บทที่ 15 จบลงแล้ว ชัยชนะครั้งใหญ่ ณ ชายแดน (1)
โดย
Ink Stone_Romance
โจรลักม้าถูกพาไปยังคอกวัวหลังใหม่ของซวนจื่อ จากวันนี้เป็นต้นไป ซวนจื่อจะเป็นผู้ควบคุมโจรลักม้าเหล่านี้
กว่าจะแก้ปัญหาเรื่องโจรลักม้าเรียบร้อยก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืน ชาวบ้านต่างก็ตกใจกลัวกันจนรู้สึกอ่อนเพลีย
“กลับบ้านไปพักผ่อนเถิด” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้น เขานึกบางเรื่องออก จึงมองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเข้าใจทันที มุมปากของเธอยกขึ้น “พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน ทุกคนอยู่บ้านพักผ่อนเถอะ”
ผู้คนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าการหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่พวกเขาเผชิญกับเรื่องน่าสะพรึงกลัวมาตลอดทั้งคืน ก็ล้วนต้องการเวลาสงบสติอารมณ์
“จะไม่กระทบกับกิจการใช่หรือไม่?” ป้าไป๋เอ่ยถาม นางมือไม้คล่องแคล่ว นางกับป้าหลัวทำงานแนวหลัง ซึ่งที่จริงแล้วก็คืองานเก็บกวาดและทำอาหารนั่นเอง
นางได้ยินมาว่า คนที่มาจากชนบทและอายุมาก ทำงานหนึ่งวันจะได้เงินเพียงสิบเหรียญทองแดง อาหวั่นกลับให้ตั้งยี่สิบเหรียญทองแดง นางรู้สึกขอบคุณคนสกุลอวี๋ ทั้งยังให้ความสำคัญกับงานนี้เป็นอย่างมาก
อวี๋หวั่นหัวเราะ กล่าวว่า “ไม่กระทบหรอก ป้าไป๋วางใจได้”
เธอไม่ได้กล่าวเช่นนี้เพียงเพราะความเกรงใจ แต่พวกเขายังไม่ได้เซ็นสัญญาส่งมอบสินค้ากับนายท่านฉินอย่างเป็นทางการ พวกเขาผลิตได้เท่าไรก็ขายไปเท่านั้น ไม่ได้มีกฎตายตัว
หลังจากนั้น ชาวบ้านต่างก็ทยอยกันไปแสดงความขอบคุณ ‘แขก’ ของบ้านสกุลอวี๋
หลังจากที่บ้านสกุลอวี๋เริ่มประกอบกิจการ มักมีแขกชั้นสูงมาหา ชาวบ้านต่างก็คิดว่าพ่อครัวเทพเป้าเป็นแขกที่มาเจรจาการค้ากับพวกเขาด้วยเช่นกัน
“ไม่ใช่แขกๆ!” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดด้วยความตื่นเต้น เถี่ยตั้นน้อยและเจินเจินต่างนอนหลับอยู่ในอ้อมอกของพี่ชายทั้งสอง นางโบกมือเป็นเชิงให้ทั้งสองพาเด็กน้อยกลับไปนอนที่บ้าน ประเดี๋ยวจะไม่สบายเสียก่อน
หลังจากที่พวกเขาพาน้องชายและน้องสาวไปแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็บอกกับชาวบ้านว่า “เป็นพ่อของน้องสาม!”
ปฏิกิริยาแรกของฝูงชนก็คือ พ่อของน้องสามไม่ใช่พ่อของสามีเจ้า? เขาเสียไปตั้งนานแล้ว คิดว่าพวกเราไม่รู้หรือ?
ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแรกที่เข้าใจ เขากล่าวอย่างตะลึงงันว่า “พะ…พ่อแท้ๆ ของน้องสามรึ?”
เรื่องที่อวี๋เซ่าชิงไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนายท่านสกุลอวี๋นั้นไม่ใช่ความลับ เพียงแต่ว่าผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว บุตรชายคนที่สามของสกุลอวี๋ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องตามหาบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ดังนั้นทุกคนจึงคิดเพียงว่าบุตรชายคนที่สามของสกุลอวี๋ ก็เป็นคนสกุลอวี๋ ตลอดชีวิตก็เป็นเช่นนั้น
“เอ่อ…” ผู้ใหญ่บ้านตกใจ “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ตอบว่า “เรื่องมันยาว สรุปแล้วคือ เป็นเพราะมีเกิดเรื่องขึ้น น้องสามจึงพลัดหลงกับครอบครัว”
บอกเป็นนัยได้ว่าอวี๋เซ่าชิงมิใช่เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง
ป้าสะใภ้ใหญ่พูดต่อ “หลายปีมานี้ครอบครัวของน้องสามตามหาเขามาตลอด สวรรค์ไม่เคยทอดทิ้งคนที่พยายาม ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องใหญ่!” ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกตื่นเต้น สองคนที่เขารู้สึกเคารพมากที่สุดในหมู่บ้านนี้ คนแรกคือลุงใหญ่ของอาหวั่น อีกคนหนึ่งก็คือบิดาของอาหวั่น ผู้ใหญ่บ้านอายุมากกว่าบิดาของอาหวั่นไม่กี่ปี เรียกว่ามองดูเขาเติบโตมาตลอดก็ย่อมได้ คนผู้นั้นมีปณิธาน เขาคิดเสมอว่าภายภาคหน้า คนผู้นี้จะต้องได้ทำการใหญ่ เพียงแต่มิได้คาดคิดว่าเขาประสบพบเจอกับเรื่องไม่ปกติมาตั้งแต่เกิดแล้ว บิดาของเขาสามารถ ‘ล้ม’ โจรลักม้าสามสิบคนในเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียวเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นผู้มีความสามารถระดับสูงกระมัง
ผู้ใหญ่บ้านเดินไปยังเบื้องหน้าของพ่อครัวเทพเป้า ยกมือขึ้นคำนับ “จะให้เรียกผู้อาวุโสว่าอย่างไรดี?”
“เป้า (鲍)” พ่อครัวเทพเป้าตอบ
หากผู้จัดการชุยอยู่ที่นี่ ย่อมต้องเดาได้ว่าอีกฝ่ายคือพ่อครัวเทพเป้าซึ่งชื่อเสียงก้องไกลในใต้หล้า ทว่าผู้ใหญ่บ้านนั้นต่างออกไป เขามิได้สนใจเรื่องนี้ จึงไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพ่อครัวเทพเป้ามาก่อน คิดเพียงว่าเป็นนามสกุลที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
เป้า(抱)?
มีนามสกุลนี้ด้วยรึ?
ผู้ใหญ่บ้านแสดงความขอบคุณด้วยอย่างจริงใจ เกริ่นไปได้เพียงเล็กน้อย ป้าไป๋ซึ่งอยู่ด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “หวังหมาจื่อ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เอ๋?”
เมื่อครู่แม่หม้ายหลิวถูกโจรลักม้ารังแก หวังหมาจื่อรุดเข้าไปใช้ร่างของตนกำบังแม่หม้ายหลิวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ในตอนนั้นชาวบ้านกำลังตกใจกลัวสุดขีด มีเพียงหวังหมาจื่อที่แสดงความกล้าหาญ มิได้เห็นแก่ตนเอง กระนั้นเมื่อป้าไป๋ร้องออกมา หวังหมาจื่อก็เผยสีหน้ารู้สึกผิด สีหน้าของฝูงชนก็ค่อนข้างซับซ้อน
หวังหมาจื่อคิดว่าจะแสร้งทำเป็นหูหนวกและเดินออกมา
ป้าไป๋คว้าแขนของเขาเอาไว้ “อย่าเพิ่งไป! อธิบายมาก่อน!”
หวังหมาจื่อเหลือบมองไปยังแม่หม้ายหลิวด้านหลังฝูงชน บุตรสาวของแม่หม้ายหลิวเข้าสู่นิทราไปแล้ว นางกำลังอุ้มบุตรสาวอยู่ นางก้มหน้างุด ทำอะไรไม่ถูก
หวังหมาจื่อร้อนรนจนไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร
ป้าไป๋กล่าวว่า “เจ้าชอบน้องหลิวใช่ไหม? ข้าบอกเจ้าเลยนะ สามีของน้องหลิวไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ไม่ได้ถูกรังแกได้ง่ายๆ หากเจ้ากล้าเอาเปรียบนางละก็ ข้านี่แหละจะจัดการเจ้าเป็นคนแรก!”
แม่หม้ายหลิวเป็นภรรยาของจู้จื่อ ครั้นจู้จื่อยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยทำงานอยู่ที่บ่อปลา เขาใช้ความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาที่พอจะมีอยู่บ้างหาเลี้ยงชีพ ภายหลังถูกจับไปเสริมทัพ บ่อปลาจึงถูกปล่อยร้าง
จู้จื่อตายในปีที่สองหลังจากเข้ากองทัพ บุตรสาวเพิ่งอายุครบหนึ่งปีเต็ม พ่อสามีจากไปนานแล้ว แม่สามีร่างกายไม่แข็งแรง เมื่อได้ยินข่าวร้ายของบุตรชาย นางก็ล้มป่วยหนักยิ่งกว่าเดิม และเป็นอัมพาตมาจนถึงทุกวันนี้
เงินบำเหน็จที่ได้จากทางการล้วนนำมารักษาแม่สามี ภาระอันใหญ่หลวงตกมาอยู่ที่แม่หม้ายหลิว ชีวิตของนางยากลำบาก จึงมีคนคิดจะเอาเปรียบนางอยู่ร่ำไป
หวังหมาจื่อรีบอธิบาย “ขะ…ข้าเปล่า! ข้าไม่ได้รังแกนาง!”
“เจ้าบอกว่าไม่ได้รังแกก็แปลว่าไม่ได้รังแกรึ!” ป้าไป๋ตวาดเสียงแหลม
“ขะ…เขา…เขาไม่ได้ทำ…จริงๆ”
เป็นแม่หม้ายหลิวที่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง
ฝูงชนหันหน้าไปมองนางพร้อมกัน นางรู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ
ป้าไป๋กล่าวว่า “น้องหลิว เจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าหนุนหลังอยู่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าหรอก ขอเพียงเจ้าบอกความจริง เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่?”
“ไม่ได้ทำ!” แม่หม้ายหลิวตอบอย่างกระวนกระวาย เมื่อตั้งสติได้ นางก็อุ้มลูกสาวขึ้นมากอด
ป้าไป๋เลิกคิ้ว “เจ้าพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าเจ้ายินยอมรึ?”
“อืม” แม่หม้ายหลิวพยักหน้า จากนั้นใบหน้าของนางก็ขาวซีด
ชาวบ้านยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แม่หม้ายหลิวผู้นี้ ถูกตาต้องใจหวังหมาจื่อเข้าเสียแล้ว!
อวี๋หวั่นแอบคิดในใจว่า หวังหมาจื่อจริงจังมาตั้งแต่ต้น ที่เขาไม่แต่งงานกับกัวเซี่ยนเยว่ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำ แต่เขามีคนในใจอยู่แล้ว และคนในใจของเขานั้นก็คือแม่หม้ายหลิวซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกันนั่นเอง
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน แม่หม้ายหลิวสู้กัวเซี่ยนเยว่ไม่ได้ อีกทั้งยังแต่งงานแล้ว มีบุตรแล้ว อายุมากกว่าหวังหมาจื่อสามปี แม้ว่าคุณสมบัติของหวังหมาจื่อจะไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร แต่ว่าในสถานการณ์ที่สามารถแต่งงานกับกัวเซี่ยนเยว่ได้ เขากลับ ‘รักษาความบริสุทธิ์’ เพื่อแม่หม้ายหลิว ก็นับว่าเขารักจริง
ภาพลักษณ์ของหวังหมาจื่อดีขึ้นมาในสายตาของอวี๋หวั่นทันที แม้ว่าจะยังโสด แต่กลับมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ซึ่งมีลูกมีภรรยาแล้วอีกเป็นไหนๆ
ป้าไป๋หัวเราะลั่น “ในที่สุดก็ยอมรับแล้วรึ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ หลังจากที่หวังหมาจื่อช่วยกัวเซี่ยนเยว่ เจ้าก็นั่งร้องไห้อยู่ในบ้านตั้งหลายรอบ!”
“ไอ้หยา!” แม่หม้ายหลิวอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ผู้ใหญ่บ้านถลึงตาใส่ป้าไป๋ “เจ้ามันปากไม่มีหูรูด ใครหน้าไม่อายเท่าเจ้าเห็นจะไม่มี!”
ป้าไป๋กลอกตา
“พะ…พวก…พวกเราไม่…ไม่มีอะไรจริงๆ…” หวังหมาจื่อพูดจาตะกุกตะกัก
สิ่งที่อวี๋หวั่นรู้เกี่ยวกับแม่หม้ายหลิวก็คือ นางทำงานอยู่ในโรงงาน หน้าที่หลักของนางก็คือบรรจุเต้าหู้ลงในไห นางเป็นคนเงียบๆ แต่ขยันขันแข็ง ป้าสะใภ้ใหญ่เคยแอบบอกกับอวี๋หวั่นว่า แม่หม้ายหลิวชีวิตลำบาก แม้ว่าจะทำงานได้ไม่ดี ก็อย่าไล่นางออกจากงาน
ไม่กี่ปีมานี้ ชายแดนมีศึกสงคราม บุรุษจำนวนมากเสียชีวิตในสนามรบ สตรีก็แต่งงานใหม่เพื่อเลี้ยงปากท้อง ถึงแต่งงานใหม่หลายรอบ ก็มิได้รับคำครหาจากผู้คนเท่าไรนัก ดังนั้นชาวบ้านก็ค่อนข้างยอมรับแม่หม้ายหลิวกับหวังหมาจื่อเช่นกัน
“ถือโอกาสที่ผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่นี่ จัดการเรื่องมงคลนี้ให้เรียบร้อยเถอะ” อวี๋หวั่นพูด
หวังหมาจื่อและแม่หม้ายหลิวมองไปยังอวี๋หวั่นอย่างเหลือเชื่อ
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ มองไปยังพ่อครัวเทพเป้าซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “ท่านปู่ว่าอย่างไร?”
พ่อครัวเทพเป้ากลับมองไปทางหวังหมาจื่อและแม่หม้ายหลิวอย่างใจลอย
“ท่านปู่?” อวี๋หวั่นเรียกเขา
พ่อครัวเทพเป้าได้สติกลับมา เขาเดินไปทางแม่หม้ายหลิวและหวังหมาจื่อ ภายใต้สายตาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยของอวี๋หวั่น
ทั้งสองคนมองไปยังชายชราผู้ซึ่งวางยาพิษโจรลักม้าสามสิบคน พวกเขารู้สึกวิตกจนทำอะไรไม่ถูก
พ่อครัวเทพเป้าหยิบผ้าออกมาจากอกเสื้อ เมื่อเปิดออกก็เห็นป้ายหยกรูปปลาคู่ เขาส่งชิ้นหนึ่งให้หวังหมาจื่อ อีกชิ้นหนึ่งให้แม่หม้ายหลิว
ทั้งสองมองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ท่านปู่ข้าให้เป็นสินน้ำใจ รับไว้เถอะ”
ทั้งสองจึงรับมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
……………………………………………