บทที่ 84 เด็กเทพ (1)
Ink Stone_Romance
เดิมทีอวี๋เซ่าชิงคิดจะสวมรองเท้าแล้วเดินวนรอบเยี่ยนจิ่วเฉาสักรอบสองรอบ ต้องอวดสักหน่อย แต่บัดนี้เกรงว่าคงทำไม่ได้แล้ว เขาเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปที่เตียง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าสงสารเพียงใด
อวี๋หวั่นรู้สึกกระดากใจ “งั้น…งั้นท่านพ่อจะให้ข้าเอารองเท้าไปเก็บก่อนหรือไม่…”
“อย่าแม้แต่จะคิด!” อวี๋เซ่าชิงคว้ารองเท้ามากอดไว้แน่น ไม่ยอมส่งให้อวี๋หวั่นแม้แต่คู่เดียว
อวี๋หวั่นทำได้เพียงเดินมึนงงออกจากบ้านไป
นั่นเป็นรองเท้าที่เธอเย็บช่วงแรกๆ เธอยังไม่ชำนาญ รอยเย็บก็ยังไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังลืมเข็มเย็บผ้าเอาไว้ในรองเท้าอีกด้วย
อาหารเย็นวันนี้คืออัวอัวโถวแป้งข้าวโพด หมูสามชั้นและหน่อไม้ต้มพะโล้ที่ป้าสะใภ้ใหญ่นำมาให้ อวี๋หวั่นแบ่งไปให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาน่าจะหลับไปแล้ว เขานอนอยู่บนเตียง ลมหายใจสม่ำเสมอ
จนเธอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็สะดุ้งตื่นทันที นัยน์ตาของเขาปรากฏความหวาดระแวง
เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคืออวี๋หวั่น เขาถึงจะปรับสีหน้าเป็นปกติ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “เจ้ามาทำอะไร?”
“กินข้าวได้แล้ว ลุงใหญ่ข้าทำเนื้อพะโล้ อร่อยมากๆ” อวี๋หวั่นพูดพลางวางชามและตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วปรับไฟตะเกียงให้สว่างขึ้น
ในตอนนี้เอง อวี๋หวั่นก็มองเห็นเขาได้ชัดเจนขึ้น
เขาปลดกวนบนศีรษะออก ผมสีดำขลับสยายลงมา เส้นผมกลุ่มหนึ่งประอยู่บนลาดไหล่ ประดับใบหน้าของเขา
ในโลกก่อนหน้า อวี๋หวั่นเคยเห็นคนหน้าตาสวยหล่อมาไม่น้อย แต่ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉามองเท่าไรก็ไม่เบื่อ เพียงแต่ว่าวันนี้ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาออกจะดูซีดเซียวไปสักหน่อย
อวี๋หวั่นแตะมือบนหน้าผากของเขา “ท่านถูกท่านพ่อข้าตีจนป่วยหรือ?”
“หึ” เยี่ยนจิ่วเฉาเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์
งอแงอีกแล้วเหรอ? อวี๋หวั่นคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาแปลกเหลือเกิน บางครั้งก็เป็นผู้ใหญ่และเย็นชา บางครั้งก็ไร้เดียงสาราวกับเด็ก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเขาเอง หรือเป็นเพราะเธอมองเขาเปลี่ยนไป
น่าสนใจจริงๆ อวี๋หวั่นคิด
แน่นอนว่าการนอนป่วยเช่นนี้น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย อวี๋หวั่นเห็นว่าสีหน้าของเขาย่ำแย่ คงเป็นเพราะไม่อยากอาหาร เธอไม่ได้เรียกเขากินข้าวเย็น แต่กลับจับข้อมือของเขา สามนิ้วกดลงไปบนจุดชีพจร
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร?”
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นมีสีหน้าสงสัย “ชีพจรของท่านแปลก”
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงมือกลับมา “วิชาแพทย์ครึ่งๆ กลางๆ ของเจ้า จะไม่แปลกได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าสีจริงจัง “ท่านอย่าดูถูกวิชาแพทย์ของข้านะ ข้าอ่านตำราแพทย์ที่ท่านปู่เป้าทิ้งไว้ให้จบแล้ว เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูดถึง แต่เรื่องชีพจรข้าไม่ผิดแน่นอน”
เยี่ยนจิ่วเฉาแดกดัน “ตำราแพทย์เล่มเดียวก็เป็นหมอเทวดาได้เชียวหรือ เจ้าคิดว่าหมอเป็นง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“ข้าไม่เหมือนกับพวกเขา”
“ไม่เหมือนอย่างไร? เจ้าเป็นสตรี พวกเขาเป็นบุรุษ?”
“…” เธอไม่รู้ว่าจะต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไร อวี๋หวั่นยัดชามและตะเกียบใส่มือเขา แล้วบอกว่า “ท่านกินเองก็แล้วกัน” จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
อิ่งสือซันเดินเข้ามาเงียบๆ เขามองเยี่ยนจิ่วเฉา “เหตุใดคุณชายไม่บอกนางเล่าขอรับ?”
“บอกอะไรนางหรือ? ข้าใกล้ตายแล้วน่ะหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาแดกดัน “ข้ายังไม่ตายสักหน่อย”
ใกล้ตาย แล้วยังพาคนอื่นตกตายตามไปด้วย
เยี่ยนจิ่วเฉากินเนื้อพะโล้ไปซึ่งหน้าตาน่าอร่อยไปหนึ่งคำ ไร้รสชาติ
แม้แต่อาหารที่กินเข้าไปยังไม่รู้รสชาติ ตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมา ก็ได้แต่รอคอยความตาย เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับอิ่งสือซัน อิ่งสือซันไม่กล้าบอกว่าตนรู้สึกเหมือนกับเขา แต่ก็รู้สึกสงสารคุณชายเหลือเกิน
ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาต้องแบกรับสิ่งที่ไม่ควรต้องแบกรับ บางครั้งอิ่งสือซันก็คิดว่าคุณชายใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย นับตั้งแต่ที่เขาถูกคำสาป ก็ยังไม่อาจหาวิธีถอนคำสาปได้
“อิ่งสือซัน” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้น “เจ้าว่า พวกเขาจะเป็นเหมือนข้าไหม?”
เหมือนตรงที่อายุห้าขวบก็ล้มป่วย หลังจากนั้นก็ไม่สามารถกินเหมือนคนปกติได้ ชีวิตผูกติดอยู่กับยา อ่อนแอลงทุกๆ ปี เมื่อถึงอายุยี่สิบห้าก็…ไม่สิ อาจไม่ถึงด้วยซ้ำไป ไม่ได้บอกหรือว่ามีชีวิตไม่ถึงอายุยี่สิบห้า? อาจจะอายุยี่สิบแล้วก็ตายไป ผู้ใดจะรู้ได้ว่าชะตาชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?
อิ่งสือซันอยากบอกว่า ไม่ว่าคุณชายน้อยจะเป็นอย่างไร เขาก็จะอยู่เคียงข้างพวกเขา ขอเพียงเขาอยู่จนถึงวันนั้น ก็จะไปตามหายาถอนคำสาปให้คุณชายน้อย จนกว่าคุณชายน้อยจะถอนคำสาปได้สำเร็จ หากทำไม่ได้ เขาก็จะคอยปกป้องคุณชายน้อยจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
กระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่เอ่ยถามว่า “คุณชาย หากตอนนั้นท่านรู้ว่าแม่นางอวี๋ตั้งครรภ์ ท่านจะให้นางเก็บลูกเอาไว้หรือไม่?”
“ไม่” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยความเด็ดขาด “เกิดมารอความตายเช่นนี้มีความหมายอันใด?”
อิ่งสือซันนิ่งเงียบ
แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายไม่เคยคิดถึงการใช้ชีวิตต่อไป เขาไม่เคยร้องขอความตาย แต่ก็ไม่เคยยอมจำนน แม้ว่าการมีชีวิตอยู่จะทรมาน แต่เขาก็ยังกัดฟันเดินหน้าต่อ
เขาไม่ปรารถนาให้คุณชายน้อยต้องทุกข์ทนกับชีวิตอันบิดเบี้ยวเช่นนี้ จึงคิดว่าพวกเขาไม่เกิดมาเสียดีกว่า
ทว่าหากได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าคุณชายปฏิบัติต่อคุณชายน้อยอย่างไร ก็จะรู้ว่าคุณชายรักพวกเขามากแค่ไหน
เยี่ยนจิ่วเฉาฝืนกลืนข้าวเย็นชามนั้นลงไป เขาไม่ได้ไม่รับรู้รสในฉับพลัน ในตอนแรกเริ่มจากไม่รับรู้รสหวาน หลังจากนั้นก็รสเค็ม จากนั้นแม้แต่รสเผ็ดและฝาดก็แยกไม่ออก รสชาติย่ำแย่จนเขาอาเจียนออกมา ตอนนี้เขาคุ้นชินแล้ว อาการจึงดีขึ้นมาก
หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉากินข้าวหมด ก็นอนลงบนเตียงด้วยสีหน้านิ่งสงบ
วันต่อมา อวี๋หวั่นตื่นนอนแต่เช้าตรู่
เธอรีดนมแพะดังเคย หลังจากต้มเสร็จก็กรอกใส่ขวด แล้วนำไปให้เด็กน้อยทั้งสาม เมื่อวานเธอทำให้เถี่ยตั้นน้อยและเจินเจิน แต่ทั้งคู่ไม่ชินกับรสชาติของนม วันนี้จึงไม่ได้ทำเผื่อพวกเขา
เด็กน้อยทั้งสามนั่งดื่มนมอยู่ที่ธรณีประตู
อวี๋หวั่นตากผ้าอยู่ที่ลานบ้าน ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเด็กน้อยทั้งสามกำลังมองเธออย่างไม่ละสายตา
ชาวบ้านเคยเจอพวกเขา จึงรู้ว่าเป็นลูกของคุณชายวั่น สองวันมานี้พวกเขาเห็นเด็กน้อยทั้งสามอยู่ที่บ้านของอวี๋หวั่น ชาวบ้านจะวิจารณ์กันอย่างไรอวี๋หวั่นไม่ได้ใส่ใจ ถ้าพวกเขามาถามเธอต่อหน้า เธอก็จะตอบไปตามตรงว่าเธอเป็นแม่ของเด็กสามคนนี้
อวี๋หวั่นตากผ้าเสร็จก็เดินมาหอมหน้าผากของพวกเขา
วันนี้เป็นวันรวมยอดราคาสินค้าของหอจุ้ยเซียน อีกประเดี๋ยวจะมีคนจากหอจุ้ยเซียนมารับของ เธอจึงคิดไว้ว่าจะนั่งรถม้าของพวกเขาเข้าเมืองหลวง แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อวี๋หวั่นไม่อยากเสียเวลา จึงสะพายตะกร้าขึ้นเขา
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะตามเธอไปด้วย
“พวกเจ้าก็อยากไปหรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยอารมณ์ขัน เด็กทั้งสามคนไม่ติดเธอไปหน่อยหรือ? เธอทำอะไร พวกเขาก็ต้องตามไป เธออาบน้ำ พวกเขาก็ยังจะตามไปอีก
เด็กทั้งสามพยักหน้า
อวี๋หวั่นหลุดยิ้ม “งั้นก็ได้”
เช่นนั้นเธอก็จะไม่เข้าไปลึก เพียงแต่เดินรอบๆ ก็พอ
ทั้งสามเข้าไปหยิบผ้าสะอาดในบ้านมาส่งให้อวี๋หวั่นสามผืน
อวี๋หวั่นรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการให้เธอทำเหมือนกับครั้งก่อน อวี๋หวั่นผูกผ้าเอาไว้รอบคอของเขา เพียงเท่านี้กระเป๋าอย่างง่ายก็เสร็จสมบูรณ์
ทั้งสามพึงพอใจมาก หลังจากที่ดื่มนมจนหมด ก็ขึ้นเขาไปกับอวี๋หวั่น
เป็นเพราะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นหญ้าข้างทางก็รกชัฏขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาเห็นอะไรก็เด็ด เด็ดแล้วก็นำไปให้อวี๋หวั่นดู
อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาเด็ดครั้งนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาเด็ดเมื่อครั้งที่แล้ว
‘นั่นคือข้าวฟ่างหางหมา’
‘นั่นคือจื่อฮวาตี้ติง’
‘นั่นคือผักกาดน้ำเล็ก’
อวี๋หวั่นบอกชื่อต้นหญ้าแต่ละชนิดอย่างใจเย็น ในตอนที่พวกเขาเด็ดหญ้าชนิดหนึ่งมา อวี๋หวั่นเผลอพูดไปว่าจูยางยาง
ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ทั้งสามมองไปรอบๆ แล้วเด็ดต้นจูยางยางขึ้นมา พร้อมกับมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังบอกว่า ‘ต้นนี้สิถึงเรียกว่าจูยางยาง!’
หมายความว่า…เด็กทั้งสามกำลังทดสอบเธออยู่หรือ? พวกเขาจำได้หมดเลย?
เพื่อที่จะทดสอบสมมติฐานของตน อวี๋หวั่นจึงตั้งใจบอกชื่อผิดหลายครั้ง และทุกครั้ง เด็กทั้งสามจะเด็ดพืชต้นที่ถูกต้องมาให้ดู
ครั้งนี้ห่างจากการขึ้นเขาครั้งก่อนหลายวัน พวกเขายังจำชื่อพืชเหล่านี้ได้ แสดงว่าความจำของพวกเขาดีมาก
พวกเขาเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ไม่ยอมพูด อวี๋หวั่นเคยสงสัยว่าอาจเป็นเพราะสติปัญญาของพวกเขาพัฒนาค่อนข้างช้า แต่ว่าในตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน พวกเขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด
หรือสวรรค์อาจส่งความฉลาดมาชดเชย?
………………………………………………………………………….