หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 25.1 นางเจียงผู้กล้าหาญ (1)

บทที่ 25 นางเจียงผู้กล้าหาญ (1)
โดย
Ink Stone_Romance

เมื่ออวี๋หวั่นพูดจบประโยค ก็เห็นเงาของคนพุ่งลงบนพื้น หัวใจของเธอเต้นตึกตัก
เงานั้นดูคล้ายกับเงาของผู้ชาย…
อิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันกลับมาแล้วหรือ? หรือว่าเป็นลุงวั่น? ไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาหรอก…ขออย่าให้เป็นเยี่ยนจิ่วเฉาเลย…
แต่ก็เป็นเยี่ยนจิ่วเฉา
ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเดินไปยังห้องและยื่นใบหน้าอันหล่อเหลาหาผู้ใดเปรียบเข้าไป ในสมองของอวี๋หวั่นก็เต็มไปด้วยประโยคว่า ‘จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้วจริงๆ’
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ค่อยสู้ดีนัก สายตาเย็นเยียบไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของอวี๋หวั่น ราวกับจะจ้องให้หน้าของเธอทะลุเป็นรูก็มิปาน
เหยียนหรูอวี้ซึ่งเดิมทีโมโหอวี๋หวั่นเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา นางก็ถึงกับลอบถอนหายใจ แม้จะไม่รู้ว่าครั้งก่อนสตรีผู้นี้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเยี่ยนจิ่วเฉามาได้อย่างไร แต่ว่าครั้งนี้นางคงไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น
ใต้หล้าล้วนรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนหัวรั้น เกลียดการถูกบังคับเป็นที่สุด คุณชายเยี่ยนเพียงเห็นอกเห็นใจสตรีชนบทผู้นี้เพียงเล็กน้อย นางก็ยังพ่นคำพูดออกมาอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง
นางคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? นางอยากแต่งงานกับคุณชายเยี่ยนก็หมายความว่าจะแต่งได้หรือ? ทั้งยังพูดออกมาได้ว่าจะเป็นแม่ของเด็กทั้งสาม!
น่าขันเสียยิ่งกระไร!
เหยียนหรูอวี้เป็นแม่ของเด็กน้อยทั้งสามคน ยังไม่กล้าพูดจาสามหาวเช่นนั้น คนบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยเห็นโลก ไร้สมอง บุรุษให้ความเอ็นดูเข้าหน่อยก็คิดจะอยากแต่งงานกับเขา จนลืมสำเหนียกว่าตนเองเป็นใคร
คนเรา สูงต่ำย่อมรู้ตัวเองดี
เมื่อไรที่ไม่รู้ตัว เมื่อนั้นก็หมายความว่ากำลังรนหาที่ตายเสียเอง
อวี๋หวั่นหลุบตาลง ไม่กล้ามองเยี่ยนจิ่วเฉาตรงๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเบือนสายตาออกจากอวี๋หวั่น แล้วมองไปยังเหยียนหรูอวี้
เหยียนหรูอวี้ก้มหน้าลงราวกับตกใจเพราะได้รับความเอ็นดู ทำท่านางเขินอาย ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมที่จะแอบคิดในใจว่าเป็นเพราะความงามของตน? หรือว่าเพราะความงามของผ้าคลุมหน้า? นางถูกองค์หญิงซยงหนูฟาดแส้ลงบนใบหน้าจนเกิดเป็นรอยแผล นางทายาจินชวง กลิ่นของยายังหลงเหลืออยู่ แต่ว่านางก็ใช้กำยาน ยังพอจะช่วยกลบกลิ่นเอาไว้ได้…
ขณะที่นางกำลังคิดไปต่างๆ นานา เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามานี่”
เหยียนหรูอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างเหลือเชื่อ นางไม่มั่นใจว่า ‘เจ้า’ ที่เยี่ยนจิ่วเฉาพูดถึงนั้นหมายถึงตนหรือไม่ ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาหันหลังกลับ แล้วเดินออกไปอย่างเย็นชา
เหยียนหรูอวี้มองไปยังอวี๋หวั่น เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ขยับ ก็แอบดีใจว่าคุณชายเรียกตนจริงๆ
พยายามมามากถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ได้อยู่ในสายตาของคุณชายแล้ว
คงจะโกรธนางเด็กบ้านนอกเสียแล้วกระมัง? ในทางกลับกันก็คงเข้าใจความอ่อนหวานของนางบ้างแล้ว
เหยียนหรูอวี้ลูบเส้นผมอ่อนนุ่ม เดินออกไปด้วยสีหน้าเปี่ยมความยินดี
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินนำนางไปถึงห้องหนังสือ
เหยียนหรูอวี้พร้อมแล้วที่จะปรนนิบัติรับใช้เยี่ยนจิ่วเฉา แต่ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่เข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นางพูดอันใดกับเจ้า รีบเล่ามาโดยละเอียด”
……
“เยี่ยนจิ่วเฉาน่ะสิ”
“อะไรกัน? เจ้าไม่กล้าเรียกหรือ? หรือว่าเจ้าเรียกแล้วเขาไม่สนใจกันแน่? ”
“ข้าจะ…มาอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรเล่า”
“แล้วเจ้ามียางอาย?”
“พันธะ? พันธะอะไร? เขายอมรับแล้วหรือ? เขาบอกหรือว่าเขาจะแต่งงานกับเจ้า? เจ้าคิดว่าจะใช้ลูกมาเป็นข้ออ้างเพื่อพึ่งพาเขาสินะ เจ้าโง่ หรือว่าเขาโง่กันแน่?”
“คู่ควรแล้วอย่างไร? ไม่คู่ควรแล้วอย่างไร? สุดท้ายแล้ว…”
ที่กล่าวว่าคู่ควรแล้วอย่างไร ไม่คู่ควรแล้วอย่างไร สตรีผู้นี้ใจกล้าเหลือเกิน กล้ากล่าวคำพูดพรรค์นี้ออกมาได้หน้าตาเฉย!
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ตรงไปยังห้องที่อวี๋หวั่นอยู่
เหยียนหรูอวี้มองไปยังหลังของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังมีโทสะ มุมปากของนางก็พลันยกขึ้น
นางเด็กนั่นวาจาโอหังเสียจนเหยียนหรูอวี้ไม่จำเป็นต้องใส่สีตีไข่อันใด ครานี้จะคอยดูว่านางจะแก้ต่างอย่างไร!
เหยียนหรูอวี้เข้าไปนั่งในห้องของเด็กน้อยทั้งสาม พวกเขาหลับไปแล้ว นางนั่งคอยอย่างใจเย็นครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นเดินออกไป
อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินมาถึงห้อง อวี๋หวั่นนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับไร้ความสนใจใยดี
อวี๋หวั่นรู้สึกได้ถึงเงาของคนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา เธอไม่ได้เงยหน้ามอง ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินมาตรงหน้าของเธอ มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วนั่งลงข้างๆ เธอ “ทุกวันนี้เจ้าจะใจกล้าเกินไปแล้วนะ ข้าใจดีกับเจ้ามากเกินไปหรืออย่างไร? ถึงกล่าววาจาไร้กาลเทศะเช่นนั้น!”
อวี๋หวั่นคิดในใจว่า ฟ้าดินเป็นพยานได้ เธอพูดไปแบบนั้นก็เพราะอยากให้เหยียนหรูอวี้โกรธ แต่เธอไม่เคยมีความคิดเช่นนี้อยู่ในสมองเลย
“เจ้า…” เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉานึกถึงคำพูดของอวี๋หวั่นก็โมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “จะรีบร้อนกระไรเพียงนั้น!”
รีบร้อนอยากแต่งงานกับเขา รีบร้อนอยากเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสาม
“ข้าตามใจเจ้ามากไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวลอดไรฟัน
“…”
ชีวิตช่างทุกข์ระทม ทุกข์ระทมยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ[1]เสียอีก!
เยี่ยนจิ่วเฉากำหมัดแน่น “ใครให้เจ้าอาจหาญถึงขนาดคิดเรื่องพรรค์นี้กับข้าได้!”
“…”
ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย…
เยี่ยนจิ่วเฉาหลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวัง “ทั้งยังบอกว่าจะอยู่ในห้องของข้าอีก! เจ้า…เจ้าเป็นสตรี…ไม่รู้จักอายเอาเสียเลย!”
 ที่บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวอะไรนั่น ก็คือเธอนี่แหละ
เธอยังแก้ตัวทันอยู่ไหมนะ?
อวี๋หวั่นตั้งสติ แล้วทำใจดีสู้เสือพูดกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ถ้าข้าบอกท่านว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ท่านจะว่าอย่างไร?”
“เช่นอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อวี๋หวั่นกะพริบตาแล้วมองไปทางเขา “ก็อย่างเช่น ที่จริงวันนี้ข้าไม่ได้จะมาหาท่าน”
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาดุดันขึ้นทันที “…เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเจ้าหลอกลวงข้า”
“แล้วท่านจะทำอย่างไร?”
“ฆ่าเจ้าเสีย!”
อวี๋หวั่นก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “งั้นข้ามาหาท่านก็แล้วกัน”
เยี่ยนจิ่วเขาแค่นเสียง ‘เหอะ’ แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว!”
อวี๋หวั่น “…”
“คุณชายยังไม่ได้กินอาหารเย็นกระมัง ห้องครัวทำโจ๊กธัญพืชเอาไว้” เสียงของฝางมามาดังขึ้นจากด้านนอก
“เข้ามา” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้น
ฝางมามายกโจ๊กธัญพืชเข้ามา วางไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปโดยมิได้มองพวกเขา
เมื่อนางเดินไปจนสุดทางเดิน ลุงวั่นก็รั้งนางเอาไว้ “เป็นอย่างไร? คุณชายไม่ได้รังแกแม่นางอวี๋หรอกกระมัง?”
ฝางมามาตอบว่า “เจ้าไม่รู้จักนิสัยคุณชายหรือ? เขาจะไม่รังแกนางได้อย่างไร?”
ลุงวั่นรู้สึกขมขื่น ทว่าเขาก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยอวี๋หวั่นออกมา ได้แต่เดินกลับห้องไปเงียบๆ ซุกตัวใต้ผ้าห่มแล้วก่นด่าเยี่ยนจิ่วเฉา…
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็รู้ว่าอวี๋เซ่าชิงหายตัวไปจากคุกหลวง คลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นลูกที่สองโหมซัดเข้ามาอีก โทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงยังสลัดไม่พ้นตัว ต้องมาเจอโทษฐานแหกคุกอีกหรือ
อวี๋หวั่นเชื่อว่าพ่อของเธอเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแน่แท้ แต่เชื่อไปก็ไร้ประโยชน์ เธอต้องหาพ่อของเธอให้พบ เรื่องนี้จะได้คลี่คลายสักที
“ข้าไปตามหาท่านพ่อกับท่านได้ไหม? ” อวี๋หวั่นเอ่ยถามพลางมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าผู้ชายคนนี้จะตอบว่า ‘อะไรกัน? ไม่ตามติดข้าสักประเดี๋ยวหนึ่งก็ไม่ได้’ ไหนเลยจะรู้ว่าเขาไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่พยักหน้า แล้วพาเธอขึ้นรถม้าไป
เธอเป็นมาโซคิสม์หรืออย่างไร? อยู่ๆ ผู้ชายคนนี้ทำตัวปกติ เธอกลับไม่ชินเอาซะเลย…
……
อวี๋หวั่นเป็นห่วงพ่อของเธอมาก ถ้าเขาได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าศัตรูลักพาตัวเขาไปฆ่าทิ้งจะทำอย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องไปขวางไม่ให้ทหารตามหาพ่อของเธอพบ
รถม้าเดินทางออกจากจวนคุณชายไปยังทิศทางของคุกหลวง อวี๋หวั่นเดาว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไปหาเบาะแสที่ห้องขังตัวอักษรเทียนที่เคยใช้คุมขังพ่อของเธอ
อวี๋หวั่นเลิกม่านขึ้น ก็พบว่าองครักษ์ที่ติดตามมาวันนี้ไม่ใช่อิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน หากแต่เป็นบุรุษสวมหน้ากากและผ้าคลุมสีเงิน กำลังควบม้ารูปร่างสูงใหญ่ ม้านั้นสวมเกราะครอบหัว เมื่อมันและเจ้านายของมันอยู่ด้วยกัน ก็พลันให้ความรู้สึกประหนึ่งอสูรแห่งความตายในตำนาน
อวี๋หวั่นรู้สึกหนาวสันหลังวูบหนึ่ง
ฉึบ!
มือสวยดุจหยกยื่นเข้ามา แล้วดึงม่านลง
อวี๋หวั่นจึงจะกลับมารู้สึกหายใจทั่วท้องอีกครั้ง
เธอเหลือบไปมองเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาหลับตาลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจดังเดิม

…………………………………………………..
[1] โต้วเอ๋อ เป็นตัวละครจากบทละครสมัยราชวงศ์หยวนเรื่อง ความทุกข์ระทมของโต้วเอ๋อ โดยกวนฮั่นชิง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสตรีนามว่าโต้วเอ๋อ ใช้ชีวิตด้วยความขมขื่น ถูกใส่ร้ายและได้รับความอยุติธรรม จนสุดท้ายแล้วนางก็ถูกประหารชีวิต

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset