บทที่ 10 ความอ่อนโยนของพี่จิ่ว
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋เฟิงยังคงยืนต่อแถวอยู่ด้านนอกเป่าจือถัง เขาไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่ง น้องสาวของเขากำลังเจอเรื่องสะเทือนขวัญอยู่ เป่าจือถังมีหมอทั้งหมดสามคน สองคนออกไปตรวจโรคข้างนอก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องต่อแถวนานถึงเพียงนี้
โชคดีที่หมอคนที่ยังอยู่ที่นี่นั้นเป็นคนที่อวี๋เฟิงและอวี๋หวั่นเคยมาติดต่อเอาไว้ หมออาวุโสผู้นี้ตรวจคนไข้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และนั่นจึงทำให้แถวของคนไข้เคลื่อนตัวได้ช้า
เดิมทีอวี๋เฟิงประมาณการว่าช่วงบ่ายน่าจะได้เข้าไป ทว่าบัดนี้เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
ขณะที่อวี๋เฟิงกำลังทำใจว่าจะตนคงจะต้องรอจนถึงมืดค่ำ ทันใดนั้นเองก็มีรถม้าสองคันเคลื่อนมาด้านหน้าเป่าจือถัง หมออายุประมาณสี่สิบห้าสิบสองคนเดินถือกล่องยาลงมาจากรถม้า
ทั้งสองเดินเข้าไปในเป่าจือถัง
อวี๋เฟิงนึกในใจว่า หรือว่าจะเป็นหมอที่ออกไปตรวจข้างนอก?
ไม่นานเสมียนคนหนึ่งก็เดินออกมา และตะโกนบอกกับฝูงชนว่า “เอาละๆ! มาท่างนี้ ท่านหมอจี่ไม่ตรวจแล้ว หมอจาง…อะแฮ่ม หมอจางและหมอเหลียงจะมาตรวจต่อ”
“เอ๋? หมอของเป่าจือถังมิได้แซ่หลี่และแซ่หยางรึ? หมอสองคนนี้มาจากไหนกัน?”
คนไข้ซึ่งเคยมาเป่าจือถังหลายครั้งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
เสมียนกระแอมเล็กน้อย พร้อมกับตอบว่า “เป็นหมอใหม่ ความสามารถไม่เป็นรองหมอหลี่ หมอหยาง รวมไปถึงหมอจี่!”
“พวกข้าต้องการตรวจกับท่านหมอจี่!” คนไข้คนนั้นตั้งใจปลุกปั่นผู้คน
เสมียนผู้นั้นชักสีหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็รอไปเถอะ! วันนี้หมอจี่ตรวจเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะมาใหม่! หมอจางและหมอเหลียงเดินทางมาตรวจรักษาให้พวกเจ้า หมอทั้งสองท่านบอกว่า ไม่คิดเงินค่ารักษา…”
เสมียนยังมิทันพูดจบ ผู้คนก็รุดมาต่อแถวที่โต๊ะของหมอทั้งสองท่านแล้ว!
อวี๋เฟิงกำลังจะเดินไปเช่นกัน แต่เสมียนผู้นั้นเรียกเขาเอาไว้ “หมอจี่ตรวจได้เป็นคนสุดท้าย เจ้ามาเถอะ!”
อวี๋เฟิง “…”
เขาควรพูดว่าตนเองโชคดีหรือไม่?
คนไข้ซึ่งโวยวายในตอนแรกก็เบียดฝูงชนเข้ามา “ข้าๆๆๆ! ข้าอยู่ข้างหน้าเขา!”
เสมียนทำสีหน้าเย็นชา “เจ้าหลบไป”
ในหัวของอวี๋เฟิงมิได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเสมียนเรียกให้เขาไปพบหมอจี่ เขาจึงเดินไปพยุงบิดาลงจากรถม้า
เสมียนนำสองพ่อลูกไปยังห้องตรวจแยก หมอจี่รออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นอวี๋เฟิง ก็จดจำเขาได้ทันที “เป็นเจ้านั่นเอง พ่อหนุ่ม”
อวี๋เฟิงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านหมอจี่จำข้าได้ด้วยหรือ?”
ใบหน้าของหมอจี่แต้มด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามากับน้องสาวใช่ไหม ข้าบอกพวกเจ้าว่าให้มาปีถัดไป ไฉนพวกเจ้ารอจนถึงตอนนี้เล่า?”
อวี๋เฟิงตอบอย่างกระดากใจ “พวกข้าควรจะมาตั้งนานแล้ว แต่ที่บ้านเกิดเรื่อง ทำให้ช้าไปสักหน่อย”
หมอจี่ชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งเถิด”
ลุงใหญ่นั่งลง
ปีนี้หมอจี่อายุหกสิบปี ผมและหนวดเคราเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ทว่าสติสัมปชัญญะยังคงดีเยี่ยม ลุงของเขาและเจ้าของเป่าจือถังเป็นคนบ้านเดียวกัน หลังจากที่เขากลับมาจากกองทัพ เจ้าของเป่าจือถังก็เชิญเขามา
ในค่ายทหาร เขารักษาคนไข้บาดเจ็บมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีประสบการณ์ในด้านนี้มากพอสมควร
เขาเห็นท่าทางกระวนกระวายของลุงใหญ่ จึงกล่าวปลอบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ให้ข้าดูขาสักหน่อย”
อวี๋เฟิงนั่งยอง พับขากางเกงของลุงใหญ่ขึ้น
หมอจี่ตรวจอาการคร่าวๆ โดยใช้นิ้วผอมเคาะบนหัวเข่าและกระดูก “เจ็บหรือไม่?”
ลุงใหญ่พยักหน้า
“นอนลง ให้ข้าตรวจ” หมอจี่ชี้ไปยังเตียงในห้อง
อวี๋เฟิงพยุงลุงใหญ่ขึ้นนอนบนเตียง
หมอจี่ตรวจโดยละเอียด ทั้งถามว่าได้รับบาดเจ็บวันไหน รักษามาอย่างไรบ้าง แม้แต่ตำรับยาที่ใช้มาตลอดสองปีก็ไม่มีตกหล่น
สองปีที่ผ่านมา อวี๋เฟิงล้วนเสาะแสวงหาหมอจากทุกสารทิศ แต่หมอที่ตรวจอาการอย่างละเอียดเฉกเช่นหมอจี่นั้นหาได้ยากยิ่ง ครานี้ ในใจของอวี๋เฟิงจึงอดมีความหวังไม่ได้ “ท่านหมอจี่ ขาของพ่อข้ามีหาทางรักษาให้หายหรือไม่?”
หมอจี่ลูบเคราขาว “เมื่อครั้งข้าอยู่ในกองทัพ ก็เจอผู้ป่วยที่มาอาการคล้ายคลึงกัน ข้ารักษาไม่หาย”
อวี๋เฟิงหน้าถอดสีทันที
หมอจี่กล่าวว่า “แต่มีหมอเทวดาท่านหนึ่งซึ่งผ่านทางมารักษาหาย ข้าจำตำรับยาที่เขาใช้ในตอนนั้นได้ แล้วก็ยังจำได้ว่าเขาฝังเข็มและรมยาอย่างไร สิ่งที่ต่างกันก็คือ ระยะเวลาที่คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บนั้นสั้นกว่าพ่อเจ้าสักหน่อย พ่อเจ้าได้รับบาดเจ็บมาสองปีแล้ว กรณีของเขายังไม่ถึงหนึ่งปี”
กว่าอวี๋เฟิงจะระงับความวิตกของตนเองได้ก็แทบแย่ บัดนี้เขากลับมารู้สึกกังวลอีกครั้ง “เช่นนั้น…สรุปแล้วรักษาได้หรือไม่?”
หมอจี่กล่าวว่า “แม้ไม่อาจบอกได้ว่าจะไร้ข้อผิดพลาด แต่ก็ลองดูได้”
ลอง?
เมื่อได้ยินคำนั้น สองพ่อลูกก็มีสีหน้าสลดลงทันที หมอกี่คนต่อกี่คนก็ล้วนแต่กล่าวคำพูดเหล่านี้ พวกเขารู้สึกชาไปทั้งร่าง เพราะผลสุดท้ายก็มิได้น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นก็ลองดู!”
อวี๋หวั่นเดินเข้ามาในห้อง
หมอจี่มองไปยังอวี๋หวั่น ที่จริงแล้วเหตุที่หมอจี่จำอวี๋เฟิงได้ ก็เพราะเขาจำแม่นางซึ่งอยู่ข้างกายอวี๋เฟิงคนนี้ได้ ในชีวิตนี้ เขาพบผู้คนมากหน้าหลายตา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพานพบสตรีที่มีบุคลิกสงบเยือกเย็นเช่นนี้ จะว่างาม ก็เรียกว่างาม ที่จดจำอวี๋หวั่นได้ก็คงเป็นเพราะ…นางดูแตกต่างกระมัง
“ท่านหมอจี่” อวี๋หวั่นเอ่ยทักทางอย่างเกรงอกเกรงใจ
หมอจี่พยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะออกใบสั่งยา”
อวี๋หวั่นพูดเสียงค่อยว่า “ท่านหมอจี่เชิญ”
หมอจี่ตวัดปลายพู่กันเขียนใบสั่งยาอย่างแม่นยำ แล้วยื่นให้สองพี่น้อง “เจ้านำไปให้คนหยิบยา”
“เท่าไหร่หรือ?” อวี๋เฟิงรับใบสั่งยามา เขารู้เพียงบางตัวอักษร ทว่าไม่มาก ดังนั้นในใบสั่งยาเขียนว่าอย่างไร เขาล้วนอ่านไม่ออก
หมอจี่กล่าวว่า “หนึ่งร้อยตำลึง”
กล่าวจบก็ก้มหน้าเขียนใบสั่งยาต่อ
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “อะไรนะ? หนึ่งร้อยตำลึง? ไฉนจึงแพงเช่นนั้นเล่า?”
หมอจี่อธิบาย “ในนั้นมีบัวหิมะเทียนซานกับโสมสองร้อยปีอีกหนึ่งกิ่ง”
อวี๋เฟิงฟังไม่รู้เรื่องว่าบัวหิมะไม่หิมะอะไร เขารู้เพียงว่าราคานั้นแพงเกินไป “ท่านหมอ ท่านไม่ได้โกงพวกเราหรอกกระมัง?”
หมอจี่แค่นหัวเราะ “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็เอาใบสั่งยานี่ไปร้านอื่นก็ได้ เป่าจือถังเปิดมานาน ไม่ทำเรื่องเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นหรอก”
“แต่ว่า…”
อวี๋เฟิงอยากจะพูดต่อ แต่อวี๋หวั่นดึงแขนของเขาเอาไว้ “พี่ใหญ่ หนึ่งร้อยตำลึงข้าจ่ายได้”
เงินที่ได้จากการค้าของพวกเขานั้นก็นำไปลงทุนหมดแล้ว แต่เงินที่ได้จากการรักษาเจ้าแมวอ้วน รวมทั้งสิ้นเป็นเงินหนึ่งร้อยก้อนทอง และบังเอิญว่าเงินจำนวนนั้นเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงพอดี
ลุงใหญ่อ้าปากค้าง อวี๋หวั่นก็ตัดบทว่า “ลุงใหญ่ เรื่องนี้ฟังข้าเถอะ”
“เดี๋ยวข้าจะฝังเข็มและรมยาให้” หมอจี่บอกกับลุงใหญ่ แล้วหันไปทางปากประตู “อันจื่อ”
เสมียนผู้ที่เดินนำอวี๋เฟิงมาในตอนแรกก็เดินเข้ามา และพยุงลุงใหญ่ไปยังห้องฝังเข็ม
อีกด้านหนึ่ง หมอจี่ก็เขียนใบสั่งยาใบที่สองและใบที่สามเสร็จเรียบร้อย “ทั้งหมดสามร้อยตำลึง”
อวี๋เฟิงตะลึงจนอ้าปากค้าง “เหตุใดจึงกลายเป็นสามร้อยตำลึงได้เล่า?!”
หมอจี่ตอบว่า “ใบสั่งยาหนึ่งใบเป็นตัวยาสำหรับสิบวัน ต้องกินอย่างน้อยหนึ่งเดือนเต็มๆ”
“น…นี่” นี่ก็คือการโกงมิใช่รึ!
หมอจี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขามิได้โกง ในตอนนั้น หมอเทวดาผู้นั้นก็ใช้ตำรับยานี้ หมอเทวดาเก็บค่ารักษาแพงกว่าเขาสองเท่าตัว จะรักษาคนได้ ก็ขึ้นอยู่กับเงินเช่นกัน อีกอย่าง เขาไม่ได้เปิดร้านยาเอง ไม่ใช่ว่าเขาบอกลดราคาแล้วจะลดราคาได้
“กินสิบวันแล้วรอดูผลก่อนไม่ได้หรือ?” อวี๋เฟิงถาม
หมอจี่จึงกล่าวว่า “ได้สิ แต่ว่าโสมสองร้อยปีกับบัวหิมะเทียนซานมิใช่ตัวยาที่หาได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าเจ้ามา จะหาซื้อได้หรือไม่”
นี่เป็นเรื่องจริง เขามิได้จงใจพูดชักจูงเพียงเพื่อให้พวกเขาซื้อยา
อวี๋เฟิงรูู้สึกตื่นตระหนก “พวกเราจะไปหาเงินมากเพียงนั้นได้จากไหน”
ในตอนที่อวี๋หวั่นออกจากบ้านมา เธอนำเงินมาเพียงหนึ่งร้อยตำลึง เดิมทีคิดว่าจะสามารถจ่ายเป็นค่ารักษาได้สามถึงห้าครั้ง ไม่ได้คิดว่าจะต้องจ่ายเงินทั้งหมดในครั้งเดียว มิหนำซ้ำยังไม่พอจ่ายอีกด้วย
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็มีมือเรียวดุจหยกยื่นมาจากด้านหลังของเธอ วางตั๋วแลกเงินมูลค่าสามร้อยตำลึงลงบนโต๊ะ
อวี๋หวั่นหันหลังไปมอง กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยลอยมา ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากเกินไป เธอจึงตัดสินใจขยับไปด้านข้าง
หมอจี่มองไปยังผู้มาใหม่ด้วยสายตาประหลาด
บุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ ลักษณะท่าทาง ล้วนสง่างามอย่างผู้สูงศักดิ์
“ไม่พอรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อหมอจี่ตั้งสติได้ ก็มองไปยังตั๋วแลกเงินบนโต๊ะ “พอแล้วๆ สามร้อยตำลึงพอดี พ่อหนุ่ม เจ้านำเงินกับใบสั่งยาไปรับเงินที่ร้านยาด้านหน้าเถิด”
ประโยคนี้เขาพูดกับอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก หมอจี่เรียกเขาถึงสองครั้ง เขาถึงจะหยิบตั๋วแลกเงินและใบสั่งยา แล้วเดินออกไปด้วยความงุนงง
หมอจี่มองเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วมองไปยังอวี๋หวั่น ก็ตระหนักได้ว่าตนเป็นส่วนเกิน เขากระแอมครั้งหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่รับรู้แล้วเดินออกไป
ในห้องเหลือเพียงพวกเขาทั้งสอง
รัศมีแห่งอำนาจที่แผ่มาจากเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้รู้สึกประหนึ่งหายใจไม่ออก ขนตาของอวี๋หวั่นสั่นเล็กน้อย “…ขอบคุณนะ ข้าจะคืนเงินให้ท่าน ข้ามีเงินอยู่ในนี้สิบตำลึง คืนให้ส่วนหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือข้าจะหาวิธีนำมาคืนให้”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็เปิดกระเป๋าเงิน และนำเงินซึ่งได้จากการรักษาเจ้าก้อนอ้วนกลมออกมา “นี่”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่รับ
อวี๋หวั่นก้าวขึ้นไปด้านหน้า ดึงมือเยี่ยนจิ่วเฉาออกมา แล้วยัดทองหยวนเป่าใส่มือของเขา
ระหว่างที่อวี๋เฟิงกำลังรอยา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนทิ้งน้องสาวเอาไว้ เขาจึงรีบกลับไปหาอวี๋หวั่นด้านใน ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเดินถึงปากประตู ก็เห็นว่าน้องสาวของเขากำลังจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา เขาพลันตกใจจนตัวสั่น จนถุงยาในมือร่วงลงบนพื้น
อวี๋หวั่นได้ยินเสียงถุงยาตกพื้น ก็รีบดึงมือกลับไป
เยี่ยนจิ่วเฉากลับหันหน้ามาอย่างเยือกเย็น แล้วมองไปยังอวี๋เฟิงซึ่งบัดนี้ตกใจประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด “มีเรื่องอะไรหรือ?”
อวี๋เฟิงถึงกับพูดติดอ่าง “ไม่ๆ…มะ…ไม่มีอะไร…”
ใครกันแน่ที่ถูกจับได้…
……
เงินที่เยี่ยนจิ่วเฉาจ่ายไป ทำให้พวกเขาได้รับยาที่ลุงใหญ่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด หมอจี่ฝังเข็ม รมยา และนวดให้ลุงใหญ่ ร้านยาให้ยาตำรับแรก หลังจากได้รับยา ลุงใหญ่ก็เริ่มง่วงและ ‘หมดสติ’ ไปหลังจากนั้นไม่นาน
“พ่อข้าเป็นอะไรหรือ?” อวี๋เฟิงเอ่ยถามด้วยความวิตก
หมอจี่หัวเราะ “ยาออกฤทธิ์แล้วละ เจ้าไม่ต้องกังวล ให้เขานอนสักพัก ไม่ต้องปลุกเขา รอเขาตื่นมาก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก”
อวี๋เฟิงยังคงตะขิดตะขวงใจ แต่ในเมื่อเริ่มรักษาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดครึ่งๆ กลางๆ ค่ายาก็ราคาตั้งสามร้อยตำลึงเชียวนะ! อวี๋เฟิงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจะหาเงินมาคืนได้อย่างไร…
ลุงใหญ่ยังหลับอยู่แบบนี้ จะกลับหมู่บ้านก็คงไม่ได้ อวี๋หวั่นคิดว่าจะพักโรงเตี๊ยม แต่กลับถูกลุงวั่นซึ่งตามมาทีหลังพาไปยังเรือนอีกหลังหนึ่ง
เรือนนั้นไม่ไกล ห่างจากเรือนคุณชายเพียงไม่เท่าไร
เดิมที หากจะไปจวนคุณชายก็มิใช่ปัญหา แต่เหตุผลข้อที่หนึ่งก็เพราะพระชายาอยู่ที่นั่น ลุงวั่นคิดว่าไม่พาคนนอกเข้าไปย่อมดีกว่า เหตุผลข้อที่สอง อวี๋หวั่นไม่อยากให้ลุงใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้วถามว่าพวกเขาอยู่ที่ใด เช่นนั้นเธอต้องพยายามระงับความตื่นตระหนกและบอกเขาไปว่าอยู่ที่จวนคุณชาย
เรือนหลังนั้นเป็นเรือนซันจิ้น[1] ประตูด้านหน้าดูไม่สะดุดตานัก แต่เมื่อเข้าไปแล้วราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ลานด้านนอกเก็บกวาดเป็นอย่างดี มีต้นไผ่เรียงราย เมื่อเข้าไปด้านในมีบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ และด้านในสุดมีต้นอู๋ถงต้นใหญ่ อายุนับร้อยปีเห็นจะได้
อยู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งแวบขึ้นมาในสมองของอวี๋หวั่น เฟิ่งหวงทำรังบนต้นอู๋ถง[2]
อวี๋หวั่นถูกจัดแจงให้พักห้องด้านในสุด ส่วนลุงใหญ่และอวี๋เฟิงพักห้องด้านหน้า
หลังจากที่ห่มผ้าให้ท่านพ่อของตนแล้ว อวี๋เฟิงก็ไปหาอวี๋หวั่น “ระหว่างเจ้าเจ้ากับเยี่ยนจิ่วเฉา เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจเขามาแสนนาน เขานึกอยากถามตั้งแต่ที่น้องสาวช่วยชีวิตผู้จัดการชุยจากเงื้อมมือของเยี่ยนจิ่วเฉา เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามอย่างไรดี
“ขะ…เขาคงไม่ได้…”
อวี๋เฟิงรู้สึกเคอะเขินที่จะกล่าวออกไป
“พี่ใหญ่คิดมากแล้ว เขาไม่ได้อะไรกับข้าทั้งนั้นแหละ” ก็เพียงเข้าใจผิดว่าเธอคิดอะไรกับเขา เรื่องนี้ถ้าจะพูดกับอวี๋เฟิงก็คงไม่ดีนัก
อวี๋เฟิงเชื่อว่าน้องสาวของเขาทำสิ่งใดย่อมมีขอบเขต แต่ในฐานะพี่ชาย เขาก็มีเรื่องที่จำเป็นต้องเตือน “ไม่ได้อะไรก็ดีแล้ว คุณชายคนนี้ชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก ข้ากลัวว่าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้วจะมาทำอะไรเจ้า ข้าว่าพวกเราไม่ควรไปหาเรื่องเขาจะดีกว่า”
“เขาจะทำอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
อวี๋เฟิงหน้าแดงก่ำ “จะเป็นเรื่องอะไรไปได้? ผู้ชายกับผู้หญิง…”
อวี๋หวั่นแอบคิด อาจจะเป็นจูบเธอ กอดเธอ หรือถือโอกาสมีอะไรกับเธอ?
ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาของคนคนนั้นแล้ว เธอก็ไม่ได้ขาดทุนสักหน่อยนะ…
………………………………………
[1] เรือนซันจิ้น คือเรือนแบบซื่อเหอย่วนของจีน ประกอบไปด้วยพื้นที่สามส่วน คือลานหน้าบ้าน ลานในบ้าน และลานหลังบ้าน นับเป็นสามทางเข้า หรือซันจิ้น
[2] เฟิ่งหวงทำรังบนต้นอู๋ถง เปรียบเปรยถึงผู้มีความสามารถจะเลือกผู้ที่ตนจะรับใช้หรือทำงานด้วย