หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 130 คนที่จะถูกจัดการก็คือเจ้า

บทที่ 130 คนที่จะถูกจัดการก็คือเจ้า

Ink Stone_Romance

ซูมู่ยังคงงุนงง
เถาเอ๋อร์เดิมทีเฝ้าอยู่นอกห้อง เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นก็กระวีกระวาดเข้ามา “ฮูหยินน้อย เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นเบือนหน้าหนี “เจ้าดูเองก็แล้วกัน”
เถาเอ๋อร์มองไปยังน้ำชาสีเข้มบนโต๊ะ รวมไปถึงปิ่นเงินที่เปลี่ยนเป็นสีดำซึ่งวางอยู่ข้างถ้วยชา เถาเอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง “นะ…ในน้ำชา…มีพิษ?”
ซูมู่กำหมัดแน่น สายตาจ้องเขม็งไปยังอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อย!”
อวี๋หวั่นเผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว “ซูมู่หนาซูมู่ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ ข้าเพียงไม่ยินยอมให้เจ้าย้ายกลับมาเรือนชิงเฟิง เจ้าถึงกับลงมือกับข้าเช่นนี้”
ในตอนนั้นเอง หลีเอ๋อร์และจื่อซูก็ตามมา ปั้นซย่าได้ยินก็ตามมาเช่นกัน ทั้งสามบังเอิญมาได้ยินคำพูดของอวี๋หวั่นเข้าพอดี จึงอดรู้สึกตื่นตะลึงไม่ได้
ซูมู่อยากกลับไปเรือนชิงเฟิง?
ฮูหยินน้อยไม่เห็นด้วย?
นางจึงคิดแผนร้ายขึ้นมา?
ทั้งสามมองหน้ากันไปมา พวกนางยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น
จื่อซูเดินนำเข้าไป ตามด้วยปั้นซย่าและหลีเอ๋อร์
ทั้งสามมายืนข้างเถาเอ๋อร์ มองไปยังฮูหยินน้อยซึ่งมีสีหน้าทุกข์ทรมาน แล้วจึงมองไปยังซูมู่ซึ่งมีสีหน้าราวกับกำลังกล้ำกลืนฝืนทนอะไรบางอย่าง พวกนางกระตุกแขนเสื้อของเถาเอ๋อร์
“เกิดอะไรขึ้น?” จื่อซูกระซิบถาม
เมื่อครู่เถาเอ๋อร์ตามซูมู่มาที่นี่ ได้ยินฮูหยินน้อยกล่าวว่า ‘ได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องอยากพบข้า’ นางย่อมต้องคิดว่าที่ฮูหยินน้อยเรียกซููมู่มาพบก็เพราะซูมู่ต้องการพบนางก่อน บวกกับเมื่อฮูหยินกล่าวโทษซูมู่ว่าวางยานาง นางก็พอจะเดา ‘ที่มาที่ไป’ ของเรื่องนี้ได้
เถาเอ๋อร์ตอบว่า “ซูมู่อยากกลับมาเรือนชิงเฟิง แต่ฮูหยินไม่ยอม จากนั้นซูมู่จึงวางยาพิษฮูหยิน”
ทั้งสามตื่นตะลึง ซูมู่วางยาพิษฮูหยิน? มะ…มันเป็นไปได้อย่างไร? ซูมู่เป็นคนดีถึงเพียงนี้ เป็นการเข้าใจผิดหรือไม่?
ซูมู่อ้าปากคล้ายกับกำลังจะพูด
อวี๋หวั่นไม่เปิดโอกาสให้นางโต้แย้ง “ทำไม? ไม่ยอมรับรึ? ในห้องนี้มีเจ้าและเถาเอ๋อร์เข้ามา หากไม่ใช่เจ้า ก็ต้องเป็นเถาเอ๋อร์รึ?”
“บ่าวไม่ได้ทำนะเจ้าคะ!” เถาเอ๋อร์สีหน้าจริงจัง
แน่นอนว่าเถาเอ๋อร์ไม่ได้ทำ ทว่าซูมู่ก็ไม่ได้ทำมิใช่หรือ? อวี๋หวั่นเป็นคนใส่ยาพิษด้วยตนเอง แต่ซูมู่ไหนเลยจะกล้าพูด พูดไปแล้วจะมีใครเชื่อ? ฮูหยินน้อยแห่งจวนคุณชายจะถึงกับวางยาพิษตนเองเพียงเพื่อจัดการกับสาวใช้เพียงคนเดียวเชียวหรือ?
ทันใดนั้น ลุงวั่นก็เข็นเยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
อวี๋หวั่นทำหน้าเศร้าราวกับไม่อยากพูด
จื่อซูเป็นหัวหน้าสาวใช้ จึงรายงานว่า “เรียนคุณชาย ฮูหยินน้อยเห็นกับตาว่าซูมู่วางยาพิษเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาถมึงทึงขึ้นทันที
ลุงวั่นตื่นตะลึง “ซะ…ซูมู่วางยาพิษรึ?”
“ข้าไม่ได้ทำ” ซูมู่ตอบ
อวี๋หวั่นทำสีหน้าฉงนใจ “เจ้าไม่ได้ทำ เถาเอ๋อร์ก็ไม่ได้ทำ แล้วข้าทำรึ?”
อวี๋หวั่นพูดเช่นนี้ นับเป็นการตัดทางหนีทีไล่ของซูมู่ ต่อให้นางบอกไปว่านางเห็นกับตาว่าอวี๋หวั่นเทยาลงไป สำหรับผู้อื่นแล้ว อย่างมากก็เป็นแค่เพียงการแก้ตัว
ซูมู่กำหมัดจนเล็บแทบจิกเข้าไปในผิวหนัง บัดนี้ใบหน้าไร้ความรู้สึกดูราวกับมีความรู้สึกขึ้นมาในที่สุด “…ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”
“ฮูหยินน้อยเห็นกับตาหรือว่านางใส่ยาพิษลงไป?” ลุงวั่นถาม
อวี๋หวั่นตอบว่า “ไม่เห็น แต่นางเป็นคนรินชาถ้วยนี้ให้ข้า นางคงไม่รู้ว่าข้าเป็นหมอ ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าผิดปกติ ชาในกาไม่มีพิษ แต่น้ำชาถ้วยนี้ที่นางรินให้นั้นมีพิษ ลุงวั่นคิดว่าหากไม่ใช่นาง แล้วจะเป็นผู้ใดหรือ?”
“เรื่องนั้น…” เมื่อลุงวั่นถูกถามกลับจึงพูดไม่ออก เขามิได้สงสัยในตัวอวี๋หวั่น แต่เขาก็ไม่คิดว่าซูมู่จะทำเรื่องโง่เง่า วางยาต่อหน้าเจ้านายเช่นนี้ นางยังอยากจะมีชีวิตอยู่หรือไม่กัน?
อวี๋หวั่นเดาออกแต่แรกแล้วว่าลุงวั่นจะสงสัย จึงพูดพลางทอดถอนใจ “ยาพิษที่ใส่ลงไปคือสารหนู ปริมาณไม่มาก หากข้ากินเข้าไปแล้วจะไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่ต้องรอเวลาอีกห้าหกชั่วโมง เมื่อถึงตอนนั้นข้างกายของข้าก็คงมีคนผ่านไปผ่านมาไม่รู้เท่าไร ยากที่จะตามหาตัวฆาตกร”
“แต่ว่า…” อวี๋หวั่นเปลี่ยนเรื่องในทันที “ข้าไม่ได้เห็นกับตาว่านางใส่ยาลงไป ไม่แน่ว่าอาจมีคนใส่ยาพิษไว้ในแก้ว นางบังเอิญมาหยิบแก้วที่มียาพิษเข้าพอดี”
ตั้งแต่เล็กจนโต เยี่ยนจิ่วเฉามักถูกคนลอบวางยาพิษเสมอ ลุงวั่นคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มาก อีกฝ่ายอาจเป็นยอดฝีมืออย่างอิ่งสือซัน และตั้งใจลงมือกับคุณชาย แต่กลับถูกอวี๋หวั่นพบเข้าเสียก่อน
อวี๋หวั่นพูดให้ผู้อื่นสงสัยซูมู่ ไม่สู้ถอยมาหนึ่งก้าว เพื่อกู้ชื่อกลับมาและให้ตนได้ชื่อว่ามีความยุติธรรม
เป็นดังคาด ลุงวั่นมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาชื่นชม “ฮูหยินเฉียบแหลมนัก เรื่องนี้ข้าจะให้คนไปสืบโดยละเอียด พวกเจ้าไปเก็บชุดน้ำชาในห้องมาให้ข้า”
ประโยคนี้เขาพูดคำพวกเถาเอ๋อร์
จื่อซูมิได้ขยับตัว มีเพียงเถาเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์ และปั้นซย่าเท่านั้นที่ไปยกชุดน้ำชามา
หลังจากการแสดงจบลง อวี๋หวั่นก็มองไปยังซูมู่ “เจ้าออกไปก่อน เรือนจู๋เยวี่ยเป็นที่พักของพี่รองข้า ข้าให้เจ้าไปดูแลหมายความว่าข้าให้ความสำคัญกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ทรยศต่อความหวังดีของข้า”
ลุงวั่นซึ่งเพิ่งจะเดินออกไปไม่ไกลได้ยินคำพูดนี้อย่างครบถ้วน
ซูมู่ออกไป
“เจ้าก็ไปทำงานต่อเถอะ” อวี๋หวั่นบอกจื่อซู
“เจ้าค่ะ” จื่อซูออกไปจากห้อง และขณะที่ปิดประตู นางก็บังเอิญไปสบสายตากับอวี๋หวั่นเข้าพอดี นัยน์ตาของนางกระตุกวูบหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตา
หลังจากที่จื่อซูออกไป อวี๋หวั่นก็มองเยี่ยนจิ่วเฉา “จื่อซูรู้แล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘โอ้’ แล้วพูดว่า “เจ้าจะไปอธิบายหรือไม่?”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ท่านคิดอะไรอยู่? เหตุใดต้องคอยอธิบายให้ใครฟังด้วย? จื่อซูไม่ได้โง่ นางไม่เอาไปพูดหรอก พูดไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอง”
นางเก็บความลับของซูมู่ได้ ก็ย่อมต้องเก็บความลับของเธอได้เช่นกัน นางไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัว เช่นนี้จึงจะเรียกว่าคนฉลาด
“มีความสุขแล้วใช่ไหม?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามอวี๋หวั่น
แน่นอนว่ามีความสุข ในที่สุดเธอก็ได้เห็นสีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเธอหลายวันมานี้บนใบหน้าของซูมู่ อวี๋หวั่นเผยรอยยิ้มที่คนวัยเธอพึงมีออกมา เธอเดินไปข้างเยี่ยนจิ่วเฉา นั่งยองลงแล้วจับแขนของเขาเอาไว้ “เยี่ยนจิ่วเฉา…”
“มือ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาดุอีกแล้ว
อวี๋หวั่นดึงมือกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
จับแขนตอนกลางวันก็ยังไม่ได้ ตกลงว่าเป็นสามีของเธอจริงหรือเปล่าเนี่ย?
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคือง ทันใดนั้นเธอก็ใช้จังหวะที่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ทันระวังตัว หอมแก้มของเขา จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเดินออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าร้อนผ่าว ร้อนไปจนถึงส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในหัวใจของเขา
อวี๋หวั่นเดินออกมา เร็วเกินไป ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกินราวกับจูปาเจี้ย[1]กินผลไม้ ยังไม่ทันได้ลิ้มลองรสชาติเลย…
เดี๋ยวก่อน ทำไมเธอถึงเปรียบเทียบไปเรื่อยเปื่อยอย่างนี้? เธอเป็นจูปาเจี้ยแล้วเขาเป็นผลไม้หรือ?
แต่ว่า นุ่มมากเลย
อวี๋หวั่นลอบยิ้มมุมปาก
ด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นสุขกายสบายใจ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซูมู่มิได้โชคดีถึงเพียงนั้น เรื่องของเรือนชิงเฟิงแพร่สะพัดไปทั่วจวน ทุกคนต่างรู้ว่าซูมู่ไม่พอใจกับการถูกฮูหยินน้อยย้ายไปยังเรือนจู๋เยวี่ย แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่ฮูหยินทำไม่เหมาะสม แต่พวกเขารู้สึกว่านี่คือเรื่องหนึ่ง ในใจของซูมู่ยังคงโกรธแค้นนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรเสียแต่ไหนแต่ไรมาซูมู่มิได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับผู้ใด แต่กลับสนใจผลได้ผลเสียน่ะหรือ?
แน่นอนว่าพวกเขามิได้ปักใจเชื่อว่าซูมู่เป็นคนวางยาพิษ
ดังที่กล่าวว่าน้ำแข็งหนาสามฉื่อมิได้เกิดขึ้นในความหนาวเหน็บเพียงคืนเดียว ตรรกะข้อนี้อวี๋หวั่นเข้าใจดี
อวี๋หวั่นเดินไปยังเรือนจู๋เยวี่ยอย่างไม่รีบร้อน บ่าวในเรื่อนจู๋เยวี่ยล้วนแต่ถูกอิ่งสือซันหลอกล่อออกไปแล้ว ซูมู่นั่งยองอยู่ที่แปลงดอกไม้ กำลังใช้เสียมขุดดิน เมื่อเห็นเงาปรากฏบนพื้นดิน ซูมู่หยุดการเคลื่อนไหวทันที
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ความจริงเปิดเผยแล้วสินะ”
ซูมู่กำหมัดแน่น นางลุกขึ้น ค่อยๆ คำนับอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อย”
“เดินไปเป็นเพื่อนข้าหน่อย” อวี๋หวั่นบอก
ซูมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววางเสียมลง
อวี๋หวั่นหันหลังเดินออกไปจากลานบ้าน
ซูมู่จ้องแผ่นหลังของอวี๋หวั่น นางเค้นกำปั้นแน่น นัยน์ตาของนางเย็นเยียบ
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นโดยมิได้แม้แต่จะหันหลังมามอง “ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดลงมือ”
กำปั้นของซูมู่ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย
อวี๋หวั่นเดินไปข้างสระน้ำ พลางมองไปยังผิวน้ำสงบนิ่ง “เจ้าทำให้จื่อซูตกน้ำที่นี่กระมัง?”
ซูมู่ถามอย่างไม่ร้อนรน “บ่าวไม่เข้าใจว่าฮูหยินน้อยกำลังพูดถึงอะไรเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว ที่นี่ไม่มีผู้อื่น เรื่องของเจ้าไม่มีใครรู้นอกจากดิน ฟ้า ข้า และเจ้า เจ้าคิดหรือว่าข้าแย่งคุณชายน้อยและคุณชายมาจากเหยียนหรูอวี้แล้วเจ้าจะทำตามได้อย่างนั้นรึ? เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้ากับเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ คุณชายน้อยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หากเจ้าจะทำตามก็คงยาก”
ซูมู่ไม่ได้ตอบโต้
ความอดทนสูงจริงๆ เธออยากรู้เหมือนกันว่าจะอดทนไปได้ถึงเมื่อไร ก่อนหน้านี้นางต้องดูแลเด็กๆ ตอนนี้ไม่ต้องดูแลแล้ว อวี๋หวั่นไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อไป
อวี๋หวั่นมองไปยังซูมู่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “วิธีบางวิธีไม่ใช่ข้าทำไม่ได้ เพียงแต่ข้าไม่อยากทำ เช่น…อย่างนี้”
ขณะที่พูดไป อวี๋หวั่นก็คว้าเข้าที่คอของซูมู่ เธอไม่รอให้ซูมู่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็จับนางเหวี่ยงลงไปในน้ำ
ซูมู่ยกมือขึ้นมา ทว่าทันใดนั้นเอง ในมืออีกข้างของอวี๋หวั่นก็ถือเข็มเอาไว้ จากนั้นก็ปักสกัดจุดของซูมู่!
อย่าคิดจะสู้กับหมอ เพราะหมอรู้จุดตายทุกจุดบนร่างกายเจ้า
กำลังทั้งหมดของซูมู่สลายไปสิ้น
อวี๋หวั่นจับนางไว้ราวกับจับลูกไก่
อวี๋หวั่นมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
 “ขโมยลูกข้ารึ?”
อวี๋หวั่นกดนางลงไปในน้ำอย่างไร้ความปรานี
นางกระเสือกกระสนขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากเท่าไร ก็ไม่สามารถหลุดออกจากเงื้อมมือของอวี๋หวั่นได้
อวี๋หวั่นเหวี่ยงนางขึ้นมา
“ยั่วยวนสามีข้ารึ?”
แล้วจับนางกดลงในน้ำอีกรอบ
กว่าอวี๋หวั่นจะดึงนางขึ้นจากน้ำอีกรอบ ผมเผ้าของซูมู่ก็ยุ่งเหยิง นางสำลักน้ำไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ใบหน้าขาวซีด
ซูมู่จ้องมองอวี๋หวั่นด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทว่าผมยังไม่ทันร่วงก็ถูกอวี๋หวั่นจับกดลงไปในน้ำอีกครั้ง
ครั้งนี้ นางหมดสติไปใต้น้ำ
เมื่อซูมู่ตื่นมา ก็พบว่าตนมาอยู่บนเตียงในเรือนจู๋เยวี่ยแล้ว ปั้นซย่าและสาวใช้อีกสองสามคนเฝ้าอยู่ด้านข้าง
“ซูมู่  ซูมู่เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” ปั้นซย่าเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ซูมู่ร่างกายปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะมองผู้ใด
ปั้นซย่าจับมือของนางไว้ “เหตุใดเจ้าคิดไม่ได้นะ? ไม่มีใครคิดว่าเจ้าวางยาพิษหรอก ทำไมเจ้าต้องฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความผิดด้วยเล่า? หากไม่ได้ฮูหยินช่วยเจ้าไว้ ป่านนี้เจ้าไม่รอดแล้ว!”
ที่กล่าวว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็เป็นเช่นนี้แล
ซูมู่กำหมัดแน่น นางโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม
………………………………..
[1] จูปาเจี้ย คือ ตือโป๊ยก่าย ตัวละครจากเรื่องไซอิ๋ว

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset