ราตรีนี้ เยี่ยนอ๋องกับเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นสนทนากันเนิ่นนาน มีบางอย่างที่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สะดวกเอ่ย อวี๋หวั่น ก็เป็นคนเอ่ย
เยี่ยนจิ่วเฉาได้ทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เล็กจนโต ไหนเลยคำพูดเพียงสองสามประโยคจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้?
เมื่อยาออกฤทธิ์ เยี่ยนอ๋องก็หลับไป
เขาอุ้มเสี่ยวเป่าที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขน
เสี่ยวเป่าเหมือนเยี่ยนจิ่วเฉายิ่งนัก
ยามกอดเขา ก็เหมือนได้กอดฉงเอ๋อร์ในอดีต
เพียงแต่ข้างกายเขา ไม่มีจื่อจวินอยู่แล้ว
…
เมื่อเสี่ยวเป่าตื่นขึ้นพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องของบิดามารดา กลับอยู่ในห้องของท่านปู่คนใหม่ ก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาในฉับพลัน
อวี๋หวั่นมาหาแต่เช้า
เขาไม่พอใจอวี๋หวั่น หันหลังให้และไม่สนใจเธอ ดวงตายังเป็นสีแดงก่ำ ไม่ต้องบอกว่าน้อยอกน้อยใจมากเพียงใด
อวี๋หวั่นกอดเขาไว้ในอ้อมแขน “เป็นอันใดไป ท่านปู่รักเสี่ยวเป่าถึงเพียงนี้ เสี่ยวเป่าไม่มีความสุขหรือ?”
เสี่ยวเป่าฮึดฮัด “เหตุใดต้าเป่ากับเอ้อร์เป่านอนกับท่านแม่ได้ แต่เสี่ยวเป่านอนกับท่านแม่ไม่ได้?”
แม้รู้ว่าเด็กคนนี้ทักษะการพูดก้าวหน้าไปมาก ทว่ายามได้ยินประโยคคำถามยาวๆ เช่นนี้ในคราวเดียว อวี๋หวั่นก็ยังประหลาดใจ
อวี๋หวั่นบีบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อแน่นของเขาด้วยความดีใจ “ลูกแม่ฉลาดยิ่งนัก พูดได้มากถึงเพียงนี้แล้ว”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” เสี่ยวเป่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม
อวี๋หวั่นขำขัน เขารู้จักการเปลี่ยนเรื่องด้วยหรือ ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากใคร
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านปู่ชอบเสี่ยวเป่า จึงให้เสี่ยวเป่านอนกับท่านปู่ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าท่านปู่ไม่ได้เรียกต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า”
เสี่ยวเป่ากล่าว “ท่านปู่ไม่ชอบพวกเขาหรือ?”
อวี๋หวั่นกล่าว “แน่นอนก็ชอบเหมือนกัน”
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เช่นนั้นก็ชอบเสี่ยวเป่าที่สุดหรือ?”
เด็กคนนี้ยังได้เรียนรู้การปิดทองลงหน้าตัวเอง[1]อีกด้วย
ตอนนี้เขาอยู่ในวัยที่น่าพึงพอใจและเริ่มหัดพูด คำศัพท์ใหม่ๆ ที่ออกจากปากเขาสามารถทำให้อวี๋หวั่นโปรดปรานอย่างถึงที่สุด อวี๋หวั่นเบิกบานใจ ไม่อาจกลั้นยิ้ม “ใช่ๆๆ ชอบเจ้าที่สุด”
ถึงตอนนี้เสี่ยวเป่าก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เขายืดอกเล็กๆ ของเขา พลางฮึดฮัดกล่าวอย่างทระนง “ข้ารู้อยู่แล้ว!”
จู่ๆ อวี๋หวั่นก็กุมหน้าผาก น้ำเสียงที่ดูคุ้นเคยนี้…
กล่าวอย่างเป็นธรรม ไข่ดำทั้งสามต่างก็เป็นหลานของเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องชอบพวกเขาทุกคน แต่มีเพียงเสี่ยวเป่าที่เหมือนเยี่ยนจิ่วเฉามากที่สุด จิตใต้สำนึกของเยี่ยนอ๋องตามหาเงาของเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยเด็กอยู่เสมอ
“ท่านปู่ต้องทุกข์ทรมานในช่วงปีแรก” ไม่มีจื่อจวินแล้ว ในปีท้ายก็อาจต้องทรมานอีกเช่นกัน อวี๋หวั่นลูบหัวบุตรชาย “ทำตัวดีๆ กับท่านปู่ละ”
เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจความโศกเศร้าคับแค้นในหมู่ผู้ใหญ่ เสี่ยวเป่ามีท่านปู่ทุกที่ ในหมู่บ้านเหลียนฮวาที่ใดๆ ก็เป็นท่านปู่ แต่ท่านปู่คนใหม่นี้เป็นบิดาของบิดาเขา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้เลือนรางว่าท่านปู่ผู้นี้แตกต่างจากท่านปู่คนอื่นๆ
ท่านปู่ที่ไม่เหมือนคนอื่นชอบเขามากที่สุด เขาเป็นบุตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด!
เสี่ยวเป่ากอดขาเยี่ยนอ๋องอย่างดีอกดีใจยิ่ง!
พ่อครัวมาจากจวนเห้อเหลียน เขาอยู่กับพวกเยี่ยนจิ่วเฉามานาน เข้าใจในความชื่นชอบของทุกคนดี จึงได้เตรียมอาหารเช้าแสนอร่อยตามรสปากของทุกคนไว้ มีนมถั่วเหลืองหวานต้มใหม่ หมั่นโถวดอกกุ้ยฮวา บะหมี่เนื้อแกะ ไข่ตุ๋นและเครื่องเคียงที่วิจิตรเลิศรสอีกสองสามอย่าง
เมื่อเทียบกับอาหารหลายร้อยอย่างของจวนประมุขหญิง โต๊ะอาหารเช้ากลับดูซอมซ่อ แต่การนั่งทานอาหารกับบุตรชายที่เขารักที่สุด ลูกสะใภ้ที่มีน้ำใจและคุณธรรมมากที่สุด และหลานชายที่น่ารักที่สุด เยี่ยนอ๋องรู้สึกว่าอาหารทุกคำล้วนซึมซับถึงรสชาติแห่งความสุข
เหล่าไข่ดำกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย จนเลอะเทอะไปทั้งหน้า
“ดูพวกเจ้ากินเข้า รีบเช็ดเสีย” อวี๋หวั่นหยิบผ้าเช็ดหน้ามา
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ายื่นหน้าเล็กๆ ให้มารดาเช็ด
เสี่ยวเป่าก็ยื่นแก้มไปเช่นกัน แต่เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันศีรษะโน้มตัวไปหาเยี่ยนอ๋อง “ท่านปู่เช็ดให้หน่อย”
เยี่ยนอ๋องพลันอบอุ่นหัวใจละลาย
ขณะที่คนทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารเช้า คนของประมุขหญิงก็มาที่เรือน
คนผู้นั้นคือมามาอายุราวๆ ห้าสิบปี แซ่สวี
จื่อซูรายงานแก่อวี๋หวั่น อวี๋หวั่นจึงไปที่ห้องโถงจื่อเวยเก๋อเพื่อพบกับสวีมามา
สวีมามาเป็นคนสนิทที่มีอำนาจถัดจากประมุขหญิง นางเป็นผู้รับผิดชอบหลายๆ เรื่องในจวน ตำแหน่งของนางพิเศษ จึงมีความเย่อหยิ่งทระนงตนโดยธรรมชาติ
นางไม่มองอวี๋หวั่นตรงๆ พร้อมกับกล่าวด้วยความหยิ่งยโส “ประมุขหญิงได้ยินว่าราชบุตรเขยตื่นแล้ว จึงอยากเรียกราชบุตรเขยเข้าพบ”
หากบอกเธอดีๆ บางทีอวี๋หวั่นอาจจะไปบอกให้นางสักหน่อย แต่ท่าทางที่ไม่เห็นคนในสายตาเช่นนี้ อวี๋หวั่นยอมให้นางก็คงแปลกแล้ว
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก “จื่อเวยเก๋อไม่มีราชบุตรเขย มีเพียงเยี่ยนอ๋องเท่านั้น หากต้องการพบเยี่ยนอ๋อง ก็มาพบที่จื่อเวยเก๋อเสียเถิด ทว่าเสด็จพ่อของข้าจะยอมพบหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของนางแล้ว”
สวีมามาเอ่ยดุดัน “ที่นี่คือหนานจ้าว! เยี่ยนอ๋องเป็นราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว!”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่ใยดี “นั่นพวกเขาตั้งกันเอง ฮ่องเต้แห่งต้าโจวของพวกข้ามิได้เห็นชอบ เมื่อเขามิได้เห็นชอบ การแต่งงานในครานี้ก็ไม่นับ! แล้วอีกอย่างประมุขหญิงแห่งหนานจ้าวของพวกเจ้ามิใช่แต่งกับบุตรชายหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อหรอกรึ? เขาหาใช่เสด็จพ่อของข้าไม่!”
สวีมามาเอ่ยไม่ออก
สวีมามาพาข้ารับใช้ติดตามมาด้วย เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ไว้หน้านาง จึงหมายสั่งให้ข้ารับใช้บุกเข้าไป
ฝูหลิงรีบก้าวมาด้านหน้า ปิดกั้นประตูลานที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งจนมิดในทันที
เหล่าคนรับใช้ที่แม้แต่เอื้อมมือก็ยังเข้าไปไม่ได้ “…”
สวีมามากลับไปรายงานต่อประมุขหญิงอย่างไม่เต็มใจนัก
นางหาได้กล่าวเกินจริง วาจาเดิมของอวี๋หวั่นก็ทิ่มแทงจิตใจมากพอแล้ว
สีหน้าของประมุขหญิงย่ำแย่ไม่อาจมอง
โชคไม่ดีที่องค์หญิงน้อยก็อยู่ที่นั่นด้วย นางลุกขึ้นเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “เด็กบ้านนอกช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก! กล้าขัดคำสั่งท่านแม่เช่นนี้! ข้าว่านางคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! ไม่ได้! ข้าต้องไปสั่งสอนนาง! ข้าจะพาหน่วยกล้าตายของท่านพี่มา! จัดการนางให้หลาบจำ!”
นางหมายถึงซิวหลัว
ประมุขหญิงขมวดคิ้ว “เอาละ หยุดสร้างปัญหา กลับไปที่เรือนของเจ้า”
องค์หญิงน้อยกระทืบเท้า “ท่านแม่!”
ประมุขหญิงมองนางอย่างเฉยเมย “เจ้าฝึกคัดอักษรจบแล้วหรือ?”
องค์หญิงน้อยก้มหน้า “ยัง”
“เช่นนั้นมัวทำอันใดอยู่?” ประมุขหญิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้า…” องค์หญิงน้อยอ้าปาก
ประมุขหญิงเอ่ยขัด “ท่านพ่อของเจ้า ข้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าดูแลตนเองและอย่าได้สร้างปัญหาให้ข้าก็พอ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ องค์หญิงน้อยก็ไม่กล้าโวยวายอีกต่อไป โค้งคำนับและกลับไปยังห้องนอน ภายใต้ข้ารับใช้ที่รายล้อม
ราชบุตรตื่นแล้ว อย่างไรประมุขหญิงก็ต้องไปพบหน้าเขาสักครา
นางเด็กนั่นก็แค่หยิ่งผยอง คิดว่าขันทีหวังมาส่งที่จวนด้วยตนเอง แล้วจะเหนือกว่าประมุขหญิงเช่นนาง หาได้คิดไม่ว่านางเป็นถึงบุตรีที่องค์ประมุขรักมากที่สุด ประมุขทรงเห็นแก่ราชวงศ์ต้าโจวจึงไว้หน้าพวกเขาก็เท่านั้น ดุจเอาขนไก่ไปทำลูกศร[2]!
หากนางได้ราชบุตรเขยคืนเมื่อใด จะจัดการนางเด็กนี่ให้สาสม!
ประมุขหญิงเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าสูงส่งสง่างามไปที่จื่อเวยเก๋อ
นางมิได้งามชดช้อยเช่นซั่งกวนเยี่ยน แต่มักจะแต่งตัวหรูหราเพริศพริ้ง กลัวว่าผู้คนใต้หล้าจะไม่รู้ว่านางเป็นเทพี ผู้ที่เกิดเป็นหงส์อย่างแท้จริงเช่นนางต้องแต่งตัวให้เหมาะสมน่าเกรงขาม
ประมุขหญิงเดินทางไปยังจื่อเวยเก๋อ
ฝูหลิงที่ยืนเฝ้าประตู กั้นนางไว้ด้วยมือข้างเดียว “ช้าก่อน เจ้าคือผู้ใด? จงแจ้งชื่อมา”
สวีมามาโกรธเกรี้ยว “บังอาจ! นี่คือประมุขหญิง! ยังไม่รีบเปิดทางอีก!”
ฝูหลิงกล่าว “ฮูหยินบอกว่า หากไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่ยุงตัวเดียวก็ไม่อาจเข้าไปได้”
สวีมามาเงื้อมือหมายตบฝูหลิง
“สวีมามา!” ประมุขหญิงหยุดนาง
ประมุขหญิงมองฝูหลิงอย่างหยิ่งผยอง “เช่นนั้นเจ้าก็ไปรายงานฮูหยินของเจ้าว่าประมุขหญิงมาแล้ว”
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่” ฝูหลิงปิดประตูโครมคราม!
อยู่ในจวนของตัวเอง กลับถูกคนปิดประตูใส่หน้า
สวีมามารู้สึกไม่ดีแทนประมุขหญิง
ใบหน้าของประมุขหญิงไม่แสดงออก ทว่าฝ่ามือภายใต้แขนเสื้อกว้างกลับกำแน่น
หลังจากนั้นไม่นานประตูลานก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยด
ฝูหลิงโผล่หัวออกมา “เข้ามา แต่อย่าอยู่นานนักละ ท่านอ๋องต้องการพักผ่อน”
เขาเป็นสามีของนาง!
นางมาเยี่ยมสามี ยังต้องถูกกำหนดว่านานหรือไม่นานด้วยรึ? !
……………………..
[1] ปิดทองลงหน้าตัวเอง หมายถึง การยกยอตนเอง
[2] เอาขนไก่ไปทำลูกศร หมายถึง การหาเหตุผลในการใช้กำลังของผู้ที่มีอำนาจ