หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 305 ตาหลานพานพบ

ท่านตาอะไร?
อวี๋หวั่นมองไปยังลุงใหญ่ของตนด้วยความงงงวย ก็พบว่าลุงใหญ่ของเธอกำลังมองไปยังองค์ประมุขซึ่งยืนอยู่บนแท่นบูชาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
อวี๋หวั่นมองตามสายตาของเขาไป
ผู้เฒ่าคนนี้เธอรู้จักนี่นา คุณปู่คฤหาสน์ข้างๆ ที่คอยดูแลต้าเป่า วันที่เด็กทั้งสามไม่สบายและไปกินบัวลอย พวกเขาก็ได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง เขาถูกคนชนจนบาดเจ็บ เธอก็รักษาให้เขา เขายังให้บัวลอยพวกเขามาโหลหนี่งเลย
ความทรงจำเหล่านี้อวี๋หวั่นนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงชายสวมอาภรณ์ลายมังกรผู้นี้กับ ‘ท่านตา’ ที่ลุงใหญ่กล่าวถึงได้
เธอยังคงจมอยู่กับความตกใจว่าชุดที่อีกฝ่ายสวมคือเสื้อคลุมมังกรของประมุขแห่งหนานจ้าว
สถานการณ์สับสนอลหม่าน ผู้คนต่างกำลังก่นด่าสาปแช่งหนานกงเยี่ยนซึ่งหลอกลวงทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง เสียงของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่นับว่าดัง เมื่อเห็นว่าหลานสาวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงทึกทักไปว่าเธอไม่ได้ยิน จึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมว่า “อาหวั่น มาพบท่านตาของเจ้า”
อวี๋หวั่นเข้าใจความหมายของลุงใหญ่แล้ว เขากำลังบอกว่าผู้เฒ่าที่สวมเสื้อคลุมมังกรนั้นคือท่านตาผู้ล่วงลับไปแล้วของเธอ?
อวี๋หวั่นถามด้วยความประหลาดใจ “ข้ามีท่านตาที่ไหนเจ้าคะ? ท่านตาข้าไม่ได้ตายไปแล้วหรือ? ครอบครัวของท่านแม่ข้าตายไปหมดแล้ว เหลือท่านแม่แค่คนเดียว”
องค์ประมุขแทบล้มทั้งยืน พลาดอีกนิดเดียวคงหล่นลงมาจากแท่นบูชาแล้ว!
เจ้าเด็กนี่พูดอะไรกัน? บอกว่าเขาตายไปแล้ว คนทั้งครอบครัวเขาตายหมดแล้วรึ?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงใจหายวาบ เขาไม่คาดคิดว่าน้องสะใภ้จะเล่าเรื่องของพ่อแม่ตนเองขึ้นมาใหม่ ไม่สิ ไม่ใช่เล่าเรื่อง ต้องเรียกว่าแช่ง นางแช่งพวกเขาทั้งครอบครัวให้ตายมากกว่า
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นทันใด…
“ข้าไม่มีท่านตา” อวี๋หวั่นส่ายหน้า
เดิมทีน่าจะเป็นองค์ประมุขที่ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับเด็กคนนี้เป็นหลาน แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กคนนี้นำหน้าเขาไปก่อนหนึ่งก้าว นางไม่ยอมรับเขา แต่ไหนแต่ไรมาองค์ประมุขมีชาติกำเนิดสูงส่ง จึงมิได้คาดคิดเลยว่าจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้
ถึงจะบอกว่าตี้จีองค์โตพูดเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นลูกที่พระองค์ทอดทิ้ง มีความแค้นฝังลึก ยังนับว่าเข้าใจได้ แต่แม่นางน้อยผู้นี้ ดูแล้วไม่น่าจะอายุมากไปกว่าหนานกงซีเท่าไร ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาใสเป็นประกาย ดูคล้ายกับยังไม่ผ่านโลกมามาก เหตุใดเมื่อเอ่ยปากพูด ก็ฟังดูราวกับกำลังไม่ไว้หน้าองค์ประมุขอย่างพระองค์อยู่
คนทั่วไปคงมิได้ตกใจเพียงอย่างเดียว เมื่อรู้ว่าตนเป็นหลานขององค์ประมุข ก็คงมือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“อาหวั่น นี่คือองค์ประมุข” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเตือนสติ
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้ารู้ว่าเขาคือองค์ประมุข แต่เขาไม่ใช่ท่านตาของข้า!”
ท่านตาของเธอตายไปแล้ว ท่านแม่บอกว่าเขาตายไปแล้ว ต่อให้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับตายไปแล้ว
เรื่องราวในวันนี้ออกจะยากต่อการประมวลผลอยู่สักหน่อย บางทีลุงใหญ่ของเธออาจเข้าใจผิดไป หรือบางทีเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องจริง แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เธอก็ยังไม่สามารถยอมรับได้ทันที ท่านลุงใหญ่รักเธอมาก เธอเองก็เคารพเขามาก แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเขาก็ยากที่จะมีความเห็นตรงกัน
บนโลกนี้ไม่มีคนสองคนที่มีความเห็นตรงกันทุกเรื่อง แม้แต่เธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาเองก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเข้ากันได้ทุกเรื่อง เพียงแต่เมื่อมีความขัดแย้งกัน ก็ย่อมต้องมีความเคารพซึ่งกันและกัน
“แม่ข้าบอกว่าข้าไม่มีท่านตา ก็แปลว่าไม่มี”
คำพูดนี้ อวี๋หวั่นมองไปยังดวงตาขององค์ประมุข
สายตาของเธอนั้นแน่วแน่ ราวกับกำลังบอกว่าไม่จำเป็นต้องโต้แย้งอีก
องค์ประมุขรู้สึกผิดหวังเหลือเกิน
ถ้าหากอวี๋หวั่นยอมรับเขาในทันใด เขาก็คงต้องไตร่ตรองเสียก่อนว่าเขาจะยอมรับเธอหรือไม่ แต่เมื่ออวี๋หวั่น
ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย สิ่งที่เขาคิดจึงแปรเปลี่ยนเป็น ‘เด็กนี่ไม่รู้หรือว่าหากเขายอมรับแล้วจะเป็นอย่างไร นางจะได้เป็นองค์หญิงของหนานจ้าว เป็นองค์หญิงที่ตำแหน่งสูงกว่าหนานกงซีเสียอีก นางไม่สนใจเลยหรือ?’
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่สนใจ
เป็นองค์หญิงแล้วจะร่ำรวยหรือ?
ครอบครัวเธอทำเหมืองเชียวนะ!
เหมืองเหล็กขนาดใหญ่มากด้วย!
อวี๋หวั่นซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อเป็นองค์หญิงแล้วจะสามารถครอบครองเหมืองทองได้ไม่รู้เท่าไรก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะ
หันหลังกลับมามอง!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหันหลังกลับไป สอดส่ายสายตาหาเยี่ยนจิ่วเฉาในฝูงชน
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว ส่งสายตาไร้เดียงสาแต่ก็เห็นอกเห็นใจให้เห้อเหลียนเป่ยหมิง
เป้าหมายของเขาคือการโค่นตี้จีองค์เล็ก เขาไม่ได้บอกว่าจะช่วยให้อวี๋หวั่นยอมรับองค์ประมุขที่ทอดทิ้งท่านแม่ของเธอไปสักหน่อย
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกไปเช่นกัน
คู่รักจูงมือกัน ครั้งนี้นับว่าเป็นโลกที่มีเพียงเราสองอย่างแท้จริง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่ายหน้า
ความคิดของผู้ใหญ่ไม่เหมือนกับความคิดของวัยรุ่น หากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าครอบครัวของพวกเขาจะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง และหวังว่าแผ่นดินหนานจ้าวจะมีผู้สืบทอด
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะเดินออกไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งตบแขนปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความไม่แน่ใจว่า “เมื่อครู่ ท่านแม่ทัพใหญ่จูงมือแม่นางน้อยคนนั้นแล้วบอกว่า ‘อาหวั่น มาพบท่านตาของเจ้า’ ข้าฟังผิดกระมัง?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนก็ได้ยินเช่นกัน มีคนได้ยินเหมือนกับเขาหลายคน นั่นหมายความว่าพวกเขาทุกคนฟังผิดไปหรือ?
เมื่อครู่มัวแต่พะวงเรื่องการฉีกหน้ากากหนานกงเยี่ยน จึงลืมสนใจเด็กคนนั้น ทว่าบัดนี้เห็นทีนางคงจะไม่เพียงมีความสัมพันธ์กับสกุลเห้อเหลียนเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประมุขด้วย
“ท่านแม่ทัพใหญ่ให้นางเรียกองค์องค์ประมุขว่าท่านตา นางเป็นบุตรีของตี้จีองค์เล็กหรือ?” ปรมาจารย์พิษซ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าลำบากใจ ถ้าหากนางเป็นลูกสาวของตี้จีองค์เล็ก พวกเขาก็คงถึงคราวหายนะแล้ว นางมีทั้งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และราชินีสัตว์พิษในครอบครอง ความดีความชอบเหลือล้น หากไม่ระวัง พวกเขาก็มีโอกาสถูกตี้จีองค์เล็กจัดการ
วิหารพิษของพวกเขาหักหน้าตี้จีไปแล้ว นางตกต่ำ พวกเขาเองก็คงย่อยยับเช่นกัน
“ไม่ยักเคยได้ยินว่าตี้จีองค์เล็กมีบุตรีอีกคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น…” ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนชะงักไป แล้วมองไปยังเห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น “แม่นางน้อยผู้นั้นยังสนิทสนมกับแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าคงจะเป็นคนสกุลเห้อเหลียน”
“คนสกุลเห้อเหลียน? ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งเกาศีรษะ ก่อนหน้านี้ยังคงไม่กระจ่าง ทว่าหลังจากเค้นสมองขบคิดแล้วก็เข้าใจในทันที “ตะ…ตะ…ตี้จีองค์โต?”
ว่ากันว่านายท่านรองแห่งสกุลเห้อเหลียนที่หายตัวไปนานหลายปี จับพลัดจับผลูไปแต่งงานกับตี้จีองค์โตซึ่งใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน
เรื่องที่ตี้จีองค์โตถูกส่งออกไปจากหนานจ้าวในตอนนั้น ทุกคนล้วนรู้ดี ส่วนเรื่องที่นางถูกส่งไปที่ใดนั้นมิได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะฉะนั้นนอกจากขุนนางคนสนิทขององค์ประมุขแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเดินทางไปยังเผ่าปีศาจ เป็นเพราะในตอนนั้นเผ่าปีศาจใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาสู่ขอตี้จีองค์โต ทว่าเรื่องราวที่เล่ากันในหมู่ชาวบ้านก็ต่างออกไป มิเช่นนั้นก็คงไม่เห็นเป็นประจักษ์ว่าตี้จีองค์โตใช้ทั้งชีวิตการแต่งงานของตนแลกกับเจ้าตัวเล็กๆ นั่น แต่ความดีความชอบกลับกลายเป็นของตี้จีองค์เล็กเสียอย่างนั้น
ในความไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ก็ยังมีข้อดีอยู่ อย่างน้อยก็เป็นเพราะการแต่งงานของทั้งสอง ชาวบ้านนอกจากตื่นตะลึงและไม่เห็นด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่เกิดความเคลือบแคลงใจมากนัก
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ปรมาจารย์พิษอาวุโสคนอื่นๆ ฟัง เขาเพียงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “น่าจะเป็นลูกสาวของตี้จีองค์โต”
“ลูกสาวของตี้จีองค์โตเป็นเจ้านายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ นั่น…”
นั่นมันออกจะเหลือเชื่อไปสักหน่อยไหม?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งตกใจก็เพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปอยู่ที่อวี๋หวั่น ปรมาจารย์พิษซุนแลดูราวกับจมอยู่ในภวังค์แห่งโชคชะตา ของที่แลกมาด้วยชีวิตของตี้จีองค์โต สุดท้ายแล้วก็กลับมาอยู่ในครอบครองของตี้จีองค์โต คนที่ควรจะกระอักเลือดก็คงเป็นหนานกงเยี่ยนกระมัง?
ลงทุนลงแรงไปมหาศาล แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง เห้อเหลียนเป่ยหมิงอธิบายให้องค์ประมุขฟังว่าอวี๋หวั่นได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาได้อย่างไร “…ฤดูหนาวปีที่แล้ว ในตอนนั้นครอบครัวของอาหวั่นยากจนมาก พวกต้าเป่าถูกคนลักพาตัวไป อาหวั่นไปช่วยพวกเขา พาพวกเขาเข้าไปหลบในวัดร้างแห่งหนึ่ง มีมือกระบี่อยู่ในวัดแห่งนั้นพอดี คนผู้นั้นลอบนำกล่องเหล็กที่บรรจุสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงในตะกร้าสะพายหลังของอวี๋หวั่นเพื่อที่จะหลบหนีผู้ที่ตามฆ่า อาหวั่นเจอของที่อยู่ในตะกร้า นางไม่รู้ว่าคืออะไร จึงเปิดดูของด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเล่าเพียงบางส่วนเท่านั้น ละรายละเอียดซึ่งไม่มีผลกระทบต่อข้อเท็จจริงและเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้ออกไป
ตัวอย่างเช่น ในตอนนั้นอาหวั่นยังจำเด็กน้อยทั้งสามไม่ได้ อีกทั้งเรื่องที่อาหวั่นถูกตามสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะของสิ่งนี้ หรือเรื่องที่อาหวั่นไม่ได้พบมันด้วยตนเอง แต่เธอไปทำหล่นไว้ที่ภัตตาคารของคุณหนูไป๋ คุณหนูไป๋นำไปส่งคืนให้เธอ
สรุปแล้วก็คือเมื่ออวี๋หวั่นเปิดกล่องออกมา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยอมรับเจ้านายทันที
หนอนพิษชอบหยก แต่เกลียดเหล็ก
ใช้ลูกเหล็กขังมันเอาไว้ หนอนพิษถูกขังเอาไว้นาน เมื่อพบกับเลือดพลังหยินความเข้มข้นสูง ย่อมอดไม่ได้เป็นธรรมดา นี่เป็นรายละเอียดที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ทันได้เล่าให้องค์ประมุขฟัง
หนานกงเยี่ยนยืนทึ่งทั้งอย่างนั้น
ไม่ว่านางจะใช้วิธีใด ก็ไร้หนทางทำให้ราชันสัตว์พิษยอมรับตนเป็นเจ้านาย แต่เด็กนั่นไม่ได้ทำอะไร ก็ถูกสัตว์พิษยอมรับเป็นเจ้านายเสียอย่างนั้น?
“เจ้าโกหก!” หนานกงเยี่ยนถลึงตาใส่เห้อเหลียนเป่ยหมิง นางไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเด็กนั่นจะมีความสามารถมากกว่านาง! นางใช้ปรมาจารย์พิษทุกคนที่จวนประมุขหญิงมี แต่ก็จนปัญญาที่จะให้ราชันสัตว์พิษยอมรับนางเป็นเจ้านาย!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงสบตากับนางอย่างเยือกเย็น พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางไม่รีบร้อนว่า “ผู้ที่โกหกก็คือตัวตี้จีเอง ข้าจำได้ว่าท่านเคยบอกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หายไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทว่ามันอยู่ที่อวี๋หวั่นตั้งแต่เดือนสิบเอ็ดปีที่แล้ว ตี้จี ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้เริ่มโกหกวันนี้เป็นวันแรก”
หนานกงเยี่ยนโต้กลับว่า “ข้าเปล่า! ข้าไม่ได้โกหก! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์…สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นพวกเขามาขโมยมันไปหลังจากที่มาหนานจ้าวแล้วต่างหาก! ไม่รู้ว่าพวกเจ้าใช้วิธีใดถึงแย่งชิงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปได้!”
คำพูดนี้ไม่อาจโน้มน้าวผู้ใดได้เลย
ขอเพียงมิได้ตาบอด ทุกคนก็ล้วนเห็นเต็มสองตาแล้วว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นภักดีต่ออวี๋หวั่น หากกล่าวถึงเรื่องแย่ง
ชิงละก็ คงจะหมายถึงราชินีสัตว์พิษมากกว่า พอเจ้านายตัวจริงมา มันก็เผ่นกลับไปหาเจ้านายตัวจริงทันที
ชิ ขายหน้า ขายหน้าที่สุด!
หนานกงเยี่ยนสัมผัสได้ถึงสายตารังเกียจจากผู้คนโดยรอบ หัวใจของนางเต้นระส่ำ นางหันไปมององค์ประมุข “เสด็จพ่อ! ท่านเชื่อข้า…เชื่อข้านะเพคะ!”
องค์ประมุขโง่งมหรือไม่ยังไม่ต้องเอ่ยถึง แต่เขาไม่ได้ตาบอด ไม่ว่าเด็กคนนั้นขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปหรือไม่ วันนี้ตี้จีใช้ราชินีสัตว์พิษมาหลอกลวงเขาและคนอื่นๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังจงใจโยนความผิดทั้งหมดให้วิหารพิษด้วย
ความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ระดับนี้ ไม่อาจละเว้นโทษได้
องค์ประมุขเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เรียกคนมา พาตัวตี้จีไปยังคุกหลวง!”
ราชองครักษ์พุ่งเข้ามาจับหนานกงเยี่ยน ลากนางลงไปจากแท่นบูชาอย่างไม่ใยดี
มงกุฏหงส์ซึ่งส่องประกายพลันร่วงหล่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น นางเคยเดินขึ้นมาอย่างสง่างาม บัดนี้ลง
ไปด้วยสภาพน่าเวทนา
ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือไม่มีผู้ใดรู้สึกเห็นใจนาง
แม้แต่ราชครูก็ยังคิดว่าหากนางไม่เล่นลิ้นรนหาที่ตาย เรื่องของราชินีสัตว์พิษยังจะพอมีหนทางให้แก้ต่าง
หนานกงเยี่ยนร่ำไห้แทบขาดใจ องค์ประมุขก็มิได้แยแส ปล่อยให้นางถูกจับลงไป
พิธีบวงสรวงสวรรค์กลายเป็นเช่นนี้ จึงไม่อาจดำเนินพิธีต่อไปได้ องค์ประมุขทำได้เพียงเสด็จขึ้นรถม้ากลับวังด้วยสีหน้าหมองหม่น
พระองค์ไปแล้ว เหล่าขุนนางก็แยกย้ายเช่นกัน
แต่แม้ว่าพวกเขาจะแยกย้ายกลับไปแล้ว ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนแท่นบูชาก็ได้แพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้านอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรู้แล้วว่าแต่ไหนแต่ไรมาตี้จีองค์เล็กไม่เคยได้ครอบครองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในมือของบุตรสาวของตี้จีองค์โต
ตัวกาลกิณีที่แท้จริงไม่ได้รับการคุ้มครองจากเทพพิษ
หากแต่ครอบครัวของนางมีปรมาจารย์พิษอาวุโสซึ่งมีพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นสามคน ทั้งยังมีราชันสัตว์พิษและราชินีสัตว์พิษ
ทั่วทั้งหนานจ้าวหาผู้ใดโชคดีกว่านางไม่ได้อีกแล้ว
ในตอนนี้ ชื่อเสียงของสกุลเห้อเหลียนได้รับการกู้คืนกลับมา หลังจากที่หัวหน้าจางรู้ว่าตนได้ล่วงเกินปรมาจารย์
พิษอาวุโสระดับเจ็ดจั้ง เขาก็ ‘ตกใจกลัว’ จนต้องรุดมาคุกเข่าหน้าจวนสกุลเห้อเหลียน พร่ำร้องว่าพวกเขาจิตใจหยาบช้า รับเงินมาทำร้ายคนสกุลเห้อเหลียน ขอร้องให้ใต้เท้าสกุลเห้อเหลียนลืมเรื่องนี้ไป และไว้ชีวิตพวกเขา
แน่นอนว่าพวกเขาได้วางแผนเอาไว้แล้ว เพราะเมื่อเรื่องนี้แดงขึ้นมา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องถูกตามล้างตามเช็ดอยู่ดี
เสียงของผู้คนซึ่งเรียกร้องให้จัดการสกุลเห้อเหลียนและขับไล่ตี้จีองค์โตออกจากสกุลเห้อเหลียนก็ค่อยๆ เงียบลง
ในทางกลับกัน เมื่อองค์หญิงน้อยออกไปข้างนอก มีสตรีเฒ่าที่ไหนก็ไม่รู้สาดสิ่งปฏิกูลใส่นาง
ส่วนในการจัดอันดับคนรูปงามแห่งหนานจ้าว หนานกงหลีก็ร่วงไปอยู่ท้ายตาราง ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาทะยานขึ้นไปเหยียบถึงอันดับหนึ่ง
หลังจากที่อวี๋หวั่นกลับถึงบ้าน ก็มิได้รีบร้อนไปถามความจริงกับนางเจียง อันที่จริงก็เพราะเธอหานางไม่เจอด้วย ไม่รู้ว่าท่านแม่ไปอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไหนกับท่านพ่อ เธอเดินไปยังห้องของอาม่าเพื่อถามถึงความคืบหน้า และถือโอกาสเก็บราชินีสัตว์พิษไว้ที่ห้องของอาม่า
“ครั้งนี้อย่าให้เยี่ยนจิ่วเฉาขโมยไปอีก”
เธอกลัวแทบแย่
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอห้ามไว้ได้ทัน เจ้าตัวจิ๋วนั่นคงถูกหนอนพิษแสนน่ารักของเธอกินไปแล้ว
อาม่ารู้ว่าตนผิด จึงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง เพียงแต่นำคางคกหิมะไปเก็บ พร้อมทั้งยังสาบานไว้ว่าจะไม่ให้ใครมาขโมยมันไปได้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ปรากฏตัว “เจ้าตัวเล็กนั่นเล่า?”
อาม่ารู้ว่าเขากำลังหมายถึงคางคกหิมะ จึงตอบไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าสัญญากับอาหวั่นไว้แล้วว่าจะไม่ให้ราชินีสัตว์พิษกับเจ้าอีก”
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่า “ข้าไม่ได้จะพามันไปไหน ข้าเอาของมาให้มันสักหน่อย”
“อ้อ อยู่นั่น” อาม่าชี้ไปบนชั้นด้านข้าง
ราชินีสัตว์พิษนอนด้วยท่าทางสง่างาม มันนอนตะแคงข้างอยู่บนก้อนน้ำแข็ง กำลังหลับสบายอยู่ท่ามกลางความเย็น จากนั้นก็รู้สึกว่าก้อนน้ำแข็งกำลังจม
มันลืมตาขึ้นมอง
ก็เห็นว่าตรงหน้ามีไข่ไก่สีแดงใบใหญ่กว่าตัวมันเสียอีก!
ราชินีสัตว์พิษกำลังมึนงง “…”
………………………….

Related

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset