บทที่ 117 พี่จิ่วหึง
Ink Stone_Romance
“ซูเอ๋อร์! ซูเอ๋อร์!”
สวี่เสียนเฟยเห็นว่าเยี่ยนไหวจิ่งกระโดดลงไปช่วยสตรีขึ้นมาโดยไม่ลังเล นางก็คิดว่าเป็นหานจิ้งซู จึงกระวีกระวาดเข้าไป ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมองให้ชัดๆ แล้วจึงพบว่าเป็นอวี๋หวั่น ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกราวกับสมองขาวโพลน
ในที่สุดหานจิ้งซูก็ถูกช่วยขึ้นมาได้ ทว่านางสำลักน้ำจนหมดสติไป นางกำนัลอาวุโสเข้ามาช่วยกดหน้าอกเพื่อให้นางสำลักน้ำออกมา หานจิ้งซูจึงค่อยๆ ได้สติ กระนั้นสีหน้าของนางก็ยังไม่สู้ดีนัก
ในตอนนี้สวี่เสียนเฟยมิได้สนใจอวี๋หวั่นอีกต่อไป นางรีบให้คนหามเกี้ยวพาหานจิ้งซูไปส่งยังตำหนักเสียนฝู
“เจ้าก็มาด้วย!” ก่อนจะไป สวี่เสียนเฟยตวาดใส่เยี่ยนไหวจิ่งซึ่งเนื้อตัวเปียกปอน
เยี่ยนไหวจิ่งเหลือบมองอวี๋หวั่นซึ่งกำลังหายใจหอบครั้งหนึ่ง หลีเอ๋อร์ก็ไปหาผ้ามาคลุมให้ฮูหยินบ้านตน พร้อม
กับใช้ร่างของตนกำบังสายตาของเยี่ยนไหวจิ่งเอาไว้
เยี่ยนไหวจิ่งเดินจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
ทันทีทีเข้าไปในตำหนักเสียนฝู เยี่ยนไหวจิ่งก็ถูกสวี่เสียนเฟยตวาดอย่างรุนแรง “จะ…เจ้าเป็นอะไร? ซูเอ๋อร์กับสตรีคนนั้นตกน้ำไปพร้อมกัน แต่เจ้ากลับไปช่วยนางเนี่ยนะ? ซูเอ๋อร์เป็นชายาในอนาคตของเจ้า! แต่นางแต่งงานไปแล้ว! นางเป็นชายาของเยี่ยนจิ่วเฉา! ท่ามกลางสายตาผู้คน เจ้ากลับปล่อยซูเอ๋อร์เอาไว้แล้วไปช่วยนาง เจ้าคิดหรือไม่ว่าจะมีผลอย่างไรตามมา? ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แต่ในตอนที่กระโดดลงน้ำไป เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปสิ้น เขารู้เพียงว่าจะไม่ยอมให้นางเป็นอะไร มิเช่นนั้นเขาจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“เจ้า…เจ้าทำให้ข้าโกรธเหลือเกิน!” เมื่อเห็นลูกชายไม่พูดไม่จา สวี่เสียนเฟยก็รู้สึกราวกับตนกำลังต่อยสำลี ถ้าหากเป็นลูกบุญธรรม นางก็คงจะตีเขาไปแล้ว แต่เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่นางให้กำเนิด นางจะทำอย่างไรได้? นางสิ้นหวังเหลือเกิน!
สวี่เสียนเฟยกดลงบนขมับที่ปวดหนึบ “ฮูหยินหานและคุณหนูรองอยู่ในห้องบรรทมของฮองเฮา ข้าให้คนไปแจ้งข่าวแล้ว อีกครู่คงจะมา เจ้าเชื่อฟังข้าสักหน่อย อย่าพูดอะไรผิดแผก เข้าใจหรือไม่?!”
สกุลหานมีบุตรีสามคน คุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว ผู้ที่นางแต่งงานด้วยก็คือบุตรชายของผู้ตรวจการเมืองหวั่น บุตรสาวคนรองได้กำหนดวันแต่งงานไว้แล้ว อีกฝ่ายเป็นหลานชายฝั่งแม่ของฮูหยินหาน หากมองในมุมนี้ สกุลหานมิได้มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับราชวงศ์คนอื่น ทั้งยังเกี่ยวดองกับผู้ตรวจราชการเมืองหวั่น นับว่าเป็นตระกูลที่ดีเยี่ยม ในต้าโจวจะหาตระกูลที่ดีเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ลูกชายของนางไม่นึกเสียดายบ้างหรืออย่างไร?
สวี่เสียนเฟยปวดหัวเหลือเกิน!
ฮูหยินหานและคุณหนูรองรุดมายังตำหนักเสียนฝู สวี่เสียนเฟยก็อยู่ข้างเตียงของหานจิ้งซูแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งรออยู่ด้านหลังฉากกั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพบหน้า
เขาไม่ได้ไปพบฮูหยินหาน ฮูหยินหานก็ไม่เห็นเขา จึงนำบุตรสาวคนรองเดินผ่านเขาไป
“ถวายบังคมพระสนม” ฮูหยินย่อให้สวี่เสียนเฟย บุตรสาวคนรองก็ทำเช่นกัน
สวี่เสียนเฟยจับมือของนาง “ฮูหยินหานรีบลุกขึ้นเถิด โหรวเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี”
หานจิ้งโหรวคุณหนูรองสกุลหานรอให้มารดาลุกขึ้นก่อน นางจึงลุกขึ้นตาม
ฮูหยินหานเดินมาข้างเตียง มองไปยังบุตรสาวที่ได้รับความระทมทุกข์ ขอบตาของนางแดงก่ำ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับสวี่เสียนเฟยว่า “ได้ยินว่าซูเอ๋อร์ตกน้ำ ทำให้พระสนมลำบากแล้ว”
ลำบาก? เป็นเพราะนาง หานจิ้งซูจึงตกลงไปในน้ำ แต่แน่นอนว่านางก็คงไม่พูดออกไป ไม่อาจบอกผู้ใดได้ว่านางจงใจผลักอวี๋หวั่นตกน้ำ ทำให้อวี๋หวั่นลากหานจิ้งซูลงไปด้วย ทั้งจึงสองตกน้ำไปพร้อมกัน
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ได้ยินน้ำเสียงที่แปลกไปของฮูหยินหาน นางไม่ได้รู้สึกว่าหานจิ้งซูสร้างความลำบากให้ตน ทว่านางกำลังโกรธที่เยี่ยนไหวจิ่งไปช่วยสตรีอื่นเอาไว้ต่างหาก
แม้ว่าจวนอัครมหาเสนาบดีจะไม่ใช่ราชนิกุล แต่ก็เป็นขุนนางชั้นสูง แม้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ก็ยังมีปากมีเสียง เพราะฉะนั้นหานจิ้งซูออกเรือนกับองค์ชายรองนั้นมิใช่มักใหญ่ใฝ่สูงแต่อย่างใด แต่นับว่าเหมาะสมกันดี
สวี่เสียนเฟยกล่าวด้วยสีหน้าอดสู “ข้าผิดเอง ข้ามัวแต่ชมบรรยากาศโดยรอบ จนลืมไปว่ามีตะไคร่อยู่บนพื้น ฮูหยินเยี่ยนจึงลื่นและไปชนเข้ากับซูเอ๋อร์จนตกลงไปในน้ำทั้งคู่”
คำพูดของสวี่เสียนเฟยได้ปัดความผิดออกจากตัวเสียสะอาด นางมั่นใจว่าฮูหยินหานไม่มีทางไปตามหาหลักฐานจากอวี๋หวั่น และอวี๋หวั่นก็คงไม่มีหลักฐานว่านางเป็นคนผลัก
แต่ฮูหยินหานจะสนใจเหตุผลที่หานจิ้งซูตกน้ำหรือ?
ฮูหยินหานเหลือบมองเยี่ยนไหวจิ่งซึ่งอยู่ด้านหลังฉาก
สวี่เสียนเฟยตระหนักได้ทันที นางกล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิดว่า “ลูกข้าคนนี้ทำให้ข้าโกรธเหลือเกิน เขาลงไปช่วยซูเอ๋อร์ แต่กลับช่วยผิดคน โชคดีที่ซูเอ๋อร์ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร!”
ความหมายโดยนัยของสิ่งที่นางพูดก็คือเยี่ยนไหวจิ่งเป็นห่วงหานจิ้งซูเสียยิ่งกว่าใคร หากไม่มีหานจิ้งซูแล้วเขาก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
เหตุการณ์ในตอนนั้นสับสนอลหม่าน ครั้นเยี่ยนไหวจิ่งมาถึงและกระโดดลงไปในน้ำ ทั้งสองก็จมน้ำไปแล้ว หากเขาจะช่วยผิดคนก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ฮูหยินหานต้องการฟังเยี่ยนไหวจิ่งยอมรับด้วยตนเอง
สวี่เสียนเฟยให้นางกำนัลดึงม่านลง กำบังหานจิ้งโหรวเอาไว้ และให้ขันทีเปิดฉากกั้นออก เยี่ยนไหวจิ่งซึ่งเนื้อตัวเปียกปอนก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
หานจิ้งโหรวคอยอยู่เป็นเพื่อนน้องสาว ไม่ได้ไปข้องแวะกับเรื่องของผู้ใหญ่และองค์ชายรอง
สายตาของฮูหยินหานจับจ้องไปยังใบหน้าของเยี่ยนไหวจิ่ง แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่ายำเกรงว่า “องค์ชายรอง ท่านตั้งใจไม่ช่วยซูเอ๋อร์หรือช่วยผิดคน?”
ข้าไม่ได้ช่วยผิดคน
ประโยคนี้กลับติดอยู่ที่ลำคอของเยี่ยนไหวจิ่ง
สวี่เสียนเฟยขยิบตาให้เยี่ยนไหวจิ่ง แรกเริ่มดูเหมือนการข่มขู่ ภายหลังค่อยๆ กลับกลายเป็นการอ้อนวอนว่าฮองเฮาออกมาจากตำหนักเฟิ่งชีก็ร่วมมือกับจวนคุณชาย พวกเขาไม่อาจปล่อยให้อำนาจของจวนอัครมหาเสนาบดีหลุดลอยไปได้
เยี่ยนไหวจิ่งเค้นกำปั้นแน่น เขาตัดสินใจแล้ว “ข้า…”
“ท่านแม่” หานจิ้งโหรวเอ่ยขึ้น “น้องฟื้นแล้ว”
ฮูหยินหานมองเยี่ยนไหวจิ่งอีกครา จากนั้นก็หันไปยังเตียง สวี่เสียนเฟยไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกโล่งอกได้หรือยัง จึงโบกมือให้เยี่ยนไหวจิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ซูเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” นางกำนัลเปิดม่านขึ้น ฮูหยินหานนั่งลงข้างเตียง แล้วจับมืออันเย็นเฉียบของบุตรสาวไว้
หานจิ้งซูตอบอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าอยากกลับจวน”
ฮูหยินหานตบมือของบุตรสาวเบาๆ “ได้ กลับจวน แม่จะพาเจ้ากลับจวน!”
สวี่เสียนเฟยนึกอยากอธิบายต่อ ทว่าดูจากสีหน้าเย็นชาของฮูหยินหานแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้ ฮูหยินหานและบุตรสาวคนรองพาหานจิ้งซูออกไปจากตำหนักเสียนฝู สวี่เสียนเฟยกระวนกระวายใจยิ่งนัก
หากหานจิ้งซูเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา เมื่อครู่นางคงเชื่อสิ่งที่สวี่เสียนเฟยพูด ทว่านางสติปัญญาเฉียบแหลม เยี่ยนไหวจิ่งช่วยผิดคนหรือไม่นางคงกระจ่างดี
ก่อนหน้านี้สวี่เสียนเฟยชื่นชอบที่หานจิ้งซูฉลาดเฉลียว บัดนี้กลับคิดว่าหากนางโง่เง่าก็คงดี
สวี่เสียนเฟยถลึงตาใส่บุตรชาย “เจ้ายืนอยู่ทำไมเล่า? ยังไม่รีบไปส่งฮูหยินหาน และไปขอโทษทีจวนอัครมหาเสนาบดีอีก!”
ในตำหนักเจาหยาง อวี๋หวั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงเตรียมตัวกลับ เหตุการณ์ที่สระไท่เยี่ยมีเสียงดังโหวกเหวก แม่นางชุยตื่นตระหนกจึงรุดมา นางพาอวี๋หวั่นซึ่งเนื้อตัวเปียกปอนกลับไปยังตำหนักเจาหยาง ให้คนเตรียมน้ำร้อน แล้วสั่งให้นางกำนัลต้มน้ำขิงมาให้
อวี๋หวั่นมีเสื้อผ้าอยู่บนรถม้า หลีเอ๋อร์ไปหยิบเสื้อผ้า อวี๋หวั่นดื่มน้ำขิงเสร็จจึงไปอาบน้ำ ความเย็นยะเยือกในร่างกายค่อยๆ ลดลง แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดี เธอปวดหัวเหลือเกิน!
วันนี้เธอมองเห็นองค์ชายรองจึงจงใจดึงหานจิ้งซูลงน้ำไปด้วย เพราะเธอพนันได้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งจะเมินหานจิ้งซูแล้วมาช่วยเธอแทน
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นว่ายน้ำเป็น และว่ายน้ำได้แข็งด้วย เธอคิดว่าจะรอให้เยี่ยนไหวจิ่งว่ายเข้ามาใกล้แล้วเธอค่อยว่ายหนีไป แค่ให้หานจิ้งซูเห็นกับตาว่าเยี่ยนไหวจิ่งไม่สนใจนางก็พอแล้ว ทว่าแผนการก็ไม่ได้เป็นดังใจหวัง วินาทีที่เธอถอยหลังไป ศีรษะก็ไปโขกเข้ากับหินก้อนใหญ่ โชคดีที่น้ำช่วยลดแรงปะทะ ทำให้ศีรษะของเธอไม่แตก เพียงแต่ปูดขึ้นเป็นลูกก็เท่านั้น
ทำเรื่องไม่ดีไม่ได้เลยใช่ไหม?
อวี๋หวั่นจับลูกกลมๆ บนศีรษะ
อูย!
เจ็บ! เจ็บจริงๆ!
โชคดีเหลือเกินที่ท่ามกลางสายตาของผู้คน เยี่ยนไหวจิ่งนับว่าวางตัวได้ดี เมื่อขึ้นมาจากน้ำ เขาจับเพียงไหล่ของอวี๋หวั่นเอาไว้ แล้วลากเธอขึ้นจากน้ำ หลังจากนั้นก็ให้คนที่อยู่ข้างสระดูแลต่อ สำหรับคนนอกแล้วไม่นับว่าพวกเขาทั้งสองแตะเนื้อต้องตัวกันเกินงาม
อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณฮองเฮา จากนั้นก็ออกมาจากตำหนักพร้อมกับหลีเอ๋อร์
รถม้าเคลื่อนมายังประตูตำหนัก เถาเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านนอกรถก็หน้าซีดเผือด
อวี๋หวั่นร้อง ‘โอ้’ เปิดม่านแล้วเข้าไปด้านใน เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเย็นเยียบ และนั่นมิได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
สีหน้าท่าทางของเขาดูราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มิน่าเล่าสาวใช้จึงตกใจกลัว
สวี่เสียนเฟยอาจปิดเรื่องที่เกิดขึ้นที่สระไท่เยี่ยกับคนอื่นได้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังเยี่ยนจิ่วเฉาได้ ดูจากสีหน้าของเขา พนันได้เลยว่าเขารู้เรื่องที่เยี่ยนไหวจิ่งช่วยเธอขึ้นมาแล้ว
อวี๋หวั่นปล่อยม่านลง แล้วนั่งลงข้างๆ เขาแต่โดยดี เธออธิบายว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ไม่สิ ข้าตั้งใจ แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าใกล้เยี่ยนไหวจิ่งนะ…”
ให้ตายสิ ยิ่งอธิบายยิ่งแย่
“เจ็บเหลือเกิน” อวี๋หวั่นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉายังคงเย็นชาเหมือนก้อนน้ำแข็ง
อวี๋หวั่นจึงยื่นหน้าเข้าไป “ท่านดูสิ ข้าหัวโนด้วย”
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังด้านหลังศีรษะของเธอ ตรงนั้นมีก้อนบวมเบ่งอยู่
“เฮ้อ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ แต่มือกลับคว้าขวดยามา เปิดฝาออก ปลายนิ้วเรียวจิ้วลงไปบนยาสีแดงเข้ม แล้วค่อยๆ ถูกลงบนส่วนที่บวมบนศีรษะของอวี๋หวั่น
แผลของเธอแสบร้อน ทว่าปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ ท่าทางของเขาช่างอ่อนโยน ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกสบายจนอดไม่ได้ที่จะหลับตาพริ้มแล้วร้อง ‘อืม’ ออกมา
ในคืนนั้น เสียงของเธอก็เป็นเช่นนี้
เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกตันตื้อในลำคอ “อย่าส่งเสียง!”
อวี๋หวั่นแปลกใจ กลางวันแสกๆ อย่างนี้ ข้าส่งเสียงก็ไม่ได้อีก?!
……………….
แผลของอวี๋หวั่นมียาสีแดงเข้มทาอยู่ มองดูคล้ายเลือดไหล เด็กน้อยทั้งสามรู้สึกปวดใจจนร้องไห้ออกมา อวี๋หวั่นรีบอุ้มพวกเขาขึ้นมา “ไม่เจ็บๆ ไม่เจ็บจริงๆ”
เด็กน้อยทั้งสามมองเธอด้วยดวงตารื้น
อวี๋หวั่นเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เป่าฟู่ๆ ให้แม่ เป่าฟู่ๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสามยืนขึ้นบนเตียง มือน้อยๆ จับหัวไหล่ของอวี๋หวั่น แล้วเป่าฟู่ๆ ให้เธออย่างตั้งอกตั้งใจ
ลูกนี่แหละที่รักเธอที่สุด!
ตราบจนถึงเวลาเข้านอน เยี่ยนจิ่วเฉาก็ยังคงมีสีหน้าบูดบึ้ง เด็กน้อยทั้งสามหลับปุ๋ยไปแล้ว อวี๋หวั่นจึงกระตุกแขนเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉา “ท่านยังโกรธอยู่หรือ?”
ลองมองกลับกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอ เธอก็คงโกรธ หากวันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาตกลงในน้ำแล้วเหยียนหรูอวี้ช่วยเขาขึ้นมา เธอก็คงงอนไปพักใหญ่เหมือนกัน
“ข้าไม่คิดว่าข้าจะไปชนเข้ากับก้อนหิน ตอนนั้นข้ามึนงงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง”
นี่เป็นความจริง ลำพังความสามารถในการว่ายน้ำของเธอ เยี่ยนไหวจิ่งว่ายตามไม่ทันอย่างแน่นอน แต่เป็น เพราะเธอมีแรงมากตอนอยู่ในน้ำ เมื่อชนเข้ากับก้อนหิน แรงปฏิกิริยาจึงแรงเช่นกัน เธอรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้ ก็ถูกเยี่ยนไหวจิ่งลากขึ้นฝั่งไปแล้ว
“ท่านอย่าไม่พูดไม่จาสิ ท่านเงียบอย่างนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ข้าคิดมากนะ” เธอบอกความรู้สึกของตนเองไปตามตรง
เยี่ยนจิ่วเฉาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า “ผู้หญิงของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่จำเป็นต้องทำร้ายตนเองเพื่อหลอกผู้อื่นหรอก”
อวี๋หวั่นประหลาดใจ “ท่านโกรธเรื่องนี้เองหรือ…”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าโกรธเรื่องอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “ข้าคิดว่าท่านโกรธที่เขาช่วยข้าขึ้นมา โกรธที่ข้ากับเขา…”
เยี่ยนจิ่วเฉามองบนเพดานเตียง แล้วพูดตัดบทขึ้นมาว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าดีใจที่เขาช่วยเจ้า”
ไม่มีสิ่งใดเทียบกับเจ้าได้อีกแล้ว
อวี๋หวั่นชะงักไป ผู้ชายคนนี้สั่งเป็นสั่งตายคนได้ แต่กลับปฏิบัติต่อเธอดีอย่างไม่มีใครคาดคิด เขามักอารมณ์เสียอย่างที่คนอื่นไม่เป็น แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้มีนิสัยแย่ๆ อย่างคนอื่น
นี่แหละเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาของเธอ
อวี๋หวั่นจับมือของเขาเอาไว้เบาๆ
นิ้วมือเรียวของเขาสอดประสานกับนิ้วของเธอ
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างสบายใจ
“ท่านไม่หึงหรือ?”
“เงียบเสีย!”
นั่นแหละ เขากำลังหึง
อวี๋หวั่นมองเขาพลางหัวเราะน้อยๆ หลับตาลง เข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอข้างหู เยี่ยนจิ่วเฉาก็จับมือของอวี๋หวั่นเอาไว้แน่น ประหนึ่งจะบีบให้กระดูกของเธอแหลกคามือก็มิปาน ผ่านไปพักใหญ่เขาก็หายใจเข้าลึกๆ คลายแรงที่จับมือของเธอ จับมือของเธอเบาๆ แล้วหลับตาลง
เรื่องของคนหนุ่มสาวทั้งสองเป็นอันประจ่างแล้ว ทว่าหายนะของสวี่เสียนเฟยเพิ่งจะมาถึง จวนอัครมหาเสนาบดีไม่ยอมให้อภัยเยี่ยนไหวจิ่งง่ายๆ เช้าตรู่วันต่อมา ฮ่องเต้ทรงเรียกสวี่เสียนเฟยเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
สวี่เสียนเฟยมิได้ถูกเรียกให้เข้าเผ้ามาหลายวัน แต่จู่ๆ นางก็ไม่รู้สึกยินดีที่ได้เข้าเฝ้าขึ้นมา ใช้นิ้วโป้งเท้าคิดยังรู้เลยว่าฮ่องเต้จะบอกนางว่าอย่างไร ตลอดทางเดินไปยังห้องทรงพระอักษร นางได้แต่ขบคิดคำแก้ต่างให้เยี่ยนไหวจิ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าไม่มีประโยคใดได้ใช้เลย
“ฝ่าบาทว่าอย่างไรนะเพคะ? ฮองเฮา…ฮองเฮานาง…”
ฮ่องเต้มีสีหน้าจริงจัง “ร่างกายของนางไม่มีปัญหาแล้ว งานแต่งของเจ้าห้ายกให้นางดูแล!”
ฮองเฮาเพิ่งจะออกมาจากตำหนักเฟิ่งชีก็ได้จัดการงานแต่งของเฉิงอ๋องแล้วหรือ? แม้จะบอกว่าในตอนเด็กเฉิงอ๋องจะเคยอยู่ในตำหนักเฟิ่งชีระยะหนึ่ง ฮองเฮาก็นับว่าเป็นมารดาของเขาได้ การมอบหมายให้ฮองเฮาดูแลงานแต่งของเขานับว่าเหมาะสมแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดไม่ยกให้เป็นหน้าที่ของฮองเฮาไปตั้งแต่แรกเล่า? เห็นได้ชัดว่าจวนอัครหาเสนาบดีกราบทูลเรื่องนี้ไปแล้ว ฝ่าบาทจึงลงโทษพวกเขาแม่ลูกแทนจวนอัครมหาเสนาบดี!
หากฮองเฮาทำออกมาได้ดี ภายภาคหน้าก็คงจะได้ครอบครองตราประทับเฟิ่งอิ๋นอย่างปราศจากข้อกังขา?
สวี่เสียนเฟยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
………………………………………….