หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 240.2 นางเจียงฆ่าไม่เลี้ยง (2)

อวี๋หวั่นให้หน่วยกล้าตายบังคับรถม้าเข้าไปในตรอก เพื่อหาความเคลื่อนไหวของท่านแม่ของเธอ ส่วนเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปตามถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านเพื่อสืบข่าวของนางเจียง
“แม่นาง ท่านเห็นฮูหยินที่ส่วนสูงประมาณนี้ หน้าตาคล้ายกับข้าบ้างหรือไม่?” อวี๋หวั่นถามสตรีสูงอายุซึ่งตั้งแผงขายของอยู่
สตรีสูงอายุยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น”
“ท่านลองนึกดีๆ” อวี๋หวั่นบอก
สตรีสูงอายุยิ้ม “สตรีที่งามอย่างเจ้า หากข้าเคยเห็น ย่อมต้องจดจำได้”
อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณ แล้วดึงเยี่ยนจิ่วเฉาเดินต่อไป
สิ่งที่อวี๋หวั่นเองไม่ได้คาดคิดก็คือ วันนี้ผู้ที่ออกตามหาคนบนท้องถนนไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว
ราชบุตรเขยก็หายตัวไปเช่นกัน
หากกล่าวให้ชัดก็คือ จากไปโดยไม่ร่ำลา
ราชบุตรเขยก็เป็นเจ้านายในจวนประมุขหญิง เขาอยากไปไหนก็ไป ไม่มีผู้ใดรั้งเขาไว้ได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยหายไปข้ามคืน หากจำเป็นต้องเดินทางไกล เขาต้องเขียนจดหมายบอกประมุขหญิงว่าตนจะไปไหน
นี่เป็นครั้งแรกที่ราชบุตรเขยออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ผ่านไปสองคืนก็ยังไม่มีข่าวคราวกลับมา
ประมุขหญิงร้อนอกร้อนใจ แต่กลับไม่กล้าป่าวประกาศออกไป จึงทำได้เพียงส่งคนออกตามหาอย่างลับๆ ตามหาอยู่สองวัน ประมุขหญิงก็เริ่มนั่งไม่ติด ตนเองก็ออกมาตามหาเช่นกัน
มิได้คาดคิดว่าจะหาไม่พบ แต่ในแสงไฟริบหรี่ นางกลับเห็นใบหน้าของคนโหดเหี้ยมพุ่งออกมา
…ใบหน้าของตี้จีองค์โต!
ประมุขหญิงเคยเห็นหน้าตี้จีองค์โตเพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกก็ตอนเด็กๆ แต่ตอนนั้นนางยังเด็ก แทบจำเหตุการณ์ในตอนที่พบหน้านางไม่ได้แล้ว ครั้งที่สองก็หลังจากที่ตี้จีองค์โตปักปิ่น นางไปเผ่าปีศาจมาแล้วครั้งหนึ่ง และเจรจาต่อรองเรื่องพิธีสมรสกับอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ
นางเห็นพี่สาวซึ่งถูกหนานจ้าวทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ งดงามกว่านางสักสิบเท่าเห็นจะได้ ไม่น่าแปลกใจที่ท่านอ๋องแห่งเผ่าปีศาจยินยอมมอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้
นางคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้เจอคนผู้นั้นอีกแล้ว
แต่ใครไหนเลยจะคิดว่าคนผู้นั้นได้ปรากฏตัวต่อหน้าตนเองอีก?
ทว่า ใบหน้านั้นปรากฏเพียงชั่วพริบตาเดียวแล้วก็หายไป
ประมุขหญิงยืนกะพริบตาปริบๆ นางตาฝาดไปหรือ?
นางฝ่าฝูงชนไปด้านหน้า
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายื่นมือออกไปกดศีรษะของอวี๋หวั่น แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก
ประมุขหญิงเดินผ่านด้านหลังเยี่ยนจิ่วเฉาไป เพื่อเสาะหาใบหน้าของคนผู้นั้น
“นี่ๆๆ ท่านทำอะไรน่ะ” อวี๋หวั่นกำลังจะถามแม่นางซึ่งตั้งแผงขายของถึงท่านแม่ของเธอ กลับโดนดึงไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เธอเงยหน้า พยายามแกะแขนข้างนั้นของเยี่ยนจิ่วเฉาออก แต่ไหนเลยจะรู้ว่าคนที่ถูกยาพิษร้ายแรงอย่างเขาจะมีพลังมากขนาดนี้
ประมุขหญิงเดินออกไปไกลแล้ว
อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความขุ่นเคือง “เมื่อกี้ท่านทำอะไร ผมข้ายุ่งหมดแล้วเนี่ย”
เยี่ยนจิ่วเฉาดีดหน้าผากของอวี๋หวั่น “โง่งม!”
อวี๋หวั่นหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
ทำไมเธอถึงพาผู้ชายคนนี้ออกมาตามหาท่านแม่กันนะ?
ไม่ใช่เพียงตามหาท่านแม่ไม่เจอ แต่เธอก็จะโมโหระหว่างทางด้วย
อวี๋หวั่นมองไปยังแผ่นหลังที่เดินออกไปอย่างไม่สนใจ ถลึงตาใส่แล้วพูดว่า “นี่ รอข้าด้วยสิ ไม่ใช่ทางนั้น! ท่านเดินผิดทางแล้ว!”
……
หลังจากตามหามาตลอดทั้งคืน อวี๋เซ่าชิงและเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็มาถึงเชิงเขาด้านนอกค่ายหน่วยกล้าตาย จิ้งจอกหิมะน้อยกระโดดลงมาจากตักของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ตามกลิ่นของนางเจียงในอากาศอีกครั้ง
จิ้งจอกหิมะน้อยยืนอยู่ด้านหน้าพุ่มไม้ พลางส่งเสียงร้องออกมา
“อวี๋กัง” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเรียก
“ขอรับ” อวี๋กังก้าวมาด้านหน้า ดึงกระบี่ออกมาฟันไปยังพุ่มไม้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “ตรงนี้มีทางขอรับ!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้องครักษ์ พวกเขาก้าวขึ้นมาด้านหน้าและลงมือทำลายการอำพรางตาจนเส้นทางขนาดเล็กที่ราบเรียบปรากฏขึ้น
“ฮึ่มม!” สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพุ่งออกไปทันที
อวี๋กังและองครักษ์ตามไปติดๆ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและอวี๋เซ่าชิงอยู่บนรถม้าของตนเอง พวกเขาก็ตามไปโดยไม่ลังเลเช่นกัน
เข้าไปได้ไม่เท่าไร เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล วรยุทธ์ของเขาถูกทำลายไปหมดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาฝึกฝนจนมันอยู่ในสัญชาตญาณของเขาแล้ว เขาขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ค่ายหน่วยกล้าตาย?”
“ค่ายอะไรนะ? ” อวี๋เซ่าชิงได้ยินไม่ชัด
“ค่ายหน่วยกล้าตาย” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด “เป็นสถานที่สำหรับอุปถัมภ์หน่วยกล้าตาย”
               สกุลเห้อเหลียนก็มีสถานที่เช่นนี้อยู่ในครอบครอง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เพียงนี้ และยังไม่ดูน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหลับตาลง ตั้งสมาธิใช้ประสาทสัมผัสชั่วขณะหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็รู้สึกราวกับหัวใจของตนหล่นฮวบลงไปในหุบเหว “ที่นี่มีหน่วยกล้าตายระดับเริ่มต้นสี่สิบคน หน่วยกล้าตายหน้ากากเงินยี่สิบสามคน นะ…หน่วยกล้าตายหน้ากากทองแปดคน”
ทันทีที่พูดจบ แม้แต่ตัวเขาเองก็อดตกใจไม่ได้
แม้แต่ตนเองก็ยังมีหน่วยกล้าตายหน้ากากเงินเพียงสี่คน…ค่ายหน่วยกล้าตายขนาดใหญ่เพียงนี้ ย่อมขัดต่อกฏหมายของหนานจ้าว
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง เขาคงไม่อยากเชื่อว่าใต้อาณัติขององค์ประมุข จะมีกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้            เขาเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ “น้องสะใภ้เข้าไปในนี้…เกรงว่าคงจะมีโชคร้ายมากกว่าโชคดี”
“เจ้าอย่าปากเสียนะ!” ทันทีที่อวี๋เซ่าชิงบริภาษเห้อเหลียนเป่ยหมิงเสร็จ ก็ได้ยินเสียงร้องสั่นน่าเวทนาดังมาจากด้านในค่ายหน่วยกล้าตาย หัวใจของอวี๋เซ่าชิงเต้นระส่ำ “อาซู…”
สองพี่น้องควบม้าเข้าไปด้านใน
“อ๊ากกกกก”
เป็นเสียงร้องของอวี๋กัง
“อ๊ากกกกก”
“อ๊ากกกกก”
“อ๊ากกกกก”
เป็นเสียงร้องขององครักษ์ที่เบิกทาง
“กิ๊ดดด”
“กิ๊ดดด”
“กิ๊ดดด”
ลูกจิ้งจอกหิมะน้อยกำลังเดือดดาล
เปลวเพลิงพวยพุ่ง…
ค่ายหน่วยกล้าตายกำลังมอดไหม้!
ฉิบหายแล้ว!
จับอาซูไปไม่พอ ยังจะเผานางอีกหรือ?
“อาซู!” อวี๋เซ่าชิงตาแดงก่ำ เขาชักกระบี่ออกมา เขาสาบานได้ว่าตนไม่เคยมีใจคิดสังหารศัตรูเช่นนี้ เบื้องหน้ามีหน่วยกล้าตายเจ็ดแปดคน เขาตวัดกระบี่เข้าไป
ตึง!
หน่วยกล้าตายล้มลง
อวี๋เซ่าชิงมองกระบี่ของตน แล้วมองไปยังหน่วยกล้าตายตรงหน้า
ไม่ผิดแน่ เขาฟันไปกลางอากาศ ตนไม่ได้ฟันโดนเขาด้วยซ้ำไป แล้วเขาล้มไปได้อย่างไรกัน
ไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ถึงเรื่องเหลือเชื่อ หน่วยกล้าตายที่ยืนขนาบสองข้างนั้นล้มลงทีละคนๆ จนหมด
อวี๋เซ่าชิงพลิกตัวลงจากหลังม้า ยื่นมือเข้าไปอังจมูก ตะ…ตายแล้ว
บนร่างไร้บาดแผล ราวกับถูกต่อย
เอ…ช่างเป็นยอดฝีมือที่บ้าบิ่นเหลือเกิน…
ในตอนแรกอวี๋เซ่าชิงเห็นหน่วยกล้าตายระดับเริ่มต้น ไม่นานก็เห็นหน่วยกล้าตายหน้ากากเงิน
อวี๋เซ่าชิงไม่เคยไม่เคยเห็นหน่วยกล้าตายหน้ากากเงินมาก่อน จึงรู้สึกแข้งขาไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
อาซู…
อาซูของเขา…
ความรุนแรงอย่างน่าประหลาดปรากฏขึ้นบนสนามรบเบื้องหน้าของเขา อวี๋เซ่าชิงตามเสียงนั้นไป และพบว่าอวี๋กับคนอื่นๆ ยืนนิ่งราวกับก้อนหิน มองดูสังเวียนการต่อสู้ตรงหน้า
บนนั้นมี…คนผู้หนึ่งสวมชุดเกราะ? หน่วยกล้าตายหรือ?
อีกฝ่ายตัวไม่ใหญ่ จะเรียกว่าผอมบางก็คงได้ เมื่อสวมชุดเกราะขนาดเล็กทว่าหลวมโพรกไปแล้วก็ดูตัวใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้วเห็นจะได้
แต่เมื่อเจ้าคนที่แม้แต่ชุดเกราะก็ยังไม่พอดีตัวนี้ปล่อยหมัดออกมา หน่วยกล้าตายหน้ากากทองก็กระเด็นออกไปไกล
อวี๋กัง จิ้งจอกหิมะน้อย และองครักษ์ต่างจับจ้องไปยังหน่วยกล้าตายทั้งเจ็ดคนที่ถูกต่อยจนลอยออกไป พวกเขาหันไปซ้ายขวาจนมีเสียงดังตึง หน่วยกล้าตายคนหนึ่งกระแทกลงบนพื้นเต็มแรง พวกอวี๋กังเบนสายตาไปที่หน่วยกล้าตายหน้ากากทองคนสุดท้ายทันที
หน่วยกล้าตายหน้ากากทองตัวสั่นเทิ้ม!
หน่วยกล้าตายหน้ากากเงินในตำนานซึ่งได้ชื่อว่าไร้พ่าย ไม่ขลาดกลัว บัดนี้ตัวสั่นงกราวกับกระชอนซึ่งกำลังถูกใช้ร่อนแป้ง!!!
เขาสาวเท้าวิ่งหนีไป!
คนตัวเล็กผู้นั้นจับเขากลับมา
“อาซู!”
อวี๋เซ่าชิงตะโกนเรียกเสียงดัง!
นางเจียง: แหม~ ใส่เกราะเสียเต็มยศยังจำได้อีกรึ!!!
นางเจียงค่อยๆ คลายมือ หน่วยกล้าตายหน้ากากทองร่วงลงบนพื้น จากนั้นนางเจียงก็ล้มลงไปข้างๆ เขา
เดิมทีหน่วยกล้าตายหน้ากากเงินคิดจะหนี แต่เมื่อโดนเล่นงานไปครั้งหนึ่ง ตัวเขาก็สั่นเทิ้ม!
ฮือๆ น่ากลัวเหลือเกิน…
“อาซู!” อวี๋เซ่าชิงพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว กอดนางเจียงซึ่งอยู่ในชุดเกราะเอาไว้ จากนั้นก็ถอดชุดเกราะออก
นางเจียงไออย่างอ่อนแอ ค่อยๆ หลับตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและไร้เดียงสา “อา ข้าเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน? ข้ากำลังทำอะไรอยู่?”
อวี๋เซ่าชิงชะงักไป จากนั้นบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าบ่งบอกว่า ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้’ เขาพูดอย่างปวดร้าวใจว่า “อาซูถูกควบคุม ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
นางเจียงซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไอ้หยา น่ากลัวเหลือเกิน~”
หน่วยกล้าตายหน้ากากทองตัวสั่นแล้วสั่นอีก!
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยยกอุ้งเท้าเล็กๆ ขึ้นปิดตา
อวี๋กังและเหล่าองครักษ์เบือนหน้าหนี
หน้าไม่อายจริงๆ ทนดูไม่ไหวแล้ว
………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset