยาพัดมาอย่างแผ่วเบา กิ่งของต้นหลิวไหวน้อยๆ ประหนึ่งพวกเขาพยักหน้ารับรู้
……
ในตรอกเล็ก หัวขโมยทำหน้าที่ของตนเองเสร็จ ก็กลับไปหาอิ่งสือซันพร้อมกับของที่ฉกชิงมาได้ พวกเขาไม่กล้าละโมบ จึงแบ่งของที่นำมาเป็นสองส่วน และนำของส่วนใหญ่ใส่ในถุงและนำมามอบให้กับอิ่งสือซันราวกับเป็นบรรณาการ
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกตนมิได้โลภมาก จึงนำของทั้งหมดออกมา “ขอบคุณนายท่านสือซันที่มอบอาหารให้พวกข้า พวกข้าจึงขอมอบของที่ดีที่สุดให้กับท่าน”
อิ่งสือซันนั่งอยู่บนรถม้า เขาเลิกม่านขึ้นมองเพียงครู่เดียวเท่านั้น
อิ่งสือซันมิได้สนใจของนอกกาย จึงโบกมือให้พวกเขานำกลับไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอิ่งลิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กลืนน้ำลาย
อิ่งสือซันจึงหันไปมอง อิ่งลิ่วก็รีบมองขึ้นฟ้า
อิ่งสือซันส่ายหน้าน้อยๆ รับห่อผ้านั้นมา แล้วบอกกับหัวขโมยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ!” หัวขโมยรีบรับคำ แต่เมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมาพูดว่า “นายท่านสือซัน สตรีผู้นั้นเหมือนจะเสียสตินะขอรับ”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วลงจากรถม้า เดินไปเข้าไปในตรอก
ในตรอกมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เหยียนหรูอวี้นอนกองอยู่ที่พื้น เสื้อผ้าและเส้นผมของเหยียนหรูอวี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำทิ้ง นางใช้มือกอบเถ้ากระดูกขึ้นมาใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรง ประเดี๋ยวก็ร่ำไห้ อีกประเดี๋ยวหนึ่งก็หัวเราะลั่น
อิ่งลิ่วรู้สึกสะเทือนใจ “นางคงไม่ได้เสียสติจริงๆ หรอกกระมัง?”
อิ่งสือซันเอ่ยขึ้นว่า “ใครจะไปรู้ว่าเสียสติจริง หรือว่าแกล้งเสียสติกันแน่”
พูดจบ อิ่งสือซันก็เดินไปยังเบื้องหน้าของเหยียนหรูอวี้
เหยียนหรูอวี้รู้ว่ามีเงาหนึ่งเคลื่อนเข้ามา มือที่กำลังกอบ ‘เถ้ากระดูก’ ก็หยุดชะงัก นางลุกขึ้นมา แล้วมองไปยังบุรุษรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามตรงหน้า กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ว่า “คุณชาย…”
อิ่งสือซันมองลงไปที่นาง มิได้ทัดทานสิ่งที่นางพูดแต่อย่างใด
เหยียนหรูอวี้มือหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากระโปรง อีกมือหนึ่งยันพื้นเอาไว้ นางคลานเข่าไปหาอิ่งสือซัน ใช้มือซึ่งเปรอะเปื้อนเถ้ากระดูกและน้ำทิ้งจับชายเสื้อของเขา “คุณชาย…ลูกของพวกเราไม่อยู่แล้ว…”
“ลูกของเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่ลูกข้า” อิ่งสือซันกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เหยียนหรูอวี้ตกตะลึงราวกับถูกทุบศีรษะ
อิ่งสือซันไม่ได้มาเพื่อพูดจาไร้สาระกับนาง เขามองนางปราดหนึ่ง เลิกแขนเสื้อของนางขึ้น แล้วหยิบป้ายหยกไขแพะชั้นดีออกมา
นั่นเป็นป้ายหยกที่อาหวั่นทิ้งไป
เหล่าโจรก็ไม่ได้ค้นตัวนาง จึงไม่พบของสิ่งนี้
อิ่งสือซันมาเอาป้ายหยก ส่วนเหยียนหรูอวี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มิได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย เขาไม่คิดจะบอกความจริงกับเหยียนหรูอวี้ สตรีที่ขโมยลูกของผู้อื่นไปอย่างนาง สมควรได้ลิ้มลองรสชาติของการสูญเสียลูกเสียบ้าง
ครั้นมีชีวิตอยู่ นางก็สูญเสียพวกเขาไปครั้งหนึ่ง ครั้นตายไปแล้ว นางก็ยังสูญเสียพวกเขาไปอีกครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน
ทว่าเพียงครู่เดียว เหยียนหรูอวี้ก็พบว่าความสิ้นหวังของนางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
นางทำให้คุณชายน้อยใช้ชีวิตด้วยความอกสั่นขวัญแขวนมาถึงสองปี การคิดบัญชีในครั้งนี้คงมิได้จบลงง่ายๆ
อิ่งสือซันมองไปยังเหยียนหรูอวี้อย่างเย็นชา เขาเก็บป้ายหยก แล้วหันหลังเดินออกมาพร้อมกับอิ่งลิ่ว
เหยียนหรูอวี้อ้อนวอน “คุณชายท่านอย่าไป คุณชายท่านอย่าไป อย่าทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว”
สำนึกผิดแล้วหรือ?
ช้าไปแล้ว
……
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูใบไม้ผลิ อวี๋หวั่นยืนอยู่ในสวนดอกไม้สีสันสดใส มือหนึ่งถือกรรไกร อีกมือหนึ่งถือตระกร้า เธอตัดดอกกุหลาบสดมา เพื่อนำไปทำขนมกุหลาบในครัว
ไม่ไกลออกไป เด็กน้อยทั้งสามคลานไปรอบๆ ไล่จับลูกสุนัขจิ้งจอกหิมะแสนน่ารัก
ลูกสุนัขจิ้งจอกหิมะกระโดดหลบหายไป
เด็กน้อยทั้งสามเดินทำหน้าเศร้าสร้อยมา
“ท่านแม่ หายไปแล้ว!”
เสี่ยวเป่าพูด
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “เล่นมาตั้งนาน เหนื่อยไหม?”
ทั้งสามพยักหน้า
“ไปนั่งพักในศาลาก่อน ในศาลามีขนม” อวี๋หวั่นชี้ไปยังศาลาที่อยู่ไม่ห่างออกไป ทั้งสามเดินหายใจฟึดฟัดไป เขย่งปลายเท้าหยิบขนมมากินเข้าไปคำโต
“ท่านแม่กินด้วย”
ทั้งสามป้อนขนมให้อวี๋หวั่น
หวานจริงๆ
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อลืมตาขึ้นอวี๋หวั่นก็พบว่าตนเองยืนอยู่บนหอสูงบนกำแพงเมือง เมื่อมองลงมา ก็พบว่าเบื้องล่างเต็มไปด้วยการฆ่าฟันและความหิวโหย บุรุษสามคนสวมชุดเกราะอยู่บนหลังอาชาศึก ในมือถือทวนยาว
ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือดสดจนจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร ทว่าเธอจดจำพวกเขาได้ พวกเขาคือเด็กน้อยทั้งสามคน!
พวกเขา…พวกเขากำลังฆ่าฟันกันเอง!
ทั้งสามคนสู้กันเองอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน
คนโตปักทวนยาวลงบนอกของคนรอง คนรองเล็งอาวุธลับไปยังดวงตาของคนโตและคนเล็ก คนเล็กท่าทางดุดัน ราวกับพร้อมจะพังพินาศไปกับพี่ชายทั้งสอง
หยุดเดี๋ยวนี้!
ข้าบอกว่าให้หยุดเดี๋ยวนี้!
เธอคิดอยากจะหยุดพวกเขา แต่กลับพบว่าคอของตนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้!
ฝั่งตรงข้ามมีเงาสะโอดสะองยืนสง่าอยู่บนหอสูงเช่นกัน!
เป็นผู้หญิง!
ลูกของเธอเข่นฆ่ากันเองเพื่อผู้หญิงคนนี้!
“หยุด…หยุดเดี๋ยวนี้…”
…………………………………………………………………